กําเนิดเทพเจ้าเหนือยุทธ์ เล่มที่ 4 บทที่ 18 ก่อนเดินทาง
เล่มที่ 4 บทที่ 18 ก่อนเดินทาง
“ฮ่าๆ ดีๆ แม่นมเหลียงสั่งการออกไป วันนี้ข้าจะจัดงานฉลอง!”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ฮ่าๆ เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะไปเยี่ยมพี่ส้งเสียหน่อย”
ราชาตู่ยี่หลงมีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อแม่นมเหลียงเข้ามารายงาน แผนของเขาสําเร็จไปได้ด้วยดี และก็อีกเช่นกันที่บังเอิญเด็กทั้งสองคนนั้นก็พอมีใจให้กันบ้าง ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เล็กน้อย หลังจากการต่อสู้กับป้อมปฐพี เขาจึงได้รู้จักนิสัยของชายหนุ่มมากขึ้น
แต่บัดนี้ราวกับสวรรค์เป็นใจให้เขายกภูเขาอันหนักอึ้งออกจากอก ราชาตู่ยี่หลงคิดไม่ออกจริงๆหากหยางอี้ตรวจสอบถึงเรื่องเทียนหอมเขาจะตอบคําถามออกไปอย่างไร และหากชายหนุ่มไม่ยินดีจะรับผิดชอบชีวิตต่อไปของบุตรสาวเขาจะเป็นเยี่ยงไร ในฐานะพ่อเขาอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปบ้างแต่ในฐานะกษัตริย์เขาจําเป็นต้องเสี่ยงเพราะนี่เป็นโอกาสเดียว
โดยไม่รู้ตัวที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้นั้นเพราะหยางอี้ไม่ติดใจอะไรและบังเกิดความรักขึ้นกับตู่หลิน หาไม่แล้วเรื่องนี้จะไม่จบโดยง่ายแน่นอน หยางอี้ย่อมรับผิดชอบต่อนางแต่จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตระกูลต์! โชคดีที่ชายหนุ่มยังสํานึกในบ้านเกิดและเรื่องที่ตู่ยี่หลงเคยให้ความช่วยเหลือในอดีต แผนการของราชานั้นไม่ได้ผิดพลาดแต่เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าในนั้นยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่คงอยู่! ไหนเลยราชันย์แห่งอสรพิษจะไม่รับรู้ถึงยาปลุกกําหนัด?
พลบค่ำหยางอี้และตู่หลินจึงได้ออกจากตําหนักและตรงไปยังท้องพระโรงตามคําเชิญของราชา แม้ว่าเขาจะไม่ชอบงานสังสรรค์เช่นนี้แต่หยางอี้ก็มิได้ปฏิเสธ กลับกันเมื่อมาถึงชายหนุ่มพบเห็นเพียงคนของตระกูลหยางและคนสําคัญของราชวงศ์คู่เท่านั้น ทําให้งานนี้เสมือนว่าเป็นการจัดเลี้ยงในครอบครัวเสียมากกว่า
หยางอี้ส่ายหัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินนําตู่หลินเข้าไปด้านใน มองไปที่ตู่หลินใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้มิได้คิดจะปกปิดความสัมพันธ์ของทั้งสองเลย หยางอี้นั้นไม่ได้บอกถึงเรื่องเทียนหอมกับนางเขานั้นรู้อยู่เต็มอกว่าปานนี้ทุกคนคงได้รู้แล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตู่หลินนั้นคิดต่างออกไป
เพราะสิ่งที่นางคิดนั้นจึงทําให้นางอับอายเป็นอย่างมากย้อนกลับไปเมื่อนางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็มิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ด้วยตัวนางเองทําไมจะไม่รู้ว่าเสียงร้องอันเร่าร้อนของนางดังออกมามากแค่ไหน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเหล่าสาวใช้ภายในวังปากไม่มีหูรูดกันอยู่แล้วเพียงพริบตาเรื่องนี้ก็รู้กันไปทั้งวัง ด้วยความบริสุทธิ์ของนางเรื่องชื่อเสียงนั้นนางไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยอยู่แล้ว แต่หากมีคนรู้ถึงความเร่าร้อนเหล่านั้นนางก็อดมิได้ที่จะเอียงอาย
“คารวะองค์ราชา คารวะท่านพ่อ”
“คารวะพระบิดา คารวะท่านลุงส้ง”
หยางอี้และตู่หลินกล่าวขึ้นเมื่อเข้ามาภายในห้องโถง เสียงของทุกคนเงียบลงอีกครั้งเมื่อแขกคนสําคัญมาถึง ราชาและหยางจื่อส้งหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อมองไปทั้งสอง ใครจะไปคาดคิดว่าราชาจะไม่สนใจหน้าตาที่องค์หญิงมีความสัมพันธ์กับหยางอี้ก่อนแต่งงานเลยแม้แต่น้อย กลับกันดูเหมือนจะภูมิใจเสียมากกว่าด้วยซ้ำ!
“ราชาอะไรกัน ฮ่าๆ ต่อไปก็เรียกว่าบิดาเถิดเจ้าลูกเขย”
“ใช่แล้ว ฮ่าๆ เจ้าทําได้ดีจริงๆอี้เอ๋อร์ องค์หญิงเองก็ให้เรียกข้าว่าบิดาเถิด”
ใบหน้าของหยางอี้และตู่หลินแข็งค้าง พวกท่านทั้งสองเข้ากันได้ดีเกินไปหรือไม่? หยางอี้ส่ายหัวพร้อมกับออกมาและเดินไปนั่งด้านข้างของหยางจื่อส้งโดยมีตู่หลินที่ใบหน้าแดงกํ่าเดินตามด้วย
การฉลองดําเนินไปอย่างสนุกสนาน ผู้คนของตระกูลหยางมีความสุขเป็นอย่างมาก ส่วนราชวงศ์นั้นก็เรียกได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนที่ถูกเชิญมา ส่วนมากจะเป็นคนสนิทของราชาคู่เสียมากกว่าจึงทําให้งานเลี้ยงครั้งนี้ดูเป็นกันเอง
ภายในงานเลี้ยงไม่มีการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของหยางอี้และตู่หลิน มันดูเหมือนว่างานนี้เป็นการสังสรรค์ของครอบครัว เมื่อจบลงทุกคนก็แยกย้ายออกไปเหลือเพียงสี่คนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องโถง
มองไปที่ราชาตู่ยี่หลงหยางอี้ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา
“องค์ราชาท่านรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่าข้านั้นมีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้ว?”
“ฮ่า ๆ ลูกเขยข้า เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา หลินเอ๋อร์เองก็ยอมรับได้ในเรื่องนี้ เมื่อพวกเจ้าเห็นตรงกันก็ไม่จําเป็นต้องใส่ใจ”
หยางอี้และตู่หลินสบตากันก่อนจะพยักหน้าให้กัน
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่กล่าวอะไรอีก ข้าได้คุยกับหลินเอ๋อร์แล้ว หลังจากจัดการปัญหาที่จักรวรรดิมังกรสวรรค์เรียบร้อยข้าจะมารับนางพร้อมกับท่านพ่อไป ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
ตู่ยี่หลงหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมา ตู่หลินเป็นบุตรสาวที่เขารักและหวงมากที่สุด แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการมีบุตรเป็นสตรีสักวันก็มิพ้นต้องออกเรือน
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ขอให้เจ้าทําตามต้องการเถิด ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี”
“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ หลังจากกลับมาไม่ว่าแม่นางหวังจือจะเห็นด้วยหรือไม่ข้าจะสู้ของนางและเข้าสู่พิธีตามประเพณีอย่างแน่นอน”
ทั้งตู่ยี่หลงและหยางจื่อส้งเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนี้ ทั้งคู่พยักหน้าและพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ ตู่หลินเองก็ลอบจดจําไว้ในใจ “หวังจือ” นางรู้ดีว่านางนั้นมาทีหลัง หากหยางอี้และหวังจือแต่งงานกันก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วนางจะไม่รู้สึกผิดเช่นนี้เลย ด้วยยุคนี้บุรุษผู้แข็งแกร่งนั้นมีภรรยามากมาย แต่ด้วยสถานะของนางตอนนี้มันไม่เหมือนการเป็นภรรยาที่สองหรือที่สาม เพราะนางเข้ามาในระหว่างที่ทั้งคู่ยังอยู่ในช่วงหมั้นหมาย
“เฮ้อ ข้าจะกล้ามองหน้านางหรือไม่นะเมื่อเวลานั้นมาถึง? หากนางไม่พอใจแล้วข้าจะต้องทําตัวเช่นไรดี?”
ความรู้สึกผิดแล่นผ่านหัวใจนางเล็กน้อย ความตั้งใจเดิมของนางก็เพียงแค่อยากจะสารภาพความรู้สึกกับหยางอี้และหวังลึกๆว่าเขาจะสนใจนางบ้างก็เท่านั้น ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆนางจะเกิดอารมณ์และมีสัมพันธ์กับเขาไปซะอย่างนั้น
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางล่วงหน้าไปยังจักรวรรดิมังกรสวรรค์เสียก่อน”
หยางจื่อส้งและตู่ยี่หลงชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันมามองหยางอี้
“อี้เอ๋อร์เหตุใดเจ้าต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น?”
ตู่หลินเองก็ใจหายวูบที่คิดว่าอยู่ด้วยกันเพียงไม่นานหยาง อี้ก็ต้องจากไปแล้ว
“เฮ้อ การคัดเลือกนั้นต้องใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะจบลง ข้าไม่ต้องการเสียเวลาหากไปช้าหนึ่งวันก็จะมีเวลาที่นั่นน้อยลงอีกหนึ่งวัน การไปของข้านั้นไม่ใช่เพียงเรื่องประลองแต่เป็นการสร้างรากฐานให้กับตระกูลหยาง ดังนั้นยิ่งมีเวลามากขึ้นข้าก็จะเตรียมการได้เยอะขึ้นเช่นกัน”
สิ่งที่หยางอี้ต้องการในตอนนี้คือการหาผู้หนุนหลังที่มั่นคงภายในจักรวรรดิมังกรสวรรค์ เพราะสิ่งที่จะตามมาหลังจากเขาแสดงความโดดเด่นที่นั่นและมันไม่ใช่เพียงความชื่นชมจากผู้คนแต่มันยังมีศัตรูอีกด้วยเช่นกัน และยิ่งเป็นสถานที่ต่างถิ่น เช่นนั้นหยางอี้ไม่สามารถรับมือกับขั้วอํานาจดั้งเดิมได้เพียงลําพังอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะมีกู่เทียนชางอาจารย์ผู้เยี่ยมยอดอยู่เบื้องหลังก็ตามแต่กับเรื่องเช่นนี้หยางอี้คิดว่ามันไร้สาระเกินไปที่จะขอความช่วยเหลือจากเขา กู่เทียนชางนับเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการถึง เรื่องจะให้มาคอยปกป้องเขาเช่นเด็กน้อยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อการพูดคุยได้ข้อสรุปหยางอี้ก็ออกจากท้องพระโรงทันทีโดยแวะไปบอกกับข่งยีจางเรื่องการเดินทางในวันพรุ่งนี้แล้วจึงกลับไปยังตําหนักพร้อมกับตู่หลิน เขาเองก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มอันหมองคล้ำของนาง ดูเหมือนนางไม่ต้องการให้เขาเป็นกังวลกับเรื่องนี้
“ข้าจะรอท่าน อย่าได้กังวลเรื่องของข้า จงมีสมาธิกับสิ่งที่ท่านต้องทําเถิด”
ตู่หลินกล่าวออกมาอย่างจริงจังทําให้หยางอี้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาจูบลงที่หน้าผากของนางพร้อมกับดึงนางมากอดก่อนจะเริ่มกิจกรรมส่งท้ายตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่าโดยไม่รู้ตัวไกลออกไปหลายกิโลเมตรบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งได้มีชายชราหัวล้านนั่งร่ำสุราจ้องมองเขาอยู่
“ไฮ้ ! ไอ้เด็กบ้านี้เริ่มเล่นจําจี้อีกแล้ว เอาล่ะ! เช่นนั้นข้าสมควรไปดักรอที่จักรวรรดิมังกรสวรรค์เสียก่อน ฮิๆ ไม่คิดว่าเรื่องจะง่ายเช่นนี้ เฒ่าชางเอ๋ยในเมื่อเจ้าหนูนั่นไปยังถิ่นของข้าก็ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะต้องดูแลมัน หากเจ้าหนูนั่นซาบซึ้งในความช่วยเหลือของข้าเจ้าก็จะว่าข้าไม่ได้ ฮ่าๆ ใครใช้ให้คนนอกอย่างเจ้ามาหาศิษย์ในทวีปจันทร์กระจ่างที่ข้าเซียนสุราดูแลอยู่กัน!”
ชายชรายิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อสี่วันก่อนก็ยิ่งอิจฉาสหายของตัวเอง พร้อมกับคิดว่าทําไมดวงตาของเขาถึงฝ้าฟางเพียงนี้ที่มองไม่เห็นหยางอี้ก่อนหน้ากู่เทียนชาง? ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และร่างกายที่เลือนลางหายไป