กําเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ เล่มที่ 4 บทที่ 16 การลงทัณฑ์ของพระเจ้า
วีด วีด วีด
เสียงหวีดหวิวแหวกผฝ่าอากาศ เส้นแสงสีฟ้าแดงทะยานดิ่งลงสู่พสุธาด้วยความรวดเร็ว กลิ่นอายพลังปราณมหาศาลรวมกับเสียงร้องคํารามอันทรงพลังของจิตวิญญาณทั้งสองที่มากพอจะทําให้ผู้คนในเมืองหลวงต้องสั่นกลัว
“ย ย หยุด! ข้ายอมแพ้ ข้ายอมแพ้ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
หว่านถูมองไปยังกลุ่มก้อนพลังมหาศาล ที่ใจกลางเป็นร่างเด็กหนุ่มชี้หอกพุ่งดิ่งลงมาหาเขาด้วยความหวาดกลัว ไม่ต้องกล่าวว่าเขาจะรอด แม้กระทั่งร่างกายเขาจะเหลือเป็นชิ้นส่วนหรือเปล่าก็ยังไม่รู้หากเจอพลังเช่นนี้เข้าบดขยี้!
“สายไปแล้ว…จงสํานึกเสียใจในปรโลกเสียเถอะ!”
ตูม !!!!
ราวกับวันสิ้นโลก เสียงดังกัมปนาทกู่ก้องจนหูอื้อ ผู้คนกลายเป็นนั่งกุมเข่าด้วยความหวาดกลัว หลังจากเสียงระเบิดทุกสรรพสิ่งภายในเมืองกลายเป็นเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ใครจะกล้าส่งเสียงร้อง เมื่อผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกคนจึงลุกขึ้นมองไปยังจุดที่เป็นต้นเสียง
ภายเบื้องหน้าที่สายตานับล้านได้มองเห็น มันคือโดมขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยฝุ่นควันสีน้ําตาลอัดแน่นจนไม่อาจมองเห็นภายใน
เปรี้ยะ…
เสียงบางอย่างดังขึ้นก่อนจะเกิดเป็นรอยร้าวที่จุดๆหนึ่ง วิ่งลามไปทั่วทั้งโดมราวกับใยแมงมุม ผลึกของพลังปราณที่เกิดจากการรวมพลังกันของผู้อาวุโสเพื่อกางม่านพลัง ค่อยๆร่วงหล่นอย่างช้าๆพร้อมกับสลายหายไป ฝุ่นควันด้านในถูกกระแสลมที่ปั่นปวนพัดปลิวว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างยกมือขึ้นมาป้องกันดวงตาพร้อมกับเบือนหน้าหนี
และช่วงที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกตินั้นเอง ใจกลางโดมก่อนหน้านี้ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์แบบ ทั่วทั้งร่างกายเป็นไปด้วยริ้วรอยของบาดแผล เส้นผมยาวดําพลิ้วไสวโบกพัดไปตามแรงลมอันเชี่ยวกรากในมือของเขา ยังคงถือไว้ด้วยหอกยาวอันสวยงามสีฟ้าแดงที่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขาม
บนท้องฟ้าล้อมรอบตัวชายหนุ่มยังคงเห็นเป็นภาพมายาของสองราชันย์ทะยานล่องไปมาก่อนจะหายไปในที่สุด ราวกับเทพสวรรค์ที่มาลงทัณฑ์ปีศาจร้าย ผู้คนนับล้านก้มลงคุกเข่ากราบไหว้ในทันที ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ไม่มีใครรู้ว่าเขาทําอะไรอยู่ เพียงสิ่งเดียวที่ประชาชนของเมืองหลวงเชื่อมั่น นั่นคือไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสง่างามและทรงพลัง น่าเกรงขามได้มากขนาดนี้นอกจากเหล่าเทพเจ้า!
บริเวณไม่ไกลจากหยางอี้ ผู้อาวุโสเกือบยี่สิบต่างหมดสติไปเรียบร้อย สภาพของแต่ละคนกลายเป็นง่อยเปรี้ยอ่อนแรง บรรพชนข่งจาง และองค์ราชาต่างคุกเข่าลงกับพื้นกระอักเลือดกลับออกมาคนละหลายคํา อวัยวะภายในบาดเจ็บหลายส่วน ดวงตาของพวกเขาสั่นไหวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองไปยังเบื้องหน้า
บริเวณพื้นดินข้างใต้ของหยางอี้ นับจากจุดที่หว่านถูเป็นศูนย์กลางกว้างออกไป 1 กิโลเมตรกลายเป็นเป็นหลุมลึกราวกับหน้าผาที่ดําสนิท เพียงหนึ่งการโจมตีกลับสามารถสร้างผาลึกขึ้นในเมืองหลวง?
“พลังทําลายนี่มันอะไรกัน?”
ยี่หลงกล่าวออกมาราวกับคนเสียสติ ภายในหัวเขาขาวโพลนไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระทํา? ทั้งที่เขาอยู่เพียงระดับปฐพี? สวรรค์นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?
บรรพชนและข่งยี่จางเองก็ไม่คิดว่าการลงมือของหยางอี้จะรุนแรงเช่นนี้ เป็นไปได้ว่านี่คือความสามารถที่แท้จริงของหมื่นสวรรค์? ด้วยพลังของดวงจิตราชันย์ทั้งสองรวมกับทักษะสุดยอดระดับจักรพรรดิแม้จะดูสมเหตุสมผล แต่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ? อย่าลืมว่าผู้ใช้อย่างหยางอี้เป็นเพียงระดับปฐพีขั้นกลางเท่านั้น!
ด้านบนหลังจากกระอักเลือดออกมาหนึ่งคําร่างของเทพ เจ้าในสายตาผู้คนก็ร่วงหล่นลงมาทันที หยางอี้เพียงใช้ออกด้วยพลังของหมื่นสวรรค์เท่านั้น นี่ไม่ใช่พลังจากตราประทับเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหยางจะฝึกฝนกายาตะวันอมตะที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นมากนักก็ตาม แต่ด้วยพลังของอาวุธระดับจักรพรรดิที่ผสานจิตวิญญาณถึงสองดวงไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาในตอนนี้จะทนทานได้
ไม่ใช่ว่าหยางอี้ไม่ประมาณตัวแต่ความยั่วยวนใน การทดสอบหมื่นสวรรค์ด้วยขีดจํากัดสูงสุดในยามนั้นมันมีมากเกินไป ทั้งความกดดันและความอยากรู้อยากเห็นมัน ได้กระตุ้นให้หยางอี้ใช้ออกด้วยขีดจํากัดของหมื่นสวรรค์
“จางเร็วเข้า!”
บรรพชนและข่งจางพุ่งตัวออกไปทันที แม้ร่างกายพวก เขาจะได้รับบาดเจ็บภายในแต่การช่วยชีวิตหยางอี้สําคัญยิ่งกว่า ใครจะไปรู้ว่าเจ้าหนูนั้นยังมีสติอยู่หรือไม่! ขณะที่ข่งยี่จางพยุงร่างตัวเองพุ่งเข้าไปรับหยางอี้ที่กําลังร่วงลง มาบรรพชนก็รีบพุ่งขึ้นไปเหนือน่านฟ้าบริเวณนั้นทันที ยังมีอีกอย่างที่เขายังไม่วางใจนั่นคือ หว่านป้อ!
มุมหนึ่งของริมหน้าผา ร่างชราของหว่านป้อปัดเศษหินที่กองทับถมร่างของเขา ลุกขึ้นมาด้วยความสะบักสะบอม หว่านป้อลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างไปจากขอทานเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าหน้าผมเต็มไปด้วยรอยขาดวิ่นและบาดแผล
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึง กลายเป็นอย่างนี้ไปได้? หรือมีผู้ทรงพลังคนใดโจมตีเมืองหลวงแห่งนี้?”
“ฮ่าๆ สภาพเจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ หว่านป้อ”
เสียงชราภาพดังออกมาจากด้านบน หว่านป้อเงยหน้าขึ้นมองร่างของชายชราด้วยความงุนงง บรรพชนวิหารสวรรค์? หว่านป่อเต็มไปด้วยความสับสน ล่าสุดที่เขาจําได้คือถูกชายชราผู้นี้โจมตีอย่างฉับพลันจนเขากระเด็นไปหลายเมตร แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ต้องใช้การถดถอยระยะหนึ่งเพื่อสลายพลังโจมตี และหลังจากนั้นการระเบิดก็เกิดขึ้น!
“ตาเฒ่า นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
“ฮ่าๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะกังวล เรื่องที่สําคัญกว่านั้นคือบุตรชายเจ้าได้กลายเป็นผงธุลีไปเรียบร้อยแล้ว!”
หว่านป้องนงง บุตรชายเขา? ถูเอ๋อร์? ถูเอ๋อร์ตายแล้ว? สีหน้าเขายิ่งมายิ่งหมองคล้ํา หว่านป้อคํารามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ตาเฒ่าเจ้าเพ้อเจ้ออะไร? หว่านถูตกตาย? เฮอะ เจ้าจะบอกว่าเด็กสารเลวนั่นแข็งแกร่งกว่าลูกชายข้า?”
“ฮ่าๆ เมื่อตรวจสอบเจ้าจะเข้าใจเอง วันนี้ตาเฒ่าผู้นี้ไม่มีอารมณ์จะฆ่าคน จงนําคนของป้อมปฐพีทั้งหมดม้วนหางกลับไปซะ! หากตะวันตกดินข้ายังเห็นคนของเจ้าข้าจะสังหารให้สิ้น!”
บรรพชนไม่สนใจหว่านป้ออีก เขาเตรียมตัวจะหันหลังจากไปทว่าก่อนหน้านั้นสายตาเขามองไปยังหลุมลึกเบื้องหน้าพร้อมจิตใจที่สั่นไหว
“หว่านป้อเอ๋ย เห็นแก่ที่ป้อมปฐพี่เป็นหนึ่งในสํานักที่ค้ําจุนจักรวรรดิแห่งนี้เจ้าหนูนั่นไม่ใช่คนที่พวกเจ้าหรือ แม้แต่ข้าเองจะไปยั่วยุได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเบื้องหลังของเขาที่ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ เจ้าจงมองดู…เห็นหรือไม่? เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถรองรับความรุนแรงเช่นนี้ได้? จงไตร่ตรองดูให้ดี”
พูดจบบรรพชนก็พลิ้วกายจากไปทันทีทิ้ง ไว้ให้หว่านป้อนั่งจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง สีหน้าของเขากลายเป็นขาวซีด จากเจตนาของบรรพชนวิหารสวรรค์เขาสามารถรู้ได้ว่าไม่ใช่การข่มขู่แม้แต่น้อย ด้วยคําพูดและน้ําเสียงนั้นราวกับว่าเป็นการกล่าวเตือนครั้งสุดท้าย
“ข้าทําอะไรลงไป? เหตุใดข้าจึงโง่เขลาไปยั่วยุปีศาจร้ายเช่นนี้กัน?”
กลับมาที่หยางอี้ ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายรับภาระหนักเกินไปทําให้ยากจะขยับไหว คนรู้จักทั้งหมดรีบเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วงโดยเฉพาะหยางจื่อส้ง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยความกังวลกับบุตรชาย แต่แววตาของความภาคภูมิใจนั้นส่องประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“อี้เอ๋อร์ มา ให้พ่อได้พาเจ้ากลับไปพัก”
“ขอรับท่านพ่อ”
หยางอี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยร่างของเขาให้ หยางจื่อส้งประคองกลับไปยังพระราชวังโดยมีคนที่เหลือเดินตามไปทั้งหมด
เรื่องราวครั้งนี้ได้กลายเป็นตํานานของเมืองหลวงบทที่สองหลังจากในอดีตมีเรื่องราวตํานานขององค์ชายผู้โง่เขลาที่นําพาภัยพิบัติมาสู่เมืองหลวงแห่งนี้
ต่อจากนี้ไปอีกสิบปี ร้อยปี หรือพันปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถูกบอกเล่าผ่านผู้คนมากมายในนามของตํานาน
“การลงทัณฑ์ของพระเจ้า”