กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 68 รัศมีเจิดจรัส (2)

ซูหลีลอบผิดหวัง นางผ่านความลำบากยากเข็ญสารพัดกว่าจะได้เข้าวัง แต่กลับได้ยินคำตอบเช่นนี้ ยาประเภทนั้น แม้แต่หมอหลวงที่มีความรู้กว้างไกลยังไม่รู้แจ้ง แล้วนางจะตรวจสอบต่อไปอย่างไร? นึกถึงวันอภิเษกสมรส ตั้งแต่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องจนถึงจวนจิ้งอันอ๋อง บุคคลและวัตถุที่นางกินและสัมผัสทั้งหมดล้วนถูกคัดกรองอย่างดีโดยเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน หากจะพูดถึงสิ่งไม่คาดฝัน ก็มีเพียงแป้งชาดของหลีเหยาและศิลาเลือดนกเพลิงของตงฟางเจ๋อเท่านั้น!
แป้งชาดของหลีเหยา นางเคยดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ได้มีปัญหาใด หรือว่า…เป็นศิลาเลือดนกเพลิง?
ซูหลีสะท้านไปทั่วร่าง ใบหน้าซีดขาวดั่งหิมะ ในฐานะบุตรีแห่งจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง จากสิ่งที่ได้เห็นและได้ฟังมาตั้งแต่เล็ก นางไม่ใช่ไม่รู้เรื่องการการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างเหล่าท่านอ๋อง คำนวณจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนจิ้งอันอ๋อง จะทำให้ผู้ใดนั่งไม่ติด?
วันที่เสด็จแม่จากไป นางฟื้นขึ้นมาในจวนเจิ้นหนิงอ๋อง การหยั่งเชิงของตงฟางเจ๋อในวันนั้น…อีกทั้งสีหน้าตกใจของเขาตอนที่ตงฟางจั๋วเรียกนางว่าหลีซูบนเรือ…
ซูหลียกมือกุมหน้าอก หลับตาเงียบๆ อยู่ๆ นางก็ไม่อาจคิดต่อได้อีก ถึงแม้นางจะเคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว แต่ยามนี้พอสันนิษฐานอีกขั้น นางก็ได้แต่อกสั่นขวัญหาย ในใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
คนผู้นั้น คือคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนางหลายครั้งหลายหนหลังจากที่นางมาเกิดใหม่ในร่างนี้ ถึงนางรู้ว่าเขามีจุดประสงค์ของตนเอง แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาอาจเป็นคนร้ายที่สังหารนาง! นางจมอยู่ในภวังค์ความสับสนและขัดแย้ง ไม่เอ่ยอะไรแม้สักประโยค แม้แต่หมอหลวงหลี่กล่าวลานางก็ยังไม่สนใจ
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ? ทำไมสีหน้าแย่ขนาดนั้น?” เมื่อโม่เซียงเดินเข้ามาก็ต้องตกใจกับใบหน้าซีดขาวของซูหลี “หมอหลวงบอกว่าคุณหนูไม่เป็นอะไรมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ? บ่าวจะไปเรียกเขากลับมา…”
“โม่เซียง!” ซูหลีรีบห้ามนางไว้ ก่อนจะพยายามจัดการอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตัวเอง ลืมตาขึ้นช้าๆ และฉีกยิ้ม กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าคุยอะไรกับพวกนางอยู่ข้างนอก?”
โม่เซียงเห็นสีหน้าซูหลีค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ จึงคลายใจลง นางชะเง้อมองนางกำนัลข้างนอก แล้วจู่ๆ ก็ทำหน้ามีลับลมคมในขึ้นมา ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กระซิบบอกเสียงเบา “คุณหนู บ่าวกำลังจะบอกคุณหนูอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวได้ยินมาว่าฮองเฮาจะทรงใช้ศิลาก้อนหนึ่งเลือกพระชายาให้แก่จิ้งอันอ๋อง ข่าวลือว่าในศิลาก้อนนั้นมีนกเพลิงถูกขังอยู่ นกเพลิงตัวนั้นยังเลือกนายเป็นด้วยนะเจ้าคะ ช่างน่าอัศจรรย์ใจโดยแท้!”
ศิลาเลือดนกเพลิง! ซูหลีสะท้านใจ ศิลาเลือดนกเพลิงก้อนนั้นอยู่ในมือฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? กลอกสายตาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็ตัดสินใจได้ทันที นางจับมือโม่เซียงและกำชับ “เจ้าให้คนไปแจ้งจิ้งอันอ๋อง บอกว่าหมอหลวงมาตรวจอาการแล้ว ข้าเพียงต้องพักผ่อนเล็กน้อย ไม่มีปัญหาใหญ่ใด สามารถถวายการร่ายรำได้ และตอนนี้ก็เตรียมพร้อมแล้ว รีบไปเร็วเข้า!”
โม่เซียงรับคำ “เจ้าค่ะ” และรีบลุกขึ้นวิ่งออกไป
ยามบ่ายคล้อยของต้นฤดูร้อน อากาศแจ่มใส แต่ซูหลีกลับรู้สึกราวมีลมกระโชกแรงรอบทิศ หนาวเหน็บดั่งเหมันตฤดู ทอดมองเงาตำหนักในพระราชวังที่ทับซ้อนกันด้านนอก สายตานางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว หากต้องการตรวจสอบว่าเป็นฝีมือของตงฟางเจ๋อหรือไม่ นางจำเป็นต้องหาทางชิงศิลาเลือดนกเพลิงมาครอบครอง
ซูหลีนำอาภรณ์ที่เตรียมไว้ออกมาเปลี่ยน ไม่นานจากนั้นตงฟางจั๋วก็ส่งคนมารับ และพานางไปอยู่ในห้องแยกด้านหลังที่นั่งของเหล่าหญิงงามอีกที บอกว่าเป็นห้องแยก แท้จริงแล้วผนังรอบด้านเป็นไม้กระดานกลวงขนาดใหญ่ที่สลักลวดลายสลับซับซ้อน เมื่อมองลอดช่องเล็กๆ มากมายบนไม้กระดาน ไม่เพียงมองเห็นทุกซอกมุมในตำหนักได้อย่างชัดเจน แม้แต่เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าหญิงงามนอกห้องแยก นางก็ได้ยินอย่างแจ่มชัด
ตำหนักเฉาเหอตั้งอยู่ริมสระน้ำ ด้านหนึ่งเปิดโล่งไม่มีประตู หากนั่งอยู่ในตำหนักจะมองเห็นเวทีศิลายกพื้นสูงอยู่เบื้องหน้าพอดี ด้านล่างเวทีเต็มไปด้วยดอกไม้ไม่ทราบชื่อนานาชนิดชูช่อดอกตูมรอเวลาผลิบาน
ฮ่องเต้ผู้มีอายุเกินครึ่งร้อยประทับอยู่บนพระที่นั่งสูงสุด บัลลังก์มังกรที่ถูกตีขึ้นด้วยเหล็กบริสุทธิ์ใต้ร่างและอาภรณ์มังกรที่ถักทอด้วยไหมทองบนกาย ขับเน้นให้เครื่องหน้าทั้งห้าที่เดิมก็โดดเด่นอยู่แล้วให้ยิ่งมีราศีน่าเกรงขามขึ้นไปอีก ฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างกายสวมอาภรณ์และมงกุฎลวดลายนกเพลิง โออ่าหรูหรา หางตาแม้มีริ้วรอยบางๆ แต่ก็ยังมองเห็นความเยาว์วัยอยู่หลายส่วน
ที่นั่งถัดจากฮองเฮาทางด้านซ้ายเป็นที่นั่งของทูตจากสองแคว้น แคว้นติ้ง และแคว้นเปี้ยน หลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง และฮูเอ่อร์ตูขุนพลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเปี้ยน นางล้วนเคยพบแล้ว ที่นั่งด้านขวาเป็นที่นั่งของท่านอ๋องทั้งสองที่จะทำการเลือกพระชายาในวันนี้ ตงฟางจั๋วและตงฟางเจ๋อนั่งเรียงลำดับตามอายุจากมากไปน้อย คนหนึ่งห้าวหาญน่ายำเกรง อีกคนหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม แทบจะดึงดูดสายตาทุกคู่ของเหล่าหญิงงามในตำหนัก บ้างก็หลงใหล บ้างก็ตะลึงในความรูปงาม บ้างก็อดไม่ได้ที่จะเพ้อฝันว่าหากตนเองได้เป็นพระชายาของพวกเขาคนใดคนหนึ่งจะโชคดีและมีความสุขขนาดไหน!
ทว่าพวกเขาในฐานะตัวเอกของงานกลับทำราวกับไม่รับรู้ แม้เหล่าหญิงงามดั่งบุปผาแรกแย้มนับสิบนางจะขับร้องบทกวีหรือแข่งกันแสดงความสามารถเพียงใด พวกเขากลับเพียงก้มหน้าจิบชา ท่าทางเหม่อลอย เหมือนกับทุกสิ่งตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย
ตงฟางจั๋วเงยหน้า เหลือบมองมาทางซูหลีเป็นระยะ ดึงดูดความสนใจของตงฟางเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา
ตงฟางเจ๋อก็มองมาทางนี้เช่นกัน ต่างจากแววตาคาดหวังของตงฟางจั๋ว สายตาของตงฟางเจ๋อนั้นลึกล้ำคมปลาบ ราวกับสามารถมองทะลุไม้กั้นสลักลายเข้ามา และเห็นซูหลีที่อยู่ด้านหลังตั้งแต่แวบแรก
ซูหลีก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่นึกถึงเรื่องศิลาเลือดนกเพลิง นางไม่เคยรู้สึกว่าคนผู้นี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้ น่ากลัวจนถึงขั้นที่แค่อยู่ในครรลองสายตาของเขาก็อยากจะวิ่งหนีไปเสีย แต่ตอนนี้นางหนีไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์หนีอีกแล้ว ความอัปยศและการตายอย่างไม่เป็นธรรมของหลีซู รวมถึงเสด็จแม่ที่ตายตาไม่หลับ ล้วนผลักดันให้นางกล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบากเพื่อตามหาความจริง แม้ว่าความจริงนั้นจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม!
นางก้าวเท้าเข้าใกล้ไม้กั้นอีกครั้ง เมื่อการแสดงของเหล่าหญิงงามดำเนินมาถึงช่วงท้าย ฮองเฮาสีหน้าเบิกบาน ยิ้มชื่นมื่นและเอ่ยชมหลายประโยค แต่กลับมิได้ชี้ชัดทันทีว่าผู้ใดที่โดดเด่นเข้าตาที่สุด
ยามนี้ หลางฉ่าง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้สง่างามและอ่อนโยนกล่าวชื่นชม “ได้ยินมานานว่าสตรีแคว้นเฉิงนั้นงดงามมากความสามารถ ที่แท้ข่าวลือไม่ได้เกินจริงสักนิด วันนี้ข้าถือว่าได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกล!”
พระพักตร์มังกรของฮ่องเต้รื่นรมย์ หัวเราะอย่างเบิกบาน กล่าวว่า “หากองค์รัชทายาทโปรดปราน จะเลือกหนึ่งในพวกนางแล้วพากลับไปย่อมได้”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!” องค์รัชทายาทลุกขึ้นถวายบังคม กลับมิได้เอ่ยปฏิเสธ หันไปกวาดมองเหล่าหญิงงามหนึ่งรอบ ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มกับฮ่องเต้ “การคัดเลือกพระชายาของท่านอ๋องทั้งสองในครานี้ ยิ่งใหญ่สมเกียรติ กระหม่อมโชคดีที่ได้เข้าร่วม จึงรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ได้ยินว่าบุตรีที่ยังไม่ออกเรือนของเหล่าขุนนางตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไปล้วนอยู่ที่นี่ แต่ไม่กี่วันก่อนระหว่างเดินทางอยู่นอกเมือง กระหม่อมบังเอิญพบสตรีนางหนึ่ง นางมีรูปลักษณ์งดงาม บุคลิกสูงสง่า เห็นเพียงแวบแรกก็ยากจะลืมเลือน ต่อมาภายหลังได้ทราบว่านางแซ่ซู นามว่าหลี เป็นคุณหนูรองแห่งจวนอัครเสนาบดี ไม่ทราบเหตุใดวันนี้นางจึงไม่อยู่ที่นี่ด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“หืม?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนหันไปมองฮองเฮาอย่างสงสัย “บุตรีของท่านอัครเสนาบดีไม่อยู่ในรายชื่อคัดเลือกหรือ?”
ฮองเฮาอึ้งงันเล็กน้อย รีบตอบ “ทูลฝ่าบาท ซูหลีเป็นคุณหนูรองที่ถือกำเนิดโดยภรรยารองของท่านอัครเสนาบดีก็จริงเพคะ แต่นางมีปานสีแดงบนใบหน้าตั้งแต่เกิด ร่างกายอ่อนแอขี้โรค เป็นดาวโชคร้ายทำให้มารดาตนเองตาย ข่าวลือว่าเป็นสตรีอัปมงคลยิ่งนัก หม่อมฉันคิดว่า การคัดเลือกพระชายาให้ท่านอ๋องทั้งสองในครานี้ ไม่ควรตบแต่งสตรีที่เป็นอัปมงคลเข้ามาในราชวงศ์ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้เกิดภัยพิบัติแก่แคว้นเฉิงของเราเพคะ”
ฮ่องเต้พระพักตร์ขรึมลงเล็กน้อย ฟังจบกลับมิได้เอ่ยอะไร เพียงหันไปพูดกับองค์รัชทายาทแคว้นติ้งด้วยใบหน้าอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สตรีนางนี้ก็ไม่เหมาะสมกับองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทเลือกสตรีอื่นเถิด”
คาดไม่ถึง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งกลับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮองเฮาจะทรงกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ มงคลหรือไม่มงคลเป็นเพียงลมปากคน ผู้ใดเล่าจะสามารถล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ได้อย่างแท้จริง? แคว้นติ้งของพวกเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ วาจาที่ไม่เป็นจริงเปรียบเสมือนห่วงโซ่ที่ผู้อื่นบังคับสวมใส่ให้นาง หากฝ่าบาทไม่ทรงถือสา มิสู้อนุญาตให้หม่อมฉันพานางกลับแคว้น แคว้นติ้งของพวกเราจะปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นองค์หญิงอย่างแน่นอน ขอฝ่าบาททรงโปรดอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
………………………………………………….

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset