กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess – ตอนที่ 55 แค่ตัดหัวทิ้ง

กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

ตอนที่ 55 แค่ตัดหัวทิ้ง

 

ขณะที่เธอกําลังจะออกจากลานบ้าน หลินเสี่ยวเฟยหยุดเดินและแหงนมองขึ้นไปข้างบน

 

เธอไม่รู้ว่าทําไม แต่ความรู้สึกของเธอบอกว่ามีใครบางคนกําลังตามเธอมา ตั้งแต่เธอ

 

ออกมาจากพื้นที่ของหงเปยโหลว

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หรือบางทีคนที่ติดตามเธอคงจะมีทักษะ ที่สูงอย่างมากในการซ่อนตัวตนเธอจึงไม่สามารถยืนยันความสงสัยของเธอได้

 

ขณะที่เธอมองขึ้นไปข้างบน ฉ่เซียวซูกําลังนอนตะแคงข้างใน ขณะที่เขามองลงมาที่ร่างของเธอจากหลังเคาของลานบ้านอื่น ถัดจากลานบ้านของเธอ

 

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินออกจากลานบ้านเขาก็ตัดสินใจรีบย้ายไปที่หลังคาของลานอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดู

กพบ

 

เขาจําได้ว่า เธอเคยพูดว่าเขาส่งคนมาคอยติดตามเธอ อย่างไรก็ตาม ฉ่เซียวซูรู้ว่าเขาไม่สามารถดูถูกเธอและไม่ทําให้ใครตามเธอโดยประมาทได้อีกครั้ง

 

ด้วยชุดสีแดงเพลิงของเธอที่พลิ้วไหวไปตามลมฤดูหนาวหญิงสาวที่เขาสนใจดูไม่เหมือนมนุษย์แต่ดูเหมือนเทพธิดาที่ออกมาจากรูปวาด

 

ในตอนแรก เขารู้สึกทึ่งกับการกระทําที่กล้าหาญของเธอซึ่งเกินกว่าที่หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ทั่วไปจะทําได้ ตัวอย่างเช่นเธอไปเยี่ยมหอนางโลมที่พวกเขาพบกันครั้งแรก ในเวลานั้นเธอได้เป็นที่สนใจของเขา เมื่อได้สบตากัน

 

และความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันภายในโรงเตี้ยมที่เขาเป็นเจ้าของ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยพิษและความเกลียดชังต่อโลกทําให้เขาต้องการรู้จักเธอมากขึ้น เขาสงสัยว่าความมคิดเล็กๆน้อยๆของเธอว่ามีอะไรบ้างและยังพยายามคาดเดาการกระทําของเธอต่อไป

 

แต่อนิจจา เธอคาดเดาไม่ได้และน่าเกรงขามยิ่ง

 

ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ และเขาไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงประมูล หญิงสาวผู้นี้ช่างกล้าหาญและน่าสะพวิ่งกลัวแค่ไหนกัน เธอสั่งให้เด็กคนนั้นเผาบ้านประมูล

 

ด้วยผ้าที่ปิดปาก ดวงตาสีดําของฉ่เซียวซูเปรียบเสมือนดวงตาของจิ้งจอก ขณะที่รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น ในขณะที่เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความบันเทิงที่เธอจะแสดงให้เขาเห็นมากขึ้น

 

เธอเหมือนของเล่นที่น่าสนุกสําหรับเขา เขาต้องการให้เธออยู่ต่อหน้าเขาทุกวัน แค่คิดถึงคนอื่นที่เห็นด้านนี้ของเธอก็ทําให้เขาอยากควักลูกตาพวกมันออกมาแล้วป้อนให้สุนัขกิน

 

ข้างหลังเขา มีชายผู้หนึ่งสวมชุดดําตั้งแต่หัวจรดเท้าและสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวในขณะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญและเขาสามารถลิ้มรสเจตนาการฆ่าอันปาเถื่อน ที่ไหลออกมาจากเจ้านายของเขาราวกับมีดที่แหลมคมกําลังเล็งไปที่คอของ

เขาอยู่

 

เขากลืนน้ําลายอย่างแรง และรวบรวมความกล้าที่เหลืออยู่เพื่อพูดกับเจ้านายของเขาว่า “นายท่าน”

 

นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกไป และรอให้ฉ่เซียวซูรับทราบการมีอยู่ของเขา และเมื่อเขาพูด ชายในชุดดําจึงกล่าวว่า “มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในที่พัก และข้าต้องการคําแนะนําจากนายท่าน อย่างเร่งด่วน

 

“ข้ากําลังยุ่งกับบางสิ่งที่สําคัญกว่า ไปแก้ปัญหาด้วยตัวของเจ้าเอง ทําทุกอย่างที่เจ้าเห็นสมควร.” ฉ่เซียวซู ที่ชําเลืองมองเขาแล้วขมวดคิ้ว “หรือปัญหามันใหญ่เกินไปสําหรับ

เจ้า”

 

ชายชุดดําส่ายหัวอย่างประหม่า เขากลัวว่าลิ้นของเขาจะหลุดออกจากปากและคําพูดที่ผิดอาจจะเป็นจุดจบของเขา

 

“มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ครับนายท่าน อย่างไรก็ตาม เราต้องการให้ท่านกลับมายังที่พัก

 

เพราะเราไม่รู้ว่าจะทําเช่นไรกับปัญหานี้” ชายชุดดําพูดพร้อมกับก้มหน้าลง

 

