เสี่ยวเอ้อพาหลินเสี่ยวเฟยไปที่ห้องชั้นบนของโรงเตี๊ยมที่มีสามชั้น และแต่ละห้องมีการตกเเต่งที่แตกต่างกัน
ชั้นล่างและชั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องโถง มีการตกเเต่งด้วยสีที่ฉูดฉาดและสีของผ้าม่านที่แขวนอยู่บนคานสูง ล้วนเป็นสีทองและดูสว่างไสว ในทางกลับกัน ชั้นสองสีไม่ได้ฉูดฉาดมากนัก
แต่สีของชั้นสองนั้น ดูอบอุ่นมากกว่า ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายหากได้นั่งรับประทานอาหารและพูดคุยกัน
อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกประหลาดใจกับการตกแต่งภายในของชั้นสาม ที่ไม่มีหน้าต่างที่ถูกเปิดออก แม้ว่าจะเป็นตอนเช้า และทุกอย่างภายในห้องถูกตกเเต่งด้วยสีแดง
ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ผ้าม่าน ผนัง และพรมบนพื้น ล้วนถูกย้อมด้วยสีแดง ซึ่งแม้แต่หลินเสี่ยวเฟยก็เป็นผู้ที่ชอบสีแดงอยู่เเล้ว เเต่เธอก็ไม่สามารถหยุดขมวดคิ้วได้ เมื่อเห็นภายในห้องที่ถูกตกเเต่งด้วยสีแดงมากเกินไปในที่เดียวกัน
โชคดีที่โคมไฟบนผนัง ไม่ได้ทำด้วยวัสดุที่มีสีแดง มิเช่นนั้น หลินเสี่ยวเฟยคงจะตาบอดไปชั่วขณะ เพราะสีเเดงสีเดียวภายในห้องนี้
น่าเสียดาย ที่ผู้จัดการควรจะอยู่ชั้นบน เเต่กลับไม่มีใครอยู่ที่นั่น
“ทำไม ถึงไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่” หลินเสี่ยวเฟยถามเสี่ยวเอ้อ
เสี่ยวเอ้อ วางถ้วยน้ำชาใกล้มือของเธอแล้วกล่าวว่า “ผู้จัดการ กำลังจะมาที่นี่ในไม่ช้า เเละข้าแจ้งต่อเขาไปแล้ว ว่ามีแขกผู้หนึ่งกำลังถามหาเขาอยู่”
“ท่านหญิง ท่านต้องการให้ข้านำอาหารที่ท่านสั่ง มาที่นี่หรือไม่” เสี่ยวเอ้อถาม ในขณะที่กำลังจะเดินจากไป
หลินเสี่ยวเฟยพยักหน้าให้เสี่ยวเอ้อ ที่กำลังเดินจะจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเธออยู่คนเดียว หลินเสี่ยเฟยใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อมองไปรอบๆอีกครั้ง นอกจากเครื่องเรือนสีแดงแล้ว เธอสังเกตเห็นภาพวาดขนาดใหญ่ที่บนผนัง
มีสัตว์ร้ายอยู่ในภาพวาด เป็นสัตว์ที่มีเขี้ยวยาว และมีเขาขนาดใหญ่บนหัวของมัน ใต้เท้าของสัตว์ร้ายนั้นมีเปลวไฟลุกโชน และดูเหมือนว่ามันกำลังเต้นรำในขณะที่เขาถือดาบที่มีปลายแหลมคมขนาดใหญ่อยู่ในมือ
และรอบๆตัวมันนั้น มีกะโหลกกองซ้อนกันอยู่ ในแต่ละด้านของสัตว์ร้าย
ภาพวาดนั้น ดูน่าสะพรึงกลัวสำหรับใครก็ตามที่จ้องดูมัน แต่หลินเสี่ยวเฟยกลับพบว่า ภาพวาดนั้นสวยงามมาก จนเธอต้องลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อสัมผัสกับภาพวาดนั้น
เธอยกมือขึ้นและสัมผัสกับพื้นผิวของภาพวาดนั้น มันดูหยาบและเย็นเมื่อสัมผัส
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกทึ่งกับภายวาดนี้ โดยที่เธอไม่ทันได้สังเกต ว่ามีใครบางคนกำลังเเอบมองเธออยู่ข้างหลัง และกำลังเฝ้าดูการกระทำของเธอ อย่างอยากรู้อยากเห็น
สำหรับหลินเสี่ยวเฟยแล้ว ภาพวาดไม่เคยดึงดูดความสนใจของเธอ หากภาพวาดนั้นเป็นเพียงภาพที่เกี่ยวกับทิวทัศน์และความสวยงามของหญิงหรือชาย เพราะมันดูไร้ประโยชน์ที่จะดูภาพเหล่านั้นตั้งแต่แรกเห็น
เธอชอบภาพวาด ที่นำความกลัวมาสู่ผู้อื่นเมื่อมองดู โดยปกติ ภาพวาดบนผนังตรงหน้าของหลินเสี่ยวเฟย จะถูกห้ามและไม่ให้มองเห็นด้วยตาตนเอง เนื่องจาก เชื่อกันว่าภาพวาดเช่นนี้จะเป็นลางร้าย เเละจะนำภัยพิบัติมาสู่ผู้ที่พบเห็น และจะต้องจบลงด้วยชะตากรรมที่เลวร้าย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพวาดแบบนี้หายากมาก หลินเสี่ยวเฟยจึงไม่สามารถได้ครอบครองหรือเคยสัมผัสกับมัน
