เล่มที่ 4 บทที่ 7 เสียงลึกลับ
เมื่อเรื่องราวจางหายไปสํานักวิหารสวรรค์กลับเข้าสู่ความสง บสุขอีกครั้ง ศิษย์แต่ละคนต่างใช้วิถีชีวิตในเส้นทางของการบ่มเพาะพลังต่อไป ความมุ่งมั่นล้วนบังเกิดขึ้นในจิตใจของผู้คน ส่วนผู้ ถูกคัดเลือกทั้ง 4 คนต่างปิดด่านฝึกตนเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ การคัดเลือกครั้งสุดท้ายในอีก 2 เดือนข้างหน้า
หลังจากที่จัดการเรื่องของบิดาเรียบร้อยหยางอี้จึงเรียกสหาย ทุกคนมาร่วมรับประทานอาหารอีกครั้งเพื่อพูดคุยเรื่องสําคัญเนื่องจากการต่อสู้ที่ผ่านมาทําให้ชายหนุ่มรู้สึกไว้ใจคนกลุ่มนี้อยู่หลายส่วนจึงบอกเกี่ยวกับแผนการตั้งรกรากในจักรวรรดิมังกรสวรรค์
กลุ่มของเฉินเซียงแน่นอนว่าไม่สามารถติดตามไปได้ มีเพียง เป่ยสู่เท่านั้นที่ให้สัตย์สาบานว่าจะคอยติดตามรับใช้นายน้อยของเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หยางอี้เองก็มิได้คัดค้านอันใดเรื่องบางอย่างเขาเองก็มิสามารถกระทําอย่างโจ่งแจ้งได้การมีคนสนิทที่ไว้ใจได้ ช่วยจัดการก็เป็นเรื่องที่ดีจะมีก็เพียงความแข็งแกร่งของเป่ยจู่ที่ยังไม่เพียงพอเท่านั้นหยางอี้จึงวางแผนจะจัดการเรื่องนี้ในอนาคต
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือการเกลี้ยกล่อมเฟยเฟยและเสี่ยวปิง หลัง จากที่พวกนางรอคอยมาเกือบหนึ่งปีเต็มพบกันได้ไม่นานหยางอี้ จะจากไปเสียแล้วมีหรือที่พวกนางจะยอม หยางอี้เองก็เป็นกังวลเรื่องนี้ทว่าจะให้นําพวกนางติดตามไปด้วยคงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงแรกแน่นอนว่าเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตราย การทํางานเช่นนี้ยิ่งน้อยคนยิ่งตัดความวุ่นวายไปได้มากขึ้น ด้วยคําขาดเมื่อใดที่นางทั้งสองก้าวถึงระดับปฐพีขั้นกลางหยางอี้จึงอนุญาตให้ติดตามไปได้โดยมอบหมายเรื่องนี้ไว้ให้กับข่งยี่จางในการนําทางไปรวมถึงเป่ยลี่ด้วยเช่นกัน
หยางอี้คาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาไม่น้อย จึงจะสามารถวาง รากฐานภายในจักรวรรดิมังกรสวรรค์ได้อย่างมั่นคงด้วยความมั่งคั่งของชายหนุ่ม ทรัพยากรล้ําค่ามากมายถูกจัดเตรียมไว้ให้กับเพยเพียและเสี่ยวปิงผ่านทางผู้อาวุโสเหล่ยโหลวด้วยทรัพยากรเช่นนี้แม้กระทั่งเจ้าสํานักเองยังคงต้องอิจฉาสองสาวถูกวางไว้เป็นบุคคลสําคัญของสํานักนับแต่บัดนี้ไปในทันทีเรื่องทุกอย่างถูกจัดการลงอ ย่างรวดเร็ว หยางอี้ในปัจจุบันเข้าใกล้ความสําเร็จของกระบวนท่าที่หนึ่งของสิบบุปผาผันแปรเต็มที่แล้ว หลังจากฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตลอดช่วงที่ผ่านมาความเข้าใจใน ดาบ ของชายหนุ่มถูกยกระดับขึ้นอย่างสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งที่หยางอี้แสดงออกวันประลองข อง ร่วงโรยนั้นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อฝึกฝนจนสมบูรณ์หยางอี้จะมีความเข้าใจจนแตกฉานใน ดาบ อย่างถ่องแท้ อนึ่ง เพราะกระบวนท่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้แจ้งทั้งหมดของราชินีศาสตราทั้งชีวิต ถึงแม้จะเป็นเพียงการทําความเข้าใจแบบย้อนกลับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเขานับเป็นอัจฉริยะโดยแท้
สิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบของหยางอี้คือหมื่นสวรรค์ เนื่องด้วยอาวุธพิส ดารเช่นนี้จึงทําให้เข้ากันได้กับวิชานี้ราวกับของขวัญจากสวรรค์ใน อดีตนั้นความสมบูรณ์ของสิบบุปผาผันแปรนั้นถูกใช้ออกได้สูงสุดเพียง 7 ส่วน ทว่าเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสยบผู้คนได้ทั่วหล้า ฉายาราชินีศาสตรานั้นมิใช่เป็นเพียงไม้ประดับ บุคคลผู้หนึ่งนั้นแสวงหา เต๋าแห่งความแข็งแกร่งเพื่อบําเพ็ญเพียรและฝึกฝน การใช้อาวุธเพียงหนึ่งจนแตกฉานถึงขั้นสร้างเจตจํานงของอาวุธประเภทนั้นได้มิใช่ เรื่องง่าย บางคนอาจใช้ทั้งชีวิต บางคนถึงแม้จะใช้ทั้งชีวิตก็ยังไม่สําเร็จ ทว่าด้วยความหลงใหลและพรสวรรค์อันเปี่ยมล้น นางกลับ สามารถเข้าถึงเจตจํานงของอาวุธได้ถึง 5 รูปแบบ และมีอีก 5 รูป แบบที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงแต่ยังไม่สามารถบรรลุถึงเจตจํานงได้
เจตจํานงคืออะไร? พูดง่ายคือผู้ที่บรรลุถึงขั้นนั้นแม้เพียงใบไม้ก็ ยังสามารถกลายเป็นอาวุธได้ และด้วยการบรรลุถึงขั้นนี้ได้ 5 รูป แบบ จึงทําให้ สิบบุปผาผันแปรบังเกิดขึ้น บุปผา นั้นมาจากการที่ นางชมชอบในการใช้กลีบดอกไม้สร้างเป็นอาวุธด้วยการแฝงเจตจํานงเข้าไป ผันแปร คือ กลีบดอกไม้นับร้อยนับพันนั้นสามารถ แปรเปลี่ยนไปตามเจตจํานงของนางที่ใส่ลงไปได้ พูดให้ถูกแล้วมัน แทบจะไม่ต่างอะไรกับอาวุธพิสดารของหยางอี้เลยแม้แต่น้อย
วันเวลาผ่านไป หยางอี้ยังคงกวัดแกว่งร่ายรํากระบวนท่าด้วยดา บอย่างหนักหน่วง ตลอดเวลาเกือบสามเดือนภายในมิติ ไม่รู้ว่าเขาฟันดาบออกไปแล้วกี่ครั้ง เสี่ยวเฮยมองดูภาพเดิมซ้ําๆ แล้วนึกย้อนกลับไปเมื่อคราวที่ชายหนุ่มออกหมัดฝึกฝนหัตถหลอมตะวันจนหมดเรี่ยวแรง ก็อดมิได้ที่บังเกิดความภูมิใจ ในฐานะผู้เฝ้ามองชายหนุ่มตั้งแต่เยาว์ ความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นเช่นนี้จะปรากฏได้ ในผู้ที่มีอนาคตไร้ขีดจํากัดเท่านั้น! ต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่งแค่ไหน หากยังเกียจคร้านหลงระเริงในอํานาจ อย่างไรก็ไม่มีทางก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดได้อย่างแน่นอนบรรพบุรุษในอดีตที่สร้า งชื่อล้วนผ่านความยากลําบากและความพยายามไม่สิ้นสุดมาด้วยกันทั้งสิ้น
ขณะเดียวกับที่หยางอี้มุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝน ด้านนอกหลังจาก ความสงบสุขของสํานักดําเนินมาได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องโกลาหลขี้นอีกครั้ง ความวุ่นวายนี้ส่งผลไม่น้อยต่อสํานักวิหารสวรรค์ เหลียงซานอัจฉริยะอันดับที่ 7 ของผังฟ้าถูกสังหารโดยบางคนภายในที่ พักของมันเอง ตระกูลเหลียงนั้นถือได้ว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นบิดาของเหลียงซานผู้นําตระกูลเหลียงเดินทางมาด้วยตัวเองการถกเถียงดําเนินไปได้ไม่นานตระกูลเหลียงจําต้องกล้ํากลืนความโกรธแค้นกลับไป โดยสํานักได้รับอุปถัมภ์น้องชาย คนเล็กของเขาเข้ามาดูแลเพื่อเป็นการยุติเรื่องนี้ด้วยอํานาจของสํา นักวิหารสวรรค์การทําเช่นนี้นั้นแปลกประหลาดเกินไปอีกทั้งยังมีคําสั่งลงมาจากตําหนักตุลาการห้ามมิให้พูดถึงเรื่องนี้
หลายคนสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากเพราะการกระทําของข่’ยีจางผู้อาวุโสตุลาการค่อนข้างเปิดเผยคนทั้งสํานักรู้ว่าเหลียงซานเป็นคนยังไงและที่สําคัญมันยังหมายปองสองเทพธิดาซึ่งเป็น ผู้หญิงของหยางอี้ อีกทั้งเรื่องที่เหลียงซานวางแผนจัดการหยางอี้ก็ ถูกเปิดโปงแล้วโดยเอ๋อจิ้งในการประลองรวมทั้งการที่หยางอี้ได้รับ การสนับสนุนจากผู้อาวุโสหลายคนทําให้เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก หากการตายของเหลียงซานถูกทางสํานักบอกปัดและรับหน้าที่ตาม หาผู้ลงมือให้ บทสรุปย่อมมิเป็นเช่นนี้ ทว่าทางสํานักกลับเป็น ผู้รับผิดชอบต่อการตายของเหลียงซานเพื่อปลอบประโลมตระกู ลเหลียง ทําให้ทั้งสํานักรับรู้เป็นนัยว่านี่คือตัวอย่างของจุดจบผู้ที่ข้องแวะกับบุคคลทั้งสาม (หยางอี้กับสองสาว)
หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปในที่สุด
ด้านหน้าเรือนพักของหยางอี้ในลานฝึกซ้อม ชายหนุ่มยังคงกวัด แกว่งดาบเฉกเช่นเดิมเหมือนทุกวันกระบวนท่าแรกของสิบบุปผา เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบไปทุกที กระนั้นยังคงติดอยู่ที่คอขวดสุดท้ายก่อนจะก่อเกิดเป็นเจตจํานงแห่งดาบ
ชายหนุ่มยืนอย่างเงียบสงบจ้องมองไปยังกลีบบุปผาเบื้องหน้าที่ บิดพลิ้วไปตามกระแสลมสัมผัสของร่างกายถูกเปิดออกอย่างเต็มที่ เพื่อจับการเคลื่อนไหวของกระแสลมเบื้องหน้าจวบจนคลื่นลมพัดผ่านไปกลีบบุปผาฟุ้งกระจายออกรอบข้างก่อน จะร่วงโรยลงสู่พื้นทว่าหนึ่งในนั้นยังคงโบกสะบัดก่อนจะค่อยๆร่ วงหล่น ดวงตาอันนิ่งสงบดุจมหาสมุทรพลันเปล่งประกายเจิดจ้าก่อนที่กลีบนั้นจะโรยรินสู่พื้นกาลเวลารอบข้างพลันดําเนินไปอย่าง เชื่องช้ามีเพียงชายหนุ่มที่ร่างกายมิรู้เคลื่อนไปยังกลีบนั้นตั้งแต่ตอนไหน ดาบในมือที่ดูเหมือนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าทว่าเพียงพริบตา จากกลายยกขึ้นบังเกิดแปรเปลี่ยนเป็นลงดาบเสียแล้ว มิต้องคาดเดาชั่วอึดใจต่อมากลีบบุปผาเกิดประกายเรืองรองก่อนจะแยกออกเป็นแปดส่วนร่วงลงสู่พื้น
“เฮ้อ… ยังไม่ใช่ อีกนานเท่าใดข้าจึงบรรลุถึงเจตจํานงแห่งดาบ”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจแต่ในดวงตากลับไม่มีแม้ แต่น้อยที่จะปรากฏร่องรอยของการยอมแพ้ ชายหนุ่มจับดาบอีกครั้งหมายจะออกกระบวนท่าฝึกฝนต่อไป แต่ก่อนหน้านั้นกลับมีเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งดังออกมากระทบเข้าที่โสตประสาทจนทําให้ตัวเขาต้องหยุดชะงัก
“จงปล่อยวาง….ตัวเจ้านั้นกระหายในการเข้าถึงเกินไป การจะ เข้าใจได้อย่างถ่องแท้นั้นตัวเจ้าและดาบต้องรวมเป็นหนึ่งทุกสิ่งกลับคืนสู่ความว่างเปล่าบังเกิดเป็นเจตจํานงอันลึกล้ํา”
“เป็นผู้ใด? ผู้อาวุโสท่านใด? โปรดแสดงตนได้หรือไม่?”
หยางอี้กล่าวถามออกมาอย่างงุนงง แม้กระจายสัมผัสออกไปก็ม อาจค้นพบตัวตนของอีกฝ่ายทว่าเจตนาของอีกฝ่ายคือการแนะนําหยางอี้เมื่อรออยู่หนึ่งเค่อไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะตอบรับ จึงถอน หายใจเข้าสู่สมาธิเพื่อทบทวนกับคําแนะนําของเสียงนั้นอีกครั้ง
บนยอดไม้ต้นหนึ่งห่างออกไปหลายลี้ปรากฏเป็นชายชราร่างเตี้ย ในชุดค่อนข้างมอมแมมเล็กน้อยด้วยใบหน้าขี้เล่นรวมกับผมหงอกขาวที่ขึ้นเพียงสองข้างกระหม่อมเว้นตรงกลางไว้ราวกับแอ่งน้ําทํา ให้สภาพของเขาไม่ต่างไปจากขอทานเจ้าเล่ห์เลยแม้แต่น้อย
“ฮ่ๆ นับว่าใช้ได้ อายุเพียงเท่านี้กลับบรรลุถึงระดับสูงในหลายๆ ด้าน สมแล้วที่เฒ่าชางรับเป็นผู้สืบทอด”
ตัวเขานั้นเฝ้ามองหยางอี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ด้วยศักยภาพที่ ชายหนุ่มแสดงออกในการฝึกฝนทําให้เขาเองก็ตกตะลึงไม่น้อยที่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้กลับบังเกิดบุคคลเช่นนี้ขึ้นมาจะมีก็แต่ความสงสัยที่ บางทีเจ้าเด็กนี่อยู่ๆก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ระหว่างมองดูหยางอี้ ทําความเข้าใจกับคําแนะนําอยู่ ดวงตาเขาพลันกระจ่างวาบเหมือน จะคิดเรื่องสนุกๆอะไรได้
“อ้ะ เจ้าหนูเป็นศิษย์ของเฒ่าชางงั้นข้าก็เป็นอาจารย์อาใช่หรือ ไม่ เช่นนั้น ยี่สี่ เอาไว้ค่อยรอให้เขาบรรลุเจตจํานงแห่งดา บก่อนแล้วกัน เฒ่าชางจงภูมิใจเถิดได้เซียนสุราเช่นข้าดูแลศิษย์เจ้า ”
สิ้นเสียงหัวเราะสุรารสเลิศในน้ําเต้าสีทองก็ถูกยกขึ้นกรอกปาก ไปอีกใหญ่ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะปรากฏแววยินดีเมื่อกําลังจะพบเจอเรื่องสนุกและเฝ้ามองหยางอี้ต่อไป