กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 159 นัดหมายขององค์ชายสี่ (1)

ทั้งสามตกตะลึง ฝีเท้าพลันชะงัก
“ท่านช่วงชิงของของท่านหญิงหมิงซีไป แล้วยังคิดจะใช้วิชาอำพรางตาเช่นนี้หลบหนี?” ผู้ขวางทางทั้งสี่คนสวมเครื่องแบบทหารเช่นกัน การแต่งกายของพวกเขา เหมือนกับคนกลุ่มเมื่อกี้ทุกประการ เห็นชัดว่าเป็นพวกเดียวกัน
บุรุษเสื้อคลุมสีดำผู้หนึ่งกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “เพียงมาเอาของของลัทธิข้าคืน จะเรียกว่าช่วงชิงได้หรือ?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า สำเนียงแปร่งหู ฟังดูไม่เหมือนสำเนียงของชาวแคว้นเฉิง เสื้อคลุมสีดำของเขาปักลวดลายที่มีลักษณะพิเศษ ตรงชายเสื้อยังมีบุปผาเลือนรางคล้ายมีคล้ายไม่มีดอกหนึ่งพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศยามค่ำคืน หากไม่มองดูดีๆ ก็ไม่มีทางเห็น
“ลัทธิธิดาเทพมีวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ ตัวตนลึกลับ วิชาอำพรางตายอดเยี่ยมสมคำล่ำลือ” ทหารที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุด กำด้ามดาบแน่น สายตาเปล่งประกาย
บุรุษเสื้อคลุมสีดำชะงักเล็กน้อย หัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “ถือว่ายังพอมีวิสัยทัศน์อยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าทหารแคว้นเฉิงที่ไร้ชื่อเช่นนี้ ก็รู้จักภูตแห่งลัทธิธิดาเทพด้วย”
“แม้ว่าลัทธิธิดาเทพจะเป็นกองกำลังในยุทธภพแคว้นเปี้ยน แต่รูปแบบการลงมืออันลึกลับซับซ้อน และช่ำชองการใช้ยาพิษของพวกเขา ใต้ฟ้ามีผู้ใดยังไม่รู้อีกหรือ?”
“ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะของข้าแล้ว ยังกล้าขวางทาง? ไม่กลัวข้าจะใช้วิธีที่ไม่เหมือนใครจัดการกับเจ้าหรือ?”
‘หึๆ’ หนึ่งในสี่ทหารหัวเราะเสียงเบา เขาเยื้องย่างออกมา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พูดภาษาแคว้นเปี้ยนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมประโยคหนึ่ง “เงี่ยหูฟังเสียงจันทรา” ประโยคนี้คือวรรคสุดท้ายในกลอนที่ซูหลีเฉลยคำตอบบนหออวิ๋นเยียนนั่นเอง
“โอ้ใจข้านั้นแสนเดียวดาย!” ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพโพล่งต่อบทกลอนโดยสัญชาตญาณ ในใจพลันตกตะลึง สายตาอันร้อนรุ่มจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง คล้ายกำลังพยายามยืนยันฐานะของอีกฝ่าย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวขึ้นอย่างลังเล “เจ้า เป็นผู้ใด?”
ทหารผู้นั้นไม่ตอบ ใบหน้าเรียบเฉยคาดเดาอารมณ์ไม่ออก เพียงจ้องหน้าภูตแห่งลัทธิธิดาเทพอยู่อย่างนั้น หากเป็นภูตแห่งลัทธิธิดาเทพสาขาย่อยจริง จะต้องต่อกลอนวรรคต่อไปได้แน่นอน การหยั่งเชิงขั้นแรกนี้ ถือว่าอีกฝ่ายไม่ได้เผยช่องโหว่แต่อย่างใด
“สามารถกล่าวรหัสลับของลัทธิธิดาเทพทั้งแปดสาขาได้ ข้าเป็นผู้ใด เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ เจ้ากับข้าล้วนเป็นประสิทธิผลของท่านประมุข ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ ต่อกัน ข้าขอถามเจ้า แหวนวงนั้นอยู่ในมือเจ้าจริงหรือ?”
ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็หยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาเพื่อยืนยัน
ทหารผู้นั้นสายตาเป็นประกาย “เอามาให้ข้าดู!” เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างลืมตัว แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันท่วมท้น
ภูตแห่งลัทธิธิดาเทพกำแหวนอย่างระแวดระวัง เห็นชัดว่ายังคงไม่เชื่อใจเขา
ทหารผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้าตำแหน่งสูงกว่า ยังกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้าอีกงั้นหรือ?”
ท่ามกลางป่าไม้อันรกทึบ เงาร่างคนผู้หนึ่งพลันปรากฏกาย สวมหน้ากากและเสื้อคลุมสีดำเช่นเดียวกัน ได้ยินเพียงเขาเอ่ยด้วยเสียงแหบต่ำ “พวกข้าตามหาแหวนวงนี้ด้วยชีวิต ตามหลักควรมอบมันให้กับท่านประมุขด้วยมือ ถึงแม้เจ้ารู้รหัสลับของสาขาย่อย แต่ก็ไม่อาจเป็นตัวแทนของท่านประมุขได้!”
ที่แท้ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ก็คือภูตตัวจริง
ท่าทีระแวดระวังของอีกฝ่าย พาให้ทหารผู้นั้นสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เขาพลันฉุกคิดได้ ล้วงแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ชูขึ้นไปข้างหน้า ภายใต้แสงจันทร์สลัว ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน แผ่นป้ายนั้นเหลืองอร่ามสะดุดตา ขนาดเท่าฝ่ามือคน ฝีมือแกะสลักละเอียดประณีต ตรงกลางมีอักษรรูปร่างคล้ายบุปผา ลักษณะคล้ายกับอักษรที่สลักลงบนแหวนวงนั้น มองแวบเดียวไม่อาจเข้าใจถึงความหมายของอักษร
“ท่านประมุขฐานะสูงส่ง จะสามารถพบหน้าง่ายๆ ได้เช่นไร? เห็นแผ่นป้ายนี้ ก็เท่ากับเห็นท่านประมุข!” ทหารผู้นั้นกล่าวเสียงเข้ม
ภูตตัวจริงผู้นั้นจ้องมองแผ่นป้ายตาไม่กะพริบ ทว่ากลับยังคงเอ่ยอย่างหนักแน่น “ผู้น้อยเข้าใจ ทว่าแหวนนี้เป็นของสำคัญยิ่งนัก อย่างไรก็ต้องได้พบท่านประมุขก่อนจึงจะส่งมอบให้ได้!”
ทหารผู้นั้นตึงเครียดทันที รู้สึกมีบางอย่างไม่ปกติ แผ่นป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจสูงสุดในลัทธิธิดาเทพ สามารถใช้ออกคำสั่งคนทุกผู้ในลัทธิได้ เหตุใดภูตผู้นี้จึงยังไม่ยอมจำนน?
เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ส่งสัญญาณมือให้คนข้างหลังอย่างแนบเนียน ปากกลับยังคงเอ่ย “เจ้าเป็นคนของสาขาใด? ใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าสั่งให้ท่านประมุขมาพบหน้า?”
“ถึงแม้พวกเราเป็นศิษย์ของท่านประมุขเหมือนกัน ทว่ากลับมิเคยพบหน้า ข้าจะเชื่อคำพูดท่านง่ายๆ ได้เช่นไร หากมีเรื่องผิดพลาดใดเกิดขึ้น ข้าจะรายงานท่านประมุขว่าอย่างไรเล่า?” ภูตเสื้อคลุมสีดำยังคงไม่ยอมลดละ
“ฮ่าๆ ดี!” ไม่รอให้ทหารผู้นั้นตอบโต้ คนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากกลุ่มทหาร เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แสงจันทร์สลัวสาดกระทบใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา ดวงตาเปล่งประกาย รอยยิ้มชวนหลงใหล
เป็นหยางเซียวนั่นเอง
“ท่านประมุขอยู่นี่แล้ว คราวนี้เจ้าจะส่งมอบแหวนได้แล้วหรือยัง?” ทหารผู้นั้นกล่าวเสียงเข้ม
เขาระแวดระวัง ครั้นเห็นภูตผู้นั้นคล้ายกำลังเพ่งมองหยางเซียวอย่างจดจ่อ สายตาพลันตึงเครียด ค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบงัน
ภูตผู้นั้นสายตาไหวระริก ตวาดเสียงเข้ม “เจ้าจะไปไหน?”
ทหารผู้นั้นเหวี่ยงแขนกลางอากาศ เสียงระเบิดดัง ‘บึ้ม’ หมอกควันสีขาวกระจายตัวไปทั่วทิศอีกครั้ง ทุกคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ กลั้นหายใจไม่กล้าขยับส่งเดช ทหารผู้นั้นโฉบกายลอยขึ้นกลางอากาศ ฉวยโอกาสแฝงกายเข้าไปในป่าทึบทันที
เกือบไปแล้ว เกือบหลงกลอีกฝ่ายเสียแล้ว! คนผู้นั้นปลอมตัวเป็นภูตแห่งลัทธิธิดาเทพได้เหมือนถึงแปดเก้าส่วน หากเขาไม่ได้แสดงแผ่นป้ายที่มีเพียงหนึ่งเดียวแผ่นนั้นเพื่อหยั่งเชิงในตอนสุดท้าย เกรงว่าคงไม่อาจแยกแยะจริงเท็จได้!
รู้รหัสลับของลัทธิธิดาเทพ ซ้ำยังพูดภาษาแคว้นเปี้ยนได้ อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่? ถึงได้ร้ายกายเพียงนี้? ในใจคล้ายมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นมา แต่กลับไม่อาจพิสูจน์ได้ในยามนี้
สถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาให้คิดมาก ยามนี้สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความปลอดภัยไว้ก่อน เขาพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูง แยกแยะเส้นทางด้านหน้าอย่างละเอียด หากผ่านภูเขาลูกนี้ไป ก็จะถึงเส้นทางริมแม่น้ำปี้กูที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อเข้าสู่แคว้นเปี้ยนเส้นนั้น
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว แม่น้ำสีเขียวมรกตไหลเชี่ยวไม่หยุดพัก ยามมองลงมาจากกลางอากาศเหมือนดั่งเข็มขัดหยกอันแวววาว
เมื่อวิ่งออกมาจากภูเขา ฝีเท้าเขาพลันชะงักหยุดทันที
สายน้ำไหลหลาก สตรีนางหนึ่งยืนอยู่เพียงลำพัง
ครั้นเห็นเงาร่างของเขา นางหันมามองและแย้มยิ้ม ประกายปราดเปรื่องพาดผ่านดวงตา เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจราวกับเข้าใจทุกเรื่องอย่างลึกซึ้ง คล้ายกำลังพูดว่า ‘ดูซิท่านจะหนีไปที่ใดได้อีก?’
เขาขมวดคิ้ว จดจ้องนางแน่นิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เอ่ยคำใด ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจยาวๆ คล้ายยอมรับชะตากรรมแล้ว
นางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างหยอกล้อ “นึกไม่ถึงองค์ชายสี่ไม่เพียงมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ ยังสามารถแปลงโฉมได้น่าทึ่งเช่นนี้อีกนะเพคะ”
ในเมื่อถูกเปิดโปงฐานะที่แท้จริงแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก หยางเซียวถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออก แล้วหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ “อาหลีน้อย ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ!” เขาเยื้องย่างไปยืนข้างกายนาง ริมฝีปากยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มมีเสน่ห์ชวนหลงใหล คิ้วเข้มกระดกขึ้น ก่อนกล่าวว่า “ไหนบอกมาซิ เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใดว่าเป็นข้า?”
ซูหลีคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ตั้งแต่ที่องค์ชายจับตัวหม่อมฉันไปเพคะ”
หยางเซียวเบิกตากว้าง สองมือยกเท้าสะเอว กล่าวอย่างเจ็บใจ “ไม่ใช่แล้วกระมัง?! เช่นนั้นตั้งแต่แรก ข้าก็ถูกเจ้าปั่นหัวมาโดยตลอดน่ะสิ?” เขาพยายามทำหน้าตาดุดันเกรี้ยวกราด แต่ดูท่าคงไม่ค่อยได้ผลนัก
ซูหลีเอียงคอมองเขา กะพริบตาปริบๆ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หยางเซียวถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วกล่าวว่า “เอาเถิดๆ รีบบอกข้ามา ตกลงว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”
………………………………………..

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset