กําเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ เล่มที่ 4 บทที่ 12 แต่ข้าใส่ใจ
คลิปหลุด
“นี่…”
ข่งยี่จางชะงักขึ้นในทันที เรื่องนี้ไม่เล็กแน่นอน นายน้อยของเขาเป็นยังไงเขารู้ดี เพียงถูกรังแกเล็กๆน้อยๆยังสู้จนไม่ยอมแพ้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าครั้งนี้คนในตระกูลและบิดาถูกทําร้าย ไม่แน่ว่าคําสบถที่เขากล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าวิหารสวรรค์จะทําสงครามกับป้อมปฐพี่คงจะเป็นจริงอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสจางทําอย่างไรต่อดี”
ราชาตู่ยี่หลงกล่าวออกมาขอความเห็น ถึงเขาจะไม่รู้ว่าหยางอี้ก้าวร้าวอย่างไรแต่เมื่อเห็นสีหน้าของข่งยี่จาง เขาก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องต้องยุ่งยากแน่นอน
“เฮ้อ เอาเถอะไปหานายน้อยก่อน หากสวรรค์ลิขิตแล้วก็ให้มันดําเนินไปตามนั้น”
“ไม่ได้! พวกท่านอย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด”
ในขณะที่กําลังจะออกไปหยางจื่อสังก็กล่าวขึ้นมาในทันที ศัตรูแข็งแกร่งเกินไปเขาจะยอมให้หยางอี้ไปเสี่ยงอันตรายได้ยังไง หยางจื่อสั่งไม่รู้ว่าตอนนี้บุตรชายเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนทว่านี่ก็เพียงแค่ไม่ถึงสองปีเท่านั้น หยางอี้ยังมีอนาคตที่ดี กับเรื่องอัปยศครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“แต่ว่า…”
“ขอบคุณผู้อาวุโสจางที่กังวล แต่นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามิได้ใส่ใจอะไรมากนัก”
“แต่ข้าใส่ใจ!”
เสียงเย็นชาดังมาจากประตูเข้าตําหนัก สายตาทุกคนหยุดชะงักก่อนจะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีครามที่กําลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ด้านหลังยังมีชายชราอีกหนึ่งคนเดินตามมา
“นายน้อย ท่านบรรพชน”
ข่งยี่จางเดินเข้ามาพร้อมกับคํานับทั้งสอง เขาเองก็ไม่คิดว่าบรรพชนจะมาด้วยเช่นนี้ หากเป็นอย่างนี้เรื่องกง่ายมากขึ้นยังไม่ต้องคิดถึงสงครามเอาแค่เวลานี้ป้อมปฐพี่ไม่มีทางต่อกรกับ ท่านบรรพชนได้อย่างแน่นอน
หลังจากทักทายคนอื่นๆหยางอี้เดินเข้าไปหาหยางจื่อสั่งในทันที ด้านข้างยังคงมีชายชราอีกสองคนยืนประคองเขาอยู่ ชายหนุ่มมองไปยังร่างของคนในตระกูลด้วยสายตาอันอบอุ่น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอกับครอบครัวเช่นนี้
“คาราวะท่านพ่อ ท่านลุงจิ้ง ท่านลุงจง”
“อ่า.. อี้เอ๋อ ฮ่าๆ ดีจริงๆ เจ้าเติบโตขึ้นมาก มารดาของเจ้าต้องภูมิใจเป็นแน่”
หยางจื่อสังกล่าวออกมาเสียงดัง รอยยิ้มของทั้งสามมองมายังชายหนุ่มด้วยความอบอุ่น เรื่องนี้ทําให้หยางอี้มีความสุขเป็นอย่างมากก่อนที่สายตาของชายหนุ่มจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อมองดูรอบๆและมาจบลงที่บาดแผลของหยางจื่อสั่ง
“เกิดอะไรขึ้นท่านพ่อ ผู้ใดที่ลงมือทําร้ายท่าน”
“เรื่องนี้ อ่า ช่างมันเถอะ เวลานี้เจ้ากลับมาเราควรฉลองกันให้มีความสุข อย่าได้คิดถึงเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นอีก”
หยางจื่อสังพยายามเปลี่ยนเรื่องแต่มีหรือหยางอี้จะยินยอม ตัวเขาไม่เคยยอมให้ผู้ใดมารังแกอยู่แล้วไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่กล้ามายุ่งกับครอบครัวเขา หยางไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน
“ท่านพ่อโปรดบอกข้ามา ผู้ใดเป็นคนทําร้ายพวกท่าน”
หยางจื่อสั่งมองไปยังสายตาของบุตรชาย สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาและเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นออกไป เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุหยางขมวดคิ้วอย่างงงๆก่อนจะกลายเป็นโมโหอย่างมาก เรื่องนี้เขาไม่เห็นว่าตัวเขาจะเกี่ยวข้องแต่อย่างใดเลยมิใช่หรือ สารเลวพวกนั้นกล้ามาทําเช่นนี้ได้อย่างไร ส่วนคนอื่นๆรวมทั้งราชายหลงก็โกรธเกรี้ยวเช่นกัน เดิมที่คิดว่าพวกหว่านถูมาทําวางอํานาจรังแกตระกูลหยาง แต่เมื่อรู้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องของตูหลินเขาจึงโกรธเป็นอย่างมากก่อนจะเดินเข้ามาขอโทษหยางอี้และหยางจื่อสั่ง
“องค์ราชาอย่าได้กล่าวเช่นนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ในเมื่อสุนัขพวกนั้นต้องการความรุนแรงข้าก็จะสนองให้ ยจางนําทางไป!”
“ขอรับนายน้อย”
ข่งยี่จางกล่าวอย่างสุภาพก่อนจะนําทางออกไป หยางจื่อสั่ง ได้แต่เป็นกังวลเมื่อหยางอี้ไม่ฟังคํากล่าวเตือน ทว่าองค์ราชาได้บอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วงไปในเมื่อเบื้องหลังหยางอี้ยังมีบรรพชนของวิหารสวรรค์ยืนอยู่ สําหรับบรรพชนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว หน้าที่ของเขาคือปกป้องหยางอี้เท่านั้น ไม่ว่าชายหนุ่มจะตัดสินใจทําอะไรเขาก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ หากเทียบการเป็นศัตรูกับหยางอี้แล้ว การเป็นศัตรูกับป้อมปฐพีเป็นเพียงเรื่องผายลมเท่านั้น
หน้าในตําหนักพักผ่อนของป้อมปฐพี กลุ่มของหยางอี้เดิน มาก่อนจะหยุดเบื้องหน้า ศิษย์สองคนของป้อมปฐพีเมื่อเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าด้วยความหยิ่งผยองของสํานักใหญ่จึงตวาดขึ้น
“หยุด ! ที่นี่เป็นเขตทีพ”
ตูม !
ไม่ต้องพูดจบประโยค ฝ่าเท้าของหยางอี้ประเคนเข้าใบหน้าของมันทันที หนึ่งในสองกระเด็นเข้าไปกระแทกกําแพงจนหมดสติในทันที ศิษย์อีกคนของป้อมปฐพี่ยืนมองด้วยความตกตะลึงทันที แต่ด้วยความหยิ่งยโสมันจึงเปลี่ยนจากความกลัวเป็นความโกรธ
“สารเลว บังอาจนัก!”
“ไปตามสุนัขหว่านถมาพบข้า”
หยางอี้กล่าวออกมาอย่างเย็นชาก่อนที่ศิษย์คนนั้นจะได้ กล่าวอะไรราชายหลงก็กล่าวออกมาก่อน ศิษย์คนนั้นจึงมองอย่างประหลาดใจแล้วรีบไปตามนายท่านของมันออกมา เรื่องนี้ใหญ่เกินตัวมันไปแล้ว
หยางอี้รออยู่ไม่นานหว่านดูและหว่านเจิ้นก็ปรากฏตัวออกมา ใบหน้าของพวกมันไม่มีความโกรธเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของพวกมันยังคงมีแต่ความเย้ยหยัน ทั้งสองรู้ดีว่าสํานักอื่นๆ ต้องมาถึงแล้วและในเมื่อผู้สร้างความวุ่นวายมีราชายหลงอยู่ด้วยก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นเรื่องอะไร
“ฮ่าๆ ข้านึกว่าสุนัขที่ไหนมาเห่าหอน ที่แท้ก็เป็นขอทานบ้านนอกนี้เอง”
หว่านเจิ้นกล่าวออกมาด้วยความเย้ยหยันเมื่อเห็นใบหน้าของหยางอี้ มันจําได้ดีว่าชายผู้นี้เป็นใคร สายตาของมัน เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันยหลง ราชวงศ์คิดจะสร้างความลําบากให้กับป้อมปฐพีหรือไง?”
โดยไม่มีความเกรงกลัวหว่านถูกล่าวออกมาอย่างผยอง ถึงแม้เขาจะมองเห็นข่งยีจางซึ่งอยู่ในระดับจักรพรรดิของวิ หารสวรรค์ก็ตาม แต่จะเป็นอย่างไรเล่าเมื่อบิดาของเขาอยู่ที่นี่ ด้วยตัวตนของผู้นําป้อมปฐพี่ไม่ใช่อะไรที่ผู้อาวุโสใหญ่ของสํานักอื่นจะเทียบเคียงได้
“อย่าได้ใจให้มากนักหว่านดู ที่นี่คือวังหลวงมิใช่ป้อมปฐพี ถึงแม้ผู้นําของเจ้าจะอยู่ที่นี่ก็อย่าได้คิดว่าจะทําอะไรได้ตามอําเภอใจ”
เมื่อฟังคํากล่าวของราชายหลง หว่านถูทําเพียงยิ้มเยาะออก มาเพื่อยั่วโมโห หากเกิดเรื่องจริงเขาไม่เกรงกลัวอยู่แล้ว ดีเสียอีกเพาะเขาอาจจะทําให้ตูหลินยอมตกลงกับบุตรชายของเขา ทว่าก่อนจะได้โต้เถียงอะไรกันหยางอี้ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ สายตาของเขาจ้องมองไปยังหว่านเจิ้นบุรุษร่างใหญ่ที่เบื้องหน้า ก่อนที่น้ําเสียงเย็นเฉียบจะดังออกมา
“เจ้าใช่หรือไม่ที่เป็นคนทําร้ายตระกูลของข้า”
หว่านเจิ้นมองไปยังขอทานบ้านนอกผู้นี้อย่างใจเย็น ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน
“เป็นข้าเอง! ที่ลงมือกับไพรชั้นต่ำพวกนั้น ทําไม? เจ้าจะทําอะไรข้า? ฮ่าๆๆ”
ขณะที่หว่านเจิ้นกําลังหัวเราะประกายตาของหยางอี้พลัน แผ่จิตสังหารขึ้นมาทันที ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวจนขนลุก
วูปปป
หว่านเจิ้นไม่ทันสังเกตว่าหยางอี้หายไปจากเบื้องหน้ามันแล้ว รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มในชุดครามก็เข้ามาประชิดตัวมัน ด้วยความงุนงงหว่านเจิ้นทําได้เพียงมองฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาปะทะกับหน้าของมันอย่างมิอาจทําอะไรได้
ปัง!
ตูม!
ผู้คนนอกจากข่งยี่จางและบรรพชนมองเหตุการณ์นี้ด้วย สายตาเบิกกว้าง เพียงการตบครั้งเดียวของหยางอี้ได้ส่งร่างบึกบึนของหว่านเจิ้นที่อยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงบินไปกระแทกกําแพงไกลกว่า 10 เมตร