เธอลูบไล้ภาพวาดอันน่าสะพรึงกลัวด้วยความนุ่มนวล ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่บอบบางที่สุดที่เธอเคยเห็นในชีวิต นิ้วของเธอลูบไปตามภาพวาดและหยุดตรงกะโหลกศีรษะ
ตลอดเวลา ที่หลินเสี่ยวเฟยอยู่ในห้องนั้น เธอมีรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า แต่จู่ๆรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆจางหายไป ราวกับว่ามีหน้ากากปีศาจถูกผลักเข้ามาในความคิดของเธอ
หางตาของเธอ เหลือบเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆเธอ ราวกับว่าสัตว์ร้ายในภาพวาดนั้น ยังมีชีวิตอยู่ ร่างๆหนึ่งที่อยู่ข้างเธอ สวมหน้ากากแบบเดียวกันกับสัตว์ร้ายในภาพวาด
หลินเสี่ยวเฟยตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นบุคคลหนึ่ง เธอถอยกลับไปสองสามก้าว ขณะที่เธอสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อซึ่งมีกริชขนาดเล็กซ่อนอยู่
บุคคลที่ปรากฏตัวขึ้น เขาสูงตระหง่านกว่าเธอ แม้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะดูสูงกว่าหญิงสาวในวัยเดียวกัน เนื่องจากสายเลือดของตระกูลหลินไหลเวียนในร่างกายของเธอ
คนคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ที่มีลวดลายสีทองสลับซับซ้อนกัน ชายผู้นี้ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
หลินเสี่ยวเฟยตำหนิตัวเองเล็กน้อย ที่ตกใจกับเรื่องเช่นนี้ เธอหลงใหลในความงามของภาพวาดจนไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นสิ่งรอบข้างของตนเอง และเธอยังสัมผัสสิ่งของของคนอื่น ราวกับว่าเธอเป็นเจ้าของมันเอง
และด้วยความตกใจ มือของเธอได้สอดเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อจับกริช ความตึงเครียดในห้องนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้น
หลินเสี่ยวเฟย จ้องไปที่ดวงตาของชายผู้นั้น โดยไม่ละสายตา ในขณะที่เธอพยายามทำจิตใจของเธอให้ผ่อนคลาย ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้น อย่างประชดประชันว่า “ผู้จัดการของสถานที่แห่งนี้ มีงานอดิเรกที่น่าสนใจมาก ถึงกับทำให้แขกของท่านรู้สึกหวาดกลัว”
“แล้วเจ้ากลัวหรือไม่” ชายผู้นั้นกล่าว แต่เสียงของเขาดูเเปลกไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาใส่หน้ากากครอบไว้บนใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยก็สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่สุขุมและนุ่มนวลของชายผู้นี้ตรงหน้า
เจ้าแอบอยู่ข้างหลังข้า และสวมใส่หน้ากากแบบเดียวกับสัตว์ร้ายในภาพวาด ใครบ้างจะไม่ตกใจ?
“เปล่า ข้าไม่..” เธอกล่าวตอบ แล้วหันไปนั่งบนเก้าอี้
ตามจริงแล้ว หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้กลัว แต่มันทำให้เธอตกใจเล็กน้อย หากสัตว์ร้ายในภาพออกมาจริงๆ หลินเสี่ยวเฟยคงเป็นคนแรก ที่จะกระโดดด้วยความปิติยินดีและขอพรจากมัน
เธอคงอยากจะขอพรให้ศัตรูของเธอหายไป และเธอจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเธอจะได้ไม่ต้องเปลืองมือของเธอในการกำจัดศัตรู เเละให้พวกมันได้ ชดใช้หนี้เลือดที่พวกมันเคยทำไว้กับเธอ
แต่หลินเสี่ยวเฟยก็ไม่กระตือรือร้นที่จะขอพรนั้น เพราะหากความปรารถนาของเธอเป็นจริง เธอคงจะไม่รู้สึกถึงความพึงพอใจ หากเธอไม่ได้ฆ่าศัตรูด้วยมือของเธอเอง