เล่มที่ 4 บทที่ 5 บุปผาที่หนึ่ง ร่วงโรย
หลังจากได้ยินคําพูดของหยางอี้ทุกคนกลายเป็นเงียบกริบในทันที ก่อนทั่วทั้งลานประลองจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ พูดนั่นมันอะไรกัน? มันคิดว่ามันเป็นใคร?”
“สะบั้นความภูมิใจ? ช่างเป็นคําพูดที่ใหญ่โตนัก!”
“สารเลวนั่นไม่รู้หรือไงว่าเอ๋อจิ้งคืออันดับหนึ่งในการใช้ดาบแม้แต่ 10 อันดับแรกหากเทียบกันแล้วยังมิอาจเหนือกว่าเขาในวิถีแห่งดาบ”
“ข้าจะรอดูสารเลวนั่นถูกนั่นเป็นชิ้นๆ ฮ่าๆๆ”
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
เสียงโห่ร้องของลูกศิษย์ดังลั่นไปทั่วทั้งเขาบรรพชน ได้ยินดังนี้ข่งโหลวหลินไม่อาจสงบได้อีกต่อไป เขาไม่คาดคิดว่าชื่อเสียงของหยางอี้จะเลวร้ายขนาดนี้ ได้แต่ส่งสายตาไปยังเหล่ยโหลวอย่างช่วยไม่ได้
“เงียบให้หมด! พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน เขาบรรพชนแห่งนี้คือที่สถิตของบรรพบุรุษ หากใครกล้าเอะอะอีกเพียงครึ่งคําข้าจะตัดสิ้นของมันซะ!”
สิ้นเสียงของเจ้าสํานักบรรยากาศกลายเป็นเงียบกริบทันที ไม่มีแม้เพียงครึ่งคําจะเล็ดรอดออกมาจากปากพวกมันอีก เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศกลายมาเป็นตึงเครียดอีกครั้ง คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในลานประลองยังคงทําท่าที่เฉื่อยชาอยู่
“จงแสดงให้ข้าเห็นถึงความภูมิใจของเจ้า”
หยางอี้กล่าวออกมาเสียงเรียบทําให้เอ๋อจิ้งขมวดคิ้วพร้อมกับพุ่งเข้าหาหยางอี้ในทันที
“แล้วเจ้าจะเสียใจที่ดูถูกข้า”
คมดาบฟาดฟันเข้าหาหยางอี้ทั้งแปดทิศทาง ปราณดาบอันดุดัน ของเอ๋อจิ้งนั้นเฉียบคมเป็นอย่างมาก เพียงหนึ่งดาบที่กระทบเข้ากับเวทีก็สะบั้นจนเกิดเป็นรอยฟันลึกขนาดใหญ่ ทว่าแม้เพียงดาบเดียวกลับไม่สามารถสัมผัสชายเสื้อของหยางอี้
ไม่ว่าเอ๋อจิ้งจะออกกระบวนท่าได้ดุดันแค่ไหน หยางอี้ก็สามารถพลิ้วกายหลบได้อย่างสง่างาม เพลงดาบของเอ๋อจิ้งเกินได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในร้อยเพลงดาบที่ดีที่สุดในจักรวรรดิเมฆาหวน ทั้งความรุนแรงและความดุดันไม่ได้เกินเลยไปแม้แต่น้อย ทว่าด้วยความเร็วระดับนั้นยังไม่มากพอจะต่อกรกับหยางอี้
พรึ่บ!
ทั้งสองแยกออกจากกันชั่วขณะ เอื้อจิ้งแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ยิ้มออกมาในที่สุด
“สมแล้วที่จัดการหลี่ฮงได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นต่อไปข้าไม่เกรงใจแล้ว”
เอ๋อจิ้งรวบรวมลมปราณอันแหลมคมผสานเข้ากับดาบใหญ่อาวุธคู่ใจ ร่างกายของเอ๋อเกินปลดปล่อยออร่าดูดุดันออกมาในทันที ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงก่อนจะพุ่งเข้าหาหยางอี้ในทันที
ดาบคลั่งโลหิต!
หยางอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความเร็วของเอ๋อจิ้งเกินไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่กลับเป็นความเร็วในการออกดาบที่บ้าคลั่งราวกับพายุ หยางอี้เลิกที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไป ดาบในมือชายหนุ่มขยับเล็กน้อยก่อนต้านรับเบี่ยงวิถีดาบนับสิบที่พุ่งเข้ามาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
เช้ง เช้ง เช้ง
หนึ่งจู่โจมหนึ่งปัดป้อง การต่อสู้นี้ดึงดูดห้วงวิญญาณของผู้คนโดยสมบูรณ์ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดเสียด้วยซ้ำว่าหยางอี้จะรับเพลงดาบของเอ๋อจิ้งได้ไม่ต้องกล่าวถึงการใช้ทักษะดาบคลั่ง แต่บัดนี้…ไม่มีสักคมดาบที่สัมผัสกับร่างกายของหยางอี้
จริงอยู่ที่ความเข้าใจในวิถีแห่งดาบของเอ๋อจิ้งนั้นสูงล้ํากว่าหยางอี้ ปราณดาบเองก็เฉียบคมยิ่งกว่า แต่ว่าของเหล่านั้นรวมถึงอาวุธทักษะวิชานั้นเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น สิ่งที่เป็นนิจนิรันด์นั้นคือความแข็งแกร่ง ทั้งพลังและความเร็วคือสิ่งสำคัญสำหรับการต่อสู้ มีทักษะวิชาที่สูงล้ำทรงพลังแล้วอย่างไรหากไม่สามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้ มีความเร็วเป็นเลิศ แล้วอย่างไรหากไม่มีพลังพอจะโค่นล้มอีกฝ่ายได้
ความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งต้องมีทั้งพลังและความเร็ว ซึ่งสำหรับหยางอี้นั้นสูงล้ำกว่าเอ๋อจิ้งมาก ต่อให้เขาใช้ทักษะที่ทรงพลังกว่านี้ก็ยังไม่อาจจัดการหยางอี้ลงได้
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้เอ๋อจิ้งก็เริ่มเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไปจุดหมายเดียวในตอนนี้คือการโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เอ๋อจิ้งพลันเผาผลาญแก่นชีวิตของตนก่อนจะพ่นโลหิตออกมาชโลมไปทั่วดาบ
โลหิตคลั่ง!
ดาบใหญ่ของเขาเรื่องแสงสีแดงเล็กน้อยก่อนจะปลดปล่อยพลังอํานาจอันบ้าคลั่งออกมา ปราณดาบดั้งเดิมอันดุดันแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง คลื่นลมหมุนวนจนเกิดเป็นพายุบุกทะลวงเข้าหาหยางอี้โดยมีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือการบดขยี้ศัตรูเบื้องหน้า
หยางอี้มองการกระทําของเอ๋อจิ้งด้วยความเฉยชา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับกระแทกพลังปราณเข้าสู่ดาบซัดเอ๋อจิ้งให้กระเด็นถอยกลับไป
“เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าที่ต่อสู้อย่างห้าวหาญ เจ้าจะเป็นคนแรกที่ถูกสะบั้นโดยทักษะนี้”
หยางอี้ค่อยก้าวเดินอย่างเชื่องช้าก่อนจะเร่งความเร็วถึงขีดสุดปรากฏตัวต่อหน้าเอ๋อจิ้ง ฝูงชนมองด้วยความตกตะลึงก่อนจะอ้าปากค้าง หยางอี้ง้างดาบออกด้วยแขนขวา ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มยกดาบจนถึงตอนลงดาบนั้นราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง ภาพทับซ้อนของแขนและดาบพลันปรากฏเป็นภาพติดตาราวกับหยางอี้มีแขนเพิ่มขึ้นมามากมาย ไม่รู้เป็นเพราะความเร็วหรือเชื่องช้า กาลเวลาราวกับหยุดนิ่งทุกการกระทําของหยางอี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เอ๋อจิ้งกลับไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ส่วนคนอื่นๆ เองก็ไม่อาจแม้แต่จะขยับตัวได้เช่นกัน ทําได้เพียงมองดูการเคลื่อนไหวของดาบนั้นค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอย่างช้าๆ
บุพผาที่หนึ่ง ร่วงโรย
เสียงอันแผ่วเบาของหยางอี้ดังออกมาพร้อมกับคมดาบที่ตัดผ่านต้นคอของเอ๋อจิ้งเข้าไปเล็กน้อยจนเลือดไหลซึมออกมา แต่ก่อนที่เขาจะสั้นคอของเอ๋อจิ้งนั้นเสียงแหบพร่าก็ออกมาก่อนจากฝั่งที่นั่งชมของผู้อาวุโส
“นายน้อยโปรดยั้งมือก่อน!”
หยางอี้จึงหยุดมือลงทว่าไม่ได้ถอนดาบออกจากคอของเอ๋อจิ้ง ส่วนเอ๋อจิ้งนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงเช่นกัน ตัวเขารู้ซึ้งแล้วในตอนนี้ว่าการท้าสู้เป็นตายนั้นโง่เขลาแค่ไหน คนผู้หนึ่งอาจจะเต็มไปด้วยความกล้าบ้าบินได้เมื่อเขามีชีวิตอยู่ แต่เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เขายังจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร
หยางอี้มองไปยังชายชราคิ้วเรียวยาวดั่งดาบในชุดคลุมสีทองอย่างประหลาดใจ คนที่เรียกเขาเช่นนี้ จะต้องเป็นคนที่รู้ความลับของเขาอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสมีเรื่องอันใด?”
ชายชรามิได้โกรธเคืองต่อท่าทีของหยางอี้ เขาเพียงยิ้มออกมาอย่างจริงจัง
“ข้าคือเอ๋อจงไห่ เป็นเจ้าเขาดาบสวรรค์และเป็นบิดาของเอ๋อจิ้ง ลูกชายข้านั้นแม้จะมุทะลุเกินไปแต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมา ตัวข้ามีบุตรเพียงคนเดียวนายน้อยจะช่วยละเว้นเขาสักครั้งได้หรือไม่ ข้ายินดีจะตอบแทนนายน้อยอย่างงามสำหรับน้ำใจครั้งนี้”
จงไห่กล่าวกับหยางอื้อย่างจริงใจแต่ก็ไม่ลืมส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าสำนัก ส่วนทางเจ้าสำนัก บรรพชนรวมถึงผู้อาวุโสใหญ่อีกสองคนนั้นตอนนี้เพิ่งได้สติจากความตกตะลึงนั่นมิใช่สิบบุปผาผันแปรงั้นหรอกหรือ พวกเขารู้ดีว่าบรรพชนเพิ่งมอบทักษะนี้ให้กับหยางอี้เมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ทักษะระดับจักรพรรดิที่ราชินีศาสตราใช้เวลาทั้งชีวิตกลั่นกรองออกมา แต่เจ้าสัตว์ประหลาดน้อยตัวนี้กลับสําเร็จกระบวนท่าแรกได้เพียงไม่กี่วัน
บรรพชนมิได้สนใจคําพูดของจงไห่แม้แต่น้อยแต่กลับถามออกไปอย่างตื่นเต้นแทน
“ปีศาจน้อย เจ้าสำเร็จสิบบุปผาผันแปรแล้ว?”
หยางอี้เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับคํา
“เพียงบุปผาที่หนึ่งเท่านั้น”
“ประเสริฐ ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านบรรพชน”
น้ำเสียงอ้อนวอนของจงไห่ดังออกมาอีกครั้งทําให้บรรพชนได้สติหันกลับไปพูดกับหยางอี้
“ปีศาจน้อยไว้ชีวิตมันได้หรือไม่ ข้าจะให้จงไห้ตอบแทนเจ้าอย่างสาสมแน่นอน”
หยางอี้เดิมก็ชื่นชมเอ๋อจิ้งอยู่เล็กน้อย แต่ในความคิดของหยางอี้การลงมือกับเอ๋อจิ้งด้วยสิบบุปผาผันแปรถือเป็นการแสดงความเคารพต่อเอ๋อจิ้งในฐานะนักดาบ เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้หยางอี้ก็ไม่มีความต้องการจะสังหารอีกฝ่ายจึงลดดาบลง เอ๋อจิ้งเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหยางอื้อย่างเหนื่อยล้าพร้อมกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณนายน้อย”
ตอนนี้เอ๋อจิ้งยอมรับทั้งใจแล้วว่าหยางอี้แข็งแกร่งกว่าตนอีกทั้งยังบังเกิดเป็นความเคารพขึ้นมาในหัวใจ ท่ามกลางความเงียบและความงุนงงของผู้ชมหยางอี้เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มออกด้วยประกายฟันอันเจิดจ้าไปทางเอ๋อจงไห่
“ผู้อาวุโสจงไห่ มิทราบว่าท่านจะมอบอะไรให้ข้าเป็นสินน้ำใจครั้งนี้”