“งั้นก็ตัดหัวพวกมันซะ วิธีนี้ ปัญหาจะไม่สามารถรบกวนข้าจากเรื่องของข้าได้ แค่กําจัดความรําคาญไปซะ” ฉ่เซียวซูหันไปมองที่หญิงสาวในชุดสีแดง เขาพบว่าร่างของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้วและที่ที่เธอยืนอยู่นั้นว่างเปล่า

 

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยเข้าไปในลานหลัก เธอเห็นผู้คนนั่งอยู่ที่ด้านของห้องโถงแล้ว

 

ที่นั่งที่สงวนไว้สําหรับสมาชิกในครอบครัวของตระกูลหลินนั้น ถูกครอบครองทั้งหมด

 

นอกเหนือจากที่นั่งด้านล่างและทางด้านขวาของหลินเซียวเหมิง

 

ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่ง ในขณะที่พวกเขากําลังยุ่งอยู่กับการสนทนาอย่างสนุกสนานกับคนที่อยู่ใกล้ๆพวกเขาก็หยุดในทันทีและจับจ้องไปที่เธอและชุดสีแดงที่เธอสวมใส่ไป

 

เหมือนกับสายลมในฤดูหนาว พวกเขาทั้งหมดเงียบกริบเพราะไม่สามารถละสายตาจากการจ้องมองไปยังผู้ที่เป็นอมตะที่ปรากฏตัวในลานบ้านหลักได้

 

อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลินที่เห็นหลินเสี่ยวเฟยก็ตื่นตัวกันอย่างรวดเร็ว และปกปิดท่าทางแปลกๆของพวกเขาด้วยการยกถ้วยชาขึ้นมาจิบและหลีกเลี่ยงการมองไปที่เธอ

 

น่าเสียดาย ที่แขกที่มาพักที่คฤหาสน์หลินกลับทําอย่างอื่นและเมื่ออ้าปากค้าง ดวงตาของพวกเขาก็มองตามร่างที่ผอมเพรียวของเธอ ขณะที่เธอเดินไปยังใจกลางห้องโถง

หลินเสี่ยวเฟย โค้งคํานับท่านตาของเธอเล็กน้อย “คาราวะท่านตา”

 

หลังจากกล่าวเช่นนั้น หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ทําในสิ่งที่เธอควรทําเมื่ออายุน้อยกว่าและไม่คํานับคนอื่นๆเพื่อทักทายพวกเขา

 

เธอนั่งลงอย่างช้าๆและสง่างามบนเก้าอี้ที่เธอนั่งและด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาของเธอก็ค่อยๆกวาดสายตาไปที่ใบหน้าของผู้คนในห้องโถง

 

ในขณะที่ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดเมื่อเธอมาถึงเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนทําให้ทุกคนหันศีรษะจากนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งจากอีกฟากหนึ่งของหลินเสี่ยวเฟย กล่าวขึ้นว่า

 

“ท่านเสียมารยาทเกินไปหรือไม่คุณหนูสี่ ท่านเห็นพ่อและแม่ของข้าที่อยู่ต่อหน้าท่าน และท่านไม่แม้แต่ที่จะทักทายพวกเขาข้าสงสัยว่าท่านเรียนรู้มารยาทของท่านมาจากที่ใด” หญิงสาวปล่อยการโจมตีออกมาในทันที

 

The Birth of a Villainess

The Birth of a Villainess

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess “เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เราเป็นหุ้นส่วนในอาชญากรรม หากเจ้าเป็นแม่มด ข้าก็จะเป็นพ่อมดของเจ้า” … หลังจากการตายอย่างโหดร้ายของเธอ เสี่ยวเฟยพบว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของคุณหนูที่งดงามจากตระกูลหลินผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเดียวกันกับเธอ เธอเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ เอาชนะใจชายทุกคนและแม้แต่ผู้หญิงก็ต่างอิจฉาในชีวิตที่แล้วของเธอ แต่เธอกลับตกหลุมรักองค์ชายอย่างโง่เขลา และถูกลิขิตให้ตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของคนที่เธอรัก ในชีวิตและร่างกายใหม่นี้ กลอุบายอันชั่วร้ายและเรื่องอื้อฉาวก็ยังวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ แม้จะเกิดใหม่แล้วก็ตาม เธอก็เริ่มทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้นและจะโหดเหี้ยมต่อผู้ที่คิดต่อต้านเธอ ชายหนุ่มและและหญิงสาวต้องโค้งคำนับ บัลลังก์ทองคำต้องถูกส่งต่อ อาณาจักรจะต้องถูกพิชิตและเผาทำลาย หัวใจต้องถูกแย่งชิง ด้วยยุคอันโหดร้ายเช่นนี้ ผู้คนทำได้เพียงพยายามบังคับและป้องกันตนเองจากอันตราย อย่างไรก็ตาม ใครจะคิดว่าชายที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย่อหยิ่งจะเข้ามาในชีวิตของเสี่ยวเฟยอย่างกะทันหัน? และเขายังกระซิบข้างหูของเธออย่างไร้ยางอายว่า “ศัตรูของภรรยาข้าก็คือศัตรูของข้า และความปรารถนาของภรรยาข้าก็คือความปรารถนาของข้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งที่มีแต่ภรรยาข้าเท่านั้นที่จะมอบให้แก่ข้าได้” “นั่นคือภรรยาข้าต้องกลายเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น ให้แก่ข้า” เสี่ยวเฟย: “……”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset