กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ – เล่มที่ 4 บทที่ 6 จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่

เล่มที่ 4 บทที่ 6 จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่

 

ยามตะวันคล้อยร่วงโรยภายในตําหนักหลังใหญ่หยางอี้ และกลุ่มของเฉินเซียงรวมถึงผู้อาวุโสของสํานัก ต่างนัดรับประทานอาหารพูดคุยกันอย่างออกรส จะมีก็เพียงบุรุษ 4 คนที่ทําตัวไม่ถูกเท่านั้น พวกเฉินเซียงรวมถึงเปยลู่ได้แต่นั่งอย่างตะกุกตะกัก การร่วมรับประทานอาหารกับชนชั้นจักรพรรดิทั้ง 3 คนนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน และข้าควรทําตัวอย่างไรดี นี่คือความคิดของทั้ง 4 สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งฟังการโต้เถียงของ 3 สาวที่ดูเหมือนอี้เสี่ยชิงจะตกเป็นจําเลยในการสอบสวน

 

ด้านหยางอี้เองก็เบื่อเกินจะสนใจพวกนาง ชายหนุ่มหันไปพูดคุยเรื่องราวต่างๆกับผู้อาวุโสแทน ตอนนี้หยางอี้ติดหนึ่งใน 4 อันดับแรกแล้ว หลังจากเอาชนะบุตรชายของเจ้าเขาดาบสวรรค์แล้วหยางอี้ก็สละสิทธิ์ในรอบต่อไปทันที เป้าหมายเดียวคือการเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองเท่านั้น ทั้งลําดับและทรัพยากรเล็กน้อยเหล่านั้นไม่มีความสําคัญต่อชายหนุ่มแม้แต่น้อย

 

หยางอี้นั้นค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยของตอบแทนที่ได้รับมา ขอดาบระดับปฐพีขั้นสูงซึ่งนับว่าไม่เลวแล้วสําหรับการมอบดาบเล่มนี้ให้หยางอี้ หากกล่าวให้ถูกคือมันอยู่ในระดับเดียวกับทวนโลหิตทมิฬ

 

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หยางอี้เข้าสู่การฝึกฝนอีกครั้ง ความเข้มข้นของพลังปราณภายในร่างตอนนี้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว รวมถึงความเสถียรด้วยเช่นกัน หยางอี้ติดอยู่ที่คอขวดนี้มากว่าเดือน แล้วความต้องการสุดท้ายคือกลุ่มก้อนพลังปราณเพื่อใช้ในการทะลวงเข้าสู่ระดับ 4 ขอบเขตขั้นกลางของช่วงชั้น

 

ช่วงเวลาแห่งการคัดเลือกผ่านพ้นไป อีก 3 วันนับจากนี้หยางอี้และคนที่เหลือต้องเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมการประลองคัดเลือกครั้งสุดท้ายหาผู้ที่จะเป็นตัวแทนไปยังจักรวรรดิมังกรสวรรค์

 

หยางอี้ไม่ได้สนใจอีก 3 คนที่เหลือแม้แต่น้อย ใครจะมีลําดับอย่างไรนับไม่สําคัญเพราะสุดท้ายจะมีเพียง 5 คนจากทั้งหมดนี้ที่ได้ไปยังจักรวรรดิมังกรสวรรค์ วันเวลาที่เหลือหยางอี้ตั้งเป้าหมายไว้ในการทะลวงเข้าสู่ขั้นที่ 4 หยางอี้จัดการซื้อโอสถระดับ 3 จากเขาโอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะในตอนนี้เจ้าเขาโอสถแทบจะประเคนให้กับชายหนุ่ม

 

ฟูววว

 

ผ่านไป 3 วันในมิติการทะลวงขั้นของหยางอี้ก็สมบูรณ์เข้าสู่ ขอบเขตขั้นกลาง เวลาที่เหลือจึงทุ่มให้กับการทําความเข้าใจสิบบุปผาผันแปรกระบวนท่าที่สองทั้งหมด

 

ภายในสํานักวิหารสวรรค์ชื่อเสียงของหยางอี้บัดนี้กลับกลายแปรเปลี่ยนจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง คําว่าศัตรูร่วมของเหล่าศิษย์ชายที่ชมชอบในตัวเฟยเฟยและเสี่ยวป่งนั้นหายไป ราวกับไม่เคยมีมาก่อน เป็นจริงว่าในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาที่บุรุษผู้หนึ่งจะได้ครอบครองสองสตรีเลอโฉม ทว่าในโลกนี้อะไรเล่าที่จะเหนือไปกว่าความแข็งแกร่ง การที่ผู้แข็งแกร่งคู่ควรกับเทพธิดามันก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ? มิต้องกล่าวว่าด้วยระดับปฐพีขั้นที่สามหยางอี้ยังเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นที่ 6 ได้อย่างง่ายดายจนสามารถสังหารได้ภายในดาบเดียวเสียด้วยซ้ำ หากมิได้มีการขัดขวางจากเจ้าเขากระบี่ เมื่อมองกลับมาเด็กนี่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน 16 ปี! ไม่ต้องจินตนาการถึงอนาคตของเขา!

 

ด้วยเหตุนี้นอกจากผู้ที่หยิ่งผยองและเต็มไปด้วยจิตใจอันคับแคบเช่นเหลียงซานแล้ว คนอื่นๆล้วนไม่มีการพูดถึงหยางอี้อีกต่อไป บางคนกลายเป็นเคารพต่อความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเสียด้วยซ้ำ

 

ผ่านไปหลายวัน หยางอี้เมื่อปรับพื้นฐานของลมปราณจนเริ่มมั่นคงแล้วจึงออกจากการปิดด่านฝึกตน รูปแบบที่สองของสิบบุปผาผันแปรนั้นค่อนข้างยากเล็กน้อยสําหรับชายหนุ่ม เนื่องจากด้วยพื้นฐานที่เกิดจากพื้นที่อันห่างไกลของชายหนุ่ม แม้จะเป็นถึงบุตรชายของเจ้าเมืองก็ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่อันใด ด้วยเมืองธาราสวรรค์นั้นมีเพียงผู้บ่มเพาะพลังปราณสูงสุดแค่ระดับก่อตั้งจิตขั้นสูงสุดเท่านั้น จึงไม่ต้องเอ่ยถึงกระบวนท่าและทักษะวิชาที่มีจํากัด

 

ด้วยความหลากหลายของสิบบุปผาที่ผันแปรตามสถานการณ์และคล้อยตามดั่งใจนึก ทําให้ผู้ฝึกฝนจําต้องมีความแตกฉานต่อศาตราวุธชนิดต่างๆอย่างถ่องแท้ ด้วยคํากล่าวของราชินีศาสตราที่ว่า นี่เป็นเพียงการบัญญัติขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ทําให้หยางอี้มิอาจจินตนาการถึงความสูงล้ำของวิชานี้เมื่อมันครบถ้วนสมบูรณ์ บุปผาร่วงโรย กระบวนท่าแรกนั้นคือการสกัดกลั่นองค์ความรู้ของวิถีแห่งดาบจนลึกล้ำ ตกสะเก็ดออกมาเป็นกระบวนท่า นับได้ว่ามันคือกระบวนท่าที่ดีที่สุดของการรู้แจ้งในวิถีแห่งดาบของราชินีศาสตรายอดอัจฉริยะในยุคอดีต หยางอี้อดมิได้จริงๆที่จะสั่นไหวในความน่าทึ่งของวิชานี้ แม้แต่เสี่ยวเฮยเองยังกล่าวชมไม่หยุด ด้วยสิบองค์ ความรู้ของอาวุธสิบชนิดที่ใช้เวลาทั้งชีวิตของนางสร้างขึ้น มาจนเกิดเป็นทักษะที่น่าเหลือเชื่อและหัวใจของมันคือการทั้งสิบกระบวนท่าที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้น สามารถแปรเปลี่ยนไปมาได้อย่างอิสระด้วยเต๋าแห่งการเชื่อมต่อ!

 

เต๋าแห่งการเชื่อมต่อนั้นคือสิ่งสําคัญที่กลั่นทักษะวิชาต่างๆให้เกิดขึ้นมาบนโลกด้วยความลึกล้ำของปรมาจารย์แต่ละคน ทว่านั่นคือในลักษณะของอาวุธชนิดเดียวกัน! เช่น วิชากระบี่ที่มี 10 กระบวนท่า เนื่องจากมิใช่มีเพียงกระบวนท่าเดียว ดังนั้นจึงต้องมีเต๋าแห่งการเชื่อมต่อในการนําทางของแต่ละกระบวนท่า จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของวิชานั้นๆ ไม่ว่าจะแสดงเพียงกระบวนท่าที่ 1 หรือกระบวนท่าที่ 10 กลิ่นอายและเอกลักษณ์ท่าแสดงออกมาก็ยังคงบ่งบอกถึงวิชานั้นๆ

 

และนี่เองคือกระบวนการที่ยากที่สุดในการฝึกฝนบุปผาที่สอง หยางอี้พบว่าการผันแปรในแต่ละบุปผานั้นเต็มไปด้วยความลึกล้ำ! ท่วงท่าสุดท้ายของร่วงโรย ยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นอายของกระบวนท่าตั้งต้นรูปแบบอื่นๆอีกเก้ารูปแบบ! มันคือความซับซ้อนที่หยางอี้ต้องตีความให้แตกฉาน จึงเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถสําเร็จทักษะวิชาชั้นยอดนี้ได้ และเมื่อรวมกับพลังหมื่นสวรรค์แล้วละก็ ต่อให้เป็นตอนนี้ หากฝึกฝนสําเร็จทั้งสิบบุปผา ตัวเขามั่นใจถึง 8 ส่วนว่าจักสามารถสังหารชนชั้นสวรรค์ขั้นต้นได้อย่างแน่นอน

 

เมื่อออกจากการฝึกฝน หยางอี้จึงรีบมุ่งหน้าไปยังตําหนักของข่งโหลวหลินในทันที บางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจของชายหนุ่มมาตลอดเวลานั้นถึงคราที่ต้องจัดการลงแล้ว ไม่ว่าหยางอี้จะเดินทางไปที่ใด ย่อมหลีกหนีไม่พ้นการห้ำหั่นและเพิ่มพูนเหล่าศัตรู ด้วยภูมิหลังที่มิได้ยิ่งใหญ่อันใดรวมกับตัวตนที่มิได้ลึกลับ ทําให้หยางอี้เป็นกังวลเสมอมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายและต้องตัดสินใจแตกหักกับผู้มีอิทธิพลต่างๆ

 

ความกังวลเหล่านี้คงหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยของบิดา เพียงคนเดียวของเขารวมถึงผู้คนในตระกูลหยาง! หยางอี้ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยที่จะสามารถปกป้องพวกเขาได้หากศัตรู เล็งเป้าไปที่พวกเขา ไม่ต้องกล่าวว่าตอนนี้ตัวเขาได้อยู่ห่างไกลจากเมืองธาราสวรรค์เป็นอันมาก เมื่อโลกนี้สิ่งที่เป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งที่นําพามาซึ่งอํานาจและอิทธิพล ทําให้ความคิดหนึ่งบังเกิดขึ้นในโสตประสาทของหยางอี้! เมื่อภายภาคหน้าด้วยภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตรายของเขามิอาจหลีกหนีเหล่าศัตรูที่มีอํานาจต่างๆได้ เหตุใดเขาจึงมิสร้างอํานาจของตนเองขึ้นมาเล่า! เฉกเช่นเมื่อเข้าเมืองหลวงครั้งแรกต้อง ปะทะแตกหักกับตระกูลจุยผู้มีอํานาจ เพียงคําพูดคําเดียวของจุยฮวางยังสามารถเปลี่ยนขาวเป็นดําได้ และจะเป็นอย่างไร หากจินตนาการว่าอํานาจและอิทธิพลเหล่านั้นเป็นของตระกูลหยาง!

 

ด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมาในใจของหยางอี้คิดถึงเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด แม้ชายหนุ่มมิได้ฝักใฝ่ในอํานาจแต่อย่างใด เพียงต้องการเดินทางแสวงหาความแข็งแกร่ง แต่ถ้าให้เลือกการวางรากฐานให้ตระกูลหยางสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง ย่อมเป็นการปลดเปลื้องความกังวลทิ้งได้อย่างหมดจด และนั่นรวมไปถึงเป้าหมายสําคัญของชายหนุ่มด้วย นั่นคือการฟื้นฟูตระกูลเจียง!

 

เมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้วเป้าหมายที่ดีที่สุดของชายหนุ่มคือจักรวรรดิมังกรสวรรค์! อันเป็นที่ตั้งของมหาอํานาจที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปจันทร์กระจ่างแห่งนี้ (ไม่รวม 4 สํานักใหญ่ที่อยู่ เบื้องหลังนะครับ) ในเมื่อเป้าหมายของชายหนุ่มในการเดินทางครั้งนี้คือที่นั่นแล้วทําไมไม่เคลื่อนย้ายตระกูลหยางไปที่นั่นเสียเลยเล่า ด้วยความมั่นใจกว่า 5 ส่วน หลังจบการประลองครั้งนี้ ชื่อเสียงของเขาคงต้องดึงดูดคนบางกลุ่มได้อย่างแน่นอน ด้วยการเตรียมการที่ดีมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะวางรากฐานตระกูลหยางในจักรวรรดิมังกรสวรรค์! อันเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดใน 5 จักรวรรดิของทวีปจันทร์กระจ่าง

 

ด้วยการตัดสินใจอันเด็ดขาด หยางอี้มั่นใจว่าบิดาย่อมเห็นด้วยอย่างแน่นอน อันที่จริงเมืองธาราสวรรค์ก็มินับได้ว่ามีอันใดผูกพันกับตระกูลหยางนอกจากฐานะเจ้าเมืองอันต่ำต้อย ด้วยความรักของหยางจื่อสั่งที่มีต่อบุตรชายแล้ว ย่อมเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหยางอี้อย่างแน่นอน เขามิใช่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าหยางอี้เต็มไปด้วยความกังวลหากเขายังคงรั้งอยู่ที่เมืองแห่งนั้น

 

หลังจากไหว้วานให้ข่งโหลวหลินจัดการส่งสารถึงบิดาแล้ว หยางอี้ยังคงขอให้ส่งเรือลมปราณไปยังเมืองธาราสวรรค์ เพื่อนคนในตระกูลหยางไปยังเมืองหลวงอีกด้วย ด้วยคําขอของหยางอี้ ข่งโหลวหลินจึงรีบดําเนินการในทันที่มิได้ล่าช้าแต่อย่างไร ทั้งยังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอีกด้วย

 

หยางอี้นั้นรู้ดีถึงการนําคนจํานวนมากติดตามไปยังจักรวรรดิมังกรสวรรค์ว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย และอาจนำมาถึงความวุ่นวายในอนาคต แต่การเดิมพันครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า หากมันสําเร็จ ไม่ว่าอย่างไรหยางอี้ต้องจากไปตามเส้นทางของตัวเองแน่นอน ดังนั้นนี่คือการตอบแทนบุญคุณในการเกิดมาเป็นสายเลือดของตระกูลหยางและสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งของตระกูลเจียง! จะนับเป็นอย่างไรได้หากเสียเวลาสักเล็กน้อยในการจัดการเรื่องนี้ ก่อนออกทะยานสู่โลกกว้างอันไร้สิ้นสุดเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งอันนิรันดร์

 

ทวีปจันทร์กระจ่างเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆของโลกใบนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอให้เขาต้องไปพบเจอดังนั้นด้วยการปลดเปลื้องภาระสุดท้ายก่อนโผทะยานออกจากรัง หยางอี้จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และสิ่งแรกที่ต้องทําให้สําเร็จเหนือสิ่งอื่นใดคือการเอาชนะในการประลอง 5 จักรวรรดิที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

 

กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์

กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์

Status: Ongoing
อ่านนิยาย กำเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์หยางอี้เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่พลิกผันจมลงสู่จุดต่ำสุดของชีวิตเพราะบังเอิญไปเจอกับหินลึกลับอันหนึ่ง แต่ในเวลาต่อมาด้วยความเพียรพยายามไม่ย่อท้อก็ทำให้เขาได้พบกับความลับของหินลึกลับก้อนนั้นและความลับนี้เองที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปยืนอยู่เหนือยุทธภพ! ขันพลังต่างๆ *ระดับผู้ฝึกยุทธ์ -ก่อกำเนิด (1-10) แบ่งเป็น 4 -ขั้น 1-3 ขั้นต้น ,4-6 ขั้นกลาง ,7-9 ขั้นปลาย ,10 ขั้นสูงสุด-ครึ่งก้าวเบิกนภา -เบิกนภา (1-10) แบ่งเป็น 4 -ขั้น 1-3 ขั้นต้น ,4-6 ขั้นกลาง ,7-9 ขั้นปลาย ,10 ขั้นสูงสุด-ครึ่งก้าวปฐพี -ปฐพีต้นกำเนิด (1-7) ??? -นภาศักดิ์สิทธิ์ (1-5) ??? -เนมิต (1-3) แบ่งเป็น 3 ขั้น -ขั้น 1 ราชา ,ขั้น 2 ราชัน ,ขั้น 3 จักรพรรดิ ดับสูร (ไร้ระดับ) ??? *มรรคาแบ่งเป็น 7 ระดับ -ความลี้ลับระดับต่ำ (1-10) -ความลี้ลับระดับกลาง (1-10) -ความลี้ลับระดับสูง (1-10) -มรรคาเล็ก (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -มรรคากลาง (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -มรรคาใหญ่ (ตื้นเขิน พื้นฐาน บางส่วน ส่วนใหญ่ สมบูรณ์) -บรรลุสรรพสิ่ง *วิชาต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท -วิชาปราณ –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) -วิชายุทธ์ –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) -วิชาจิต –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) *ระดับวัตถุ/ทรัพยากร/อาวุท –นิล ทอง ปฐพี นภา ราชา ราชัน จักรพรรดิ (แต่ละขั้นมีสามระดับ ต่ำ กลาง สูง) *ระดับ สำนัก/ตระกูล/ประเทศ/ -แบ่งเป็นระดับ 1-10 (ระดับหนึ่งแข็งแกร่งที่สุด จำแนกระดับตามผู้ปกครอง) หากมีเพิ่มเติมจะมาอัพเดทให้ภายหลังตามเนื้อเรื่อง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset