เล่มที่ 4 บทที่ 4 ข้าจะสะบั้นมันเอง
กึก ๆ
เพล้ง!
ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนดาบของหลี่ฮงสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหักเป็นสองส่วนเหลือเพียงส่วนด้ามจับติดอยู่กับมือหลี่ฮง
“บ บ้าน่า เป็นไปไม่ได้”
หลี่ฮงพึมพำออกมาอย่างงงงวย ตัวเขารู้ดีที่สุดว่าพลังที่ใช้ออกไปนั้นมีมากมายแค่ไหน เพียงแรงกดดันที่ปล่อยออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ที่อยู่ในระดับปฐพีขั้นต้นขาอ่อนยวบยาบ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด เขาไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสารเลวนี่รับการโจมตีของเขาด้วยสองนิ้ว? อีกทั้งยังหักดาบของเขาซึ่งเป็นศาตราวุธปฐพีขั้นต่ำ ซึ่งจะขั้นต่ำอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นศาตราวุธ เป็นไปไม่ได้ที่ถูกทำลายด้วยเพียงสองนิ้ว
หยางอี้ไม่ต้องการเสียเวลามากนักสายตาที่เย็นชาของชายหนุ่มจ้องมองไปยังหลี่ฮงทำให้เขาหนาวสั่นไปทั้งจิตใจ ทว่าด้วยตัวเขานับเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง ความถือดีย่อมเกินกว่าธรรมดาทั่วไป เขาจึงใช้เหตุผลมากมายผลักดันความกลัวออกจากจิตใจแล้วกัดฟันสู้อย่างไม่ยอมแพ้ เป็นเรื่องยากที่ชายหนึ่งที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิจะยอมรับว่าบางคนที่ระดับต่ำกว่าแถมยังไร้หัวนอนปลายเท้าจะแข็งแกร่งกว่าตน
หยางอี้เห็นแววตาไม่ยอมแพ้ของหลี่ฮงชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย จงบอกมาว่าใครคือเหลียงซานแล้วมันมีจุดประสงค์อันใด”
หลี่ฮงได้ยินดังนั้นก็มีใบหน้ามืดมนในทันที เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายก่อนตอบกลับไปด้วยเสียงแหบพร่า
“อย่าดูถูกข้าเกินไปเจ้าหนู ครั้งหน้าเจ้าจะไม่ ช ช..”
ด้วยคำพูดที่กล่าวออกมาไม่จบคำหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง สายตาของหยางอี้นั้นจ้องมองเขาไม่ต่างกับราชสีห์จ้องมองมดตัวหนึ่ง แรงกดดันอันหนักหน่วงถูกปลดปล่อยออกมากระแทกเข้ากับร่างของหลี่ฮงโดยตรง ด้วยการควบคุมลมปราณอันเป็นเลิศทำให้ผู้อื่นมิได้รับรู้ถึงแรงกดดันนี้ ผู้ชมต่างคิดว่าครั้งแรกหยางอี้เพียงโชคดี? แต่เมื่อได้ยินคำประกาศก้องของหลี่ฮงพวกเขาก็มีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าอยู่ๆก่อนจะตอบโต้หลี่ฮงกลับมีใบหน้าที่ซีดขาวพร้อมกับคุกเข่าสองมือค้ำพื้นหอบหายใจราวกับสุนัขเหนื่อย
ไม่มีใครรับรู้ความรู้สึกของหลี่ฮงได้นอกจากตัวเขาเอง เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่รับงานชิ้นนี้ เพราะบุคคลเบื้องหน้าแข็งแกร่งเกินไป เกินกว่าที่เขาจะจ้องมองเสียด้วยซ้ำ แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากมนุษย์ สัตว์อสูร หรือสิ่งของต่างๆ มิใช่เพื่อแสดงถึงระดับชนชั้นแต่มันคือการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง อย่างเช่นหลี่ฮงที่ระดับสูงกว่าหยางอี้แต่ก็ไม่สามารถปล่อยแรงกดดันที่เหนือกว่าหยางอี้ได้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของทั้งสองห่างกันเกินไป ยอดคนมากมายที่แข็งแกร่ง ร่างกายจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่เพียงแค่ยืนเฉยๆก็ทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้แล้ว
“ตอนนี้ตอบคำถามข้าได้หรือยัง”
เสียงของหยางอี้แผ่วเบาจนได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น ทว่าเสียงอันเย็นเยียบนั้นเป็นดั่งประกาศิตตัดสินชีวิตของหลี่ฮง
“ป ป เป็นเหลียงซานอันดับ 7 ของผังฟ้า ข เขาไม่พอใจที่เสี่ยวปิงชอบเจ้า และเขาต้องการครอบครองเสี่ยวปิงจึงคิดจะใช้เจ้าบังคับให้นางยินยอม”
หยางอี้ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะถอนแรงกดดันออกมาทำให้หลี่ฮงรู้สึกโล่งอกเมื่อถูกปลดปล่อยก่อนจะชี้ไปยังเหลียงซานที่นั่งอยู่ในแท่นผู้ชม สีหน้าของเหลียงซานกลายเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ก่อนจะสบถบางอย่างออกมา และเปลี่ยนท่าทีเป็นรอยยิ้มยั่วยุให้กับหยางอี้
หยางอี้ลอบยิ้มอย่างเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับมา และเดินลงจากเวทีเมื่อหลี่ฮงประกาศยอมแพ้ หยางอี้ไม่ได้เกรงกลัวเหลียงซานแม้แต่น้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ในขอบเขตปฐพีขั้นที่ 7 หลังจากสำเร็จกายาตะวันอมตะขั้นที่หนึ่ง รวมกับความสามารถทั้งหมดตอนนี้หยางอี้สามารถเอาชนะทุกคนในระดับปฐพีขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย สามารถต่อสู้ได้สูสีกับขั้นปลาย และต่อให้เป็นครึ่งก้าวสู่สวรรค์ที่โดดเด่นแม้จะไม่ชนะแต่ก็ยังไม่สามารถเอาชีวิตของหยางอี้ได้
ด้านบนอัฒจันทร์ เหลียงซานกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อหลี่ฮงทำงานผิดพลาด ก่อนจะหันไปสั่งการกับสมุนคนสนิทอีกครั้ง จึงหันกลับมาจ้องมองหยางอี้พร้อมกับยิ้มเหี้ยม
“หลี่ฮงก็เป็นเพียงสวะตัวหนึ่ง มาดูกันว่าเจ้าจะอวดเก่งได้ถึงเพียงไหน”
ขณะเดียวกันศิษย์ที่ชมดูการประลองต่างระเบิดเสียงพูดคุยกันดังสนั่นขึ้นมาทันที เมื่อม้ามืดอย่างหยางอี้สามารถเอาชนะหลี่ฮงได้อย่างง่ายดาย ที่เสียหน้ามากที่สุดคือศิษย์ของเขาดาบสวรรค์ที่หลี่ฮงสังกัดอยู่ พวกเขาต่างจ้องมองหยางอี้อย่างคับแค้น ที่ทำให้ได้รับความอับอาย หลี่ฮงยังเป็นระดับหัวกะทิของเขาดาบสวรรค์ แต่เขาไม่แม้แต่ได้รับโอกาสแสดงกระบวนท่าทักษะวิชาอันภาคภูมิใจของเขาดาบสวรรค์ออกมาแม้แต่น้อย กลับผ่านพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเสียก่อน และที่กระตุ้นให้พวกเขาเดือดดาลยิ่งขึ้นคงหนีไม่พ้นถ้อยคำซ้ำเติมของเขากระบี่สวรรค์
ไม่นานการประลองรอบแรกก็จบลง ผลก็เป็นไปตามคาด คนที่ผ่านเข้ารอบนอกจากหยางอี้ล้วนเป็นผู้มีรายชื่อในผังฟ้า 30 อันดับแรก ความแข็งแกร่งของแต่ละคนในกลุ่มผู้นำทิ้งห่างกลุ่มรั้งท้ายในการขึ้นเขาอย่างสิ้นเชิง หยางอี้กลับมาหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อีกครั้ง มือสาวไม่น้อยที่มาเกาะอยู่ที่แขนทั้งสองข้าง ด้วยเวลาที่จากกันเกือบหนึ่งปีร่างกายและความงดงามของทั้งสองเติบโตขึ้นมาก จากเด็กสาวน่ารักเมื่อครั้งก่อนตอนนี้เติบโตกลายเป็นสาวงามไปแล้ว โดยเฉพาะเสี่ยวปิงที่ดูเหมือนบางอย่างเติบโตเร็วเกินไปเสียหน่อย
“ท่านพี่ ท่านต้องทำให้พวกชายโง่ได้เห็นว่าท่านเก่งแค่ไหน ข้าต้องอดทนกับคำดูถูกท่านของพวกมันมานานแล้ว”
เสี่ยวปิงพูดพร้อมกับใช้อาวุธพิฆาตของนางถูไถไปมากับแขนของหยางอี้ ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันมามองพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพ่ยเพ่ยเห็นดังนั้นจึงไม่พอใจแล้วกล่าวขึ้นบ้าง
“ท่านพี่อย่ามัวแต่มองยัยวัวนมนั่นสิ ท่านลืมแล้วหรือไรว่ามีสาวน้อยน่ารักอยู่อีกคนตรงนี้”
หยางอี้ยิ้มออกมาอย่างอายๆทันทีเมื่อถูกจับได้ เพ่ยเพ่ยเองแม้จะไม่ได้มีขนาดเท่าเสี่ยวปิงแต่ก็ยังตั้งอยู่ในความพอดี นางจึงไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน หยางอี้พลันตกอยู่ในความสุขของชีวิตเมื่อแขนทั้งสองข้างสัมผัสถึงความนุ่มนิ่ม ก่อนจะได้สติเมื่อออร่ามืดมนบางอย่างแผ่ออกมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงเห็นเป็นอี้เสวี่ยชิงที่จ้องมองอย่างรังเกียจ
“ข้าต้องไปแล้ว พวกเจ้าควรไปรออยู่กับผู้อาวุโสเหล่ย เมื่อหมดเรื่องเราค่อยไปทานอาหารกันสักมื้อ”
หยางอี้สลัดแขนออกจากปีศาจน้อยทั้งสองก่อนจะเดินไปยังเวที เมื่อเห็นท่าทีของหยางอี้พวกนางจึงได้แต่หัวเราะคิกคัก ฝูงชนพันธมิตรชายต่างตะโกนด่าทออย่างพร้อมเพรียงอีกครั้งเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ บางคนถึงกับจะเป็นลมเพราะความอิจฉา
รอบสิบหกคนสุดท้ายรายชื่อของผู้ผ่านเข้ารอบต่างดึงดูดความสนใจของผู้คน แต่ละคนล้วนเป็นศิษย์อันภาคภูมิใจของผู้อาวุโส ในที่นั่งของผู้อาวุโส แต่ละคนต่างกล่าวชมศิษย์ตัวเองอย่างโอ้อวด ยิ่งครั้งนี้มีเจ้าสำนักนั่งอยู่ด้วยแล้วการต่อสู้จึงเป็นไปอย่างเข้มข้น
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองคนหนึ่งได้แต่มีใบหน้าหมองหม่นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ของศิษย์ตนเองในครั้งนี้คือหยางอี้ แน่นอนว่าเขาคือหนึ่งในผู้อาวุโสจำนวนน้อยนิดที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่กู่เทียนชางบุกมา เขารู้ดีถึงเบื้องหลังของหยางอี้ว่าน่ากลัวแค่ไหน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเองก็เป็นของจริง ในทันทีเขาจึงรีบส่งเสียงผ่านลมปราณให้ศิษย์ยอมแพ้
แม้ศิษย์ของเขาจะงุนงงแต่ก็มิได้ขัดคำของอาจารย์แต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้ผู้ชมโกรธเคืองอีกครั้ง แต่สำหรับหยางอี้มิได้เป็นอะไรได้นอกจากความเบื่อหน่าย การต่อสู้นี้ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย รอบต่อไปคือรอบ 8 คน เมื่อชนะรอบนี้ได้หยางอี้จะได้รับสิทธิ์หนึ่งในสี่คนที่จะไปร่วมการคัดเลือก 5 สำนักทันที ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะยอมแพ้หลังจากผ่านเข้ารอบ 4 คน เพื่อมิให้โดดเด่นจนเกินไป(หรา)
การต่อสู้รอบนี้หยางอี้เจอกับเอ๋อจิ้ง อันดับหนึ่งจากภูเขาดาบสวรรค์ เอ๋อจิ้งรั้งอันดับที่ 10 ของผังฟ้า เป็นเพียงหนึ่งใน 2 คนที่สิบ 10 อันดับแรกก่อนอายุ 25 ปี คนอื่นๆอันดับที่ 1 ถึง 8 นั้นล้วนมีอายุมากกว่า 25 ปี ยิ่ง 5 อันดับแรกนั้นอายุเกิน 30 ปีไปแล้ว ครั้งนี้เอ๋อจิ้งต้องการล้างอายให้กับเขาดาบสวรรค์อีกทั้งยังได้รับคำไหว้วานจากเหลียงซานอีกด้วย
หยางอี้มองไปยังชายหนุ่มท่าทางเหี้ยมหาญด้านหน้าก็งุนงง เพราะกลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาคือเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายและดุดัน
“ชักดาบของเจ้าออกมา”
เอ๋อจิ้งกล่าวออกมาด้วยด้วยความเย็นชา แต่หยางอี้กลับแสยะยิ้มและส่ายหัว
“ข้าคิดว่าเจ้ายังไม่สามารถเพียงพอ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าแค้นเคืองข้าเรื่องอะไรแต่จะดีกว่าหากไม่ยั่วยุข้า”
เอ๋อจิ้งมีใบหน้าหมองลง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดเอ๋อจิ้งเป็นหนึ่งคนที่มีศักดิ์ศรีและเขาจะไม่ยอมทำให้วิถีดาบของเขาต้องแปดเปื้อน เขาปักดาบคู่ใจของเขาลงพื้นพร้อมกับตะโกนออกมาเสียงดังอย่างผ่าเผย
“เช่นนั้นข้าเอ๋อจิ้ง ต้องการต่อสู้เป็นตายกับเจ้า จงนำอาวุธของเจ้าออกมา ไม่ว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวหรืออะไรก็ตาม แต่ข้าจะไม่ลงมือกับผู้ที่อ่อนแอกว่า นี่คือความภูมิใจของข้า เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่!”
หยางอี้ตกใจเล็กน้อยแต่เมื่อมองไปยังสายตาอันแน่วแน่ของเอ๋อจิ้งจึงทำให้เปลวไฟในใจถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
“ดีเช่นนั้นเจ้าบอกข้าถึงเหตุผลได้หรือไม่”
“หนึ่งเพื่อล้างความอัปยศให้กับเขาดาบสวรรค์ สองเพราะเจ้าไปล่วงเกินใครบางคนเข้า”
“เหลียงซาน?”
เอ๋อจิ้งไม่ตอบอะไรออกมาแต่นั่นก็ทำให้หยางอี้เข้าใจได้ ดูเหมือนว่าเหลียงซานจะล่วงเกินสิ่งที่ไม่ควรเข้าแล้ว แต่สำหรับตื่นนี้เพื่อตอบแทนความซื่อตรงและกล้าหาญของเอ๋อจิ้งหยางอี้จึงนำดาบเล่มหนึ่งออกมาทำให้ใบหน้าของเอ๋อจิ้งเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า
“ข้าจะใช้ดาบเล่มนี้สะบั้นความภูมิใจของเจ้าเอง”