“พอได้แล้ว หุบปากให้หมด!” ฮ่องเต้เพลิงโทสะป่วนพล่าน ตวาดเสียงเกรี้ยว “ทหาร! นำอวี้หลิงหลงไปขังในคุกมืด! คดีนี้ค่อยสอบสวนต่อวันพรุ่งนี้!”
คนทุกผู้ที่อยู่บนตำหนักใหญ่ล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินประโยคนี้ของฮ่องเต้
คุกมืด?! แคว้นเฉิงเป็นแคว้นที่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย จึงมีกฎหมายอาญาที่เข้มงวดอย่างยิ่ง! แม้แต่คุกที่ใช้คุมขังนักโทษยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ และคุกมืดที่ฮ่องเต้กล่าวถึง ก็คือคุกที่ใช้คุมขังนักโทษที่กระทำความผิดร้ายแรงที่สุด! ทุกคนล้วนทราบกันดี คนที่เข้าไปแล้วเก้าในสิบล้วนตายเพราะทนถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมไม่ไหว! แม้แต่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยังไม่อาจทนรับการทรมานได้ แล้วสตรีบอบบางผู้หนึ่งจะทนได้อย่างไรเล่า?
ยามนี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้นำตัวอวี้หลิงหลงไปขังในคุกมืด ก็เท่ากับ…สั่งให้นางไปตาย!
‘ฮ่า ฮ่าๆๆ!’ จู่ๆ อวี้หลิงหลงก็พลันหัวเราะเสียงดัง ดวงตากลับแห้งเหือดจนไม่เหลือน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
นางหลับตาแน่น สีหน้าเจ็บปวดเศร้าโศก เอาแต่หัวเราะจนร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัวก็ยังไม่ยอมหยุด กระทั่งเมื่อทหารสองนายเดินเข้ามาจากด้านนอกตำหนักเพื่อลากตัวนางออกไป อวี้หลิงหลงกลับสะบัดออกสุดแรง และลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง นางตวัดสายตาเกรี้ยวกราด ยกนิ้วมือชี้หน้าซูหลีด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แล้วกล่าวเสียงเจ็บปวด “พวกท่านเอาแต่อ้างว่าต้องการพลิกคดีให้ท่านหญิงหมิงอวี้ ที่แท้ก็พลิกเช่นนี้? หาหลักฐานที่ไม่มีผู้ใดอ่านออก แล้วตราหน้าว่าข้าคือผู้อยู่เบื้องหลัง? เช่นนั้นความอยุติธรรมในวันนี้ของข้าอวี้หลิงหลง ภายหน้าผู้ใดจะเป็นผู้พลิกคดีให้? หา? ท่านหญิงหมิงซี ท่านบอกข้ามาสิว่าบนโลกใบนี้จะยังมีคนที่หน้าตาเหมือนข้า ทำทุกวิถีทางโดยไม่เกี่ยงเพื่อล้างมลทินให้ข้าหรือไม่?!”
ทุกวาจาทุกประโยคราวกับแฝงไว้ด้วยน้ำตาผสมโลหิต ดังก้องไปทั่วตำหนักใหญ่อันเงียบกริบ สั่นสะท้านหัวใจผู้คน อวี้หลิงหลงกางแขนทั้งสองข้างออก แหงนหน้าหัวเราะทั้งน้ำตา “เป็นถึงแคว้นเฉิงอันแข็งแกร่งทรงพลัง กล่าวขานกันว่ามีกฎหมายเคร่งครัด ทว่ากลับบีบบังคับผู้บริสุทธิ์ให้ยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยบนตำหนักจินหลวน! ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเรื่องน่าขันยิ่งนัก!”
ครั้นได้ยินวาจากำเริบเสิบสานของอวี้หลิงหลง ฮ่องเต้พระพักตร์ขึ้งเคียด ฝ่ามือกำที่เท้าแขนบังลังก์แน่น เพลิงโทสะใกล้ระเบิด ฮองเฮาตกใจ กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์พลิกผันอีก รีบชิงลุกขึ้นตรงหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะตะโกนสั่งเสียงเกรี้ยว “มัวยืนอึ้งอันใดกันอยู่? ยังไม่รีบนำตัวนางไปอีก!”
ทหารสองนายนั้นพลันสะดุ้ง ไม่ชักช้า รีบก้าวเท้าเข้าไปคุมตัวอวี้หลิงหลง อวี้หลิงหลงราวกับสูญสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะไปแล้ว ทำได้เพียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
หลีเฟิ่งเซียนร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ยังไม่ทันเอ่ยคำใด พลันนั้น หลีเหยาที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นตำหนักตั้งแต่ต้นรีบพุ่งตัวเข้าไปดึงกระโปรงของอวี้หลิงหลง ร้องไห้ตะโกนเสียงแหลม “ไม่นะ! อย่าจับท่านแม่ของข้าไป ข้าคือผู้ร้ายตัวจริง ข้าเป็นคนฆ่าพี่สาวเอง ข้าเป็นผู้บงการมือสังหาร! ท่านแม่ของข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย!”
ทุกคนพลันตื่นตะลึง ประโยคนี้ราวกับระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงลูกหนึ่ง ทำให้บรรยากาศที่กดดันมาเนิ่นนานพลันปะทุในพริบตา! จากนั้นพายุฝนลูกใหม่ก็ตั้งเค้าอย่างรวดเร็ว
อวี้หลิงหลงดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดทันที ริมฝีปากบางสั่นเทา คล้ายไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ที่ตั้งสติได้ก่อนคนแรกก็คือตงฟางจั๋ว เขาถามเสียงเบา “เจ้าว่าอะไรนะ?” เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่ากลับแฝงไปด้วยไอสังหารอันรุนแรง ดังก้องอยู่ในหูของทุกคนอย่างชัดเจนไม่มีที่เปรียบ
หลีเหยาเงยหน้า มองดูท่าทางดุดันเกรี้ยวกราดของเขา ตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม หยาดน้ำตาพรั่งพรู กล่าวเสียงสั่น “เป็นหม่อมฉันเอง…ที่ลอบสังหารพี่สาว”
ใบหน้าของซูหลีพลันซีดเผือดไร้สีเลือด นางมองหลีเหยาด้วยสายตาเหม่อลอย มือเย็นชืดไปหมด แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยิน! น้องสาวที่นางเฝ้าทะนุถนอมและหวงแหนตั้งแต่เกิดผู้นี้น่ะหรือคือผู้ร้ายตัวจริงที่ฆ่านาง?
ตงฟางจั๋วพลันคลุ้มคลั่ง เขาพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อหลีเหยาขึ้นมาอย่างแรง
ใบหน้าซีดขาวของหลีเหยาพลันแดงก่ำไปทั้งดวงเพราะหายใจไม่ออก
ตงฟางจั๋วถลึงตากว้างจนเลือดแทบไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง เขาคำรามลั่น “นางทำเรื่องใดผิดต่อเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้กับนาง!”
หลีเหยาน้ำตาอาบท่วมใบหน้า อ้าปากกว้าง พยายามหายใจ ทว่ากลับไร้ผล
ครั้นเห็นหลีเหยาใกล้ขาดอากาศหายใจ ซูหลีพลันได้สติ พุ่งตัวเข้าไปจับแขนตงฟางจั๋วแน่น พลางตะโกนเสียงดัง “ท่านอ๋องทรงใจเย็นก่อนเพคะ โปรดยั้งมือก่อน! หรือท่านจะบีบคอนางให้ตายทั้งที่ยังไม่รู้ความจริงอะไรเลย?”
ตงฟางจั๋วชะงัก นิ้วมือพลันคลายออก หลีเหยาล้มลงไปกองกับพื้นทันที กระแอมไอติดกันหลายครั้ง หอบหายใจอยู่นานถึงได้เรี่ยวแรงกลับคืนมาบ้าง
หลีเฟิ่งเซียนรีบกล่าว “เหยาเอ๋อร์ ต่อหน้าพระพักตร์ไม่อาจเอ่ยวาจาส่งเดชได้!”
“เปล่าเพคะ! เหยาเอ๋อร์มิได้เอ่ยวาจาส่งเดช ผู้ร้ายที่สังหารพี่สาวก็คือหม่อมฉันจริงๆ เพคะ!” หลีเหยาสะอื้นไห้จนกล่าวไม่เป็นคำ ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด
หลีเฟิ่งเซียนตื่นตะลึง พลันรู้สึกขาอ่อนแรงจนเซไปข้างหน้าหลายก้าว
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “คุณหนูหลี หากเจ้าบอกว่าตนเองเป็นผู้ร้าย เช่นนั้นต้องอธิบายเหตุและผลทั้งปวงมาให้กระจ่างชัด! มิเช่นนั้นจะต้องได้รับโทษฐานลบหลู่เบื้องสูง!”
“ข้า” หลีเหยาสะอื้นตัวโยน นางลนลานทำตัวไม่ถูก เห็นชัดว่าแตกตื่นอย่างยิ่ง “ข้ารู้เจ้าค่ะ แต่สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ท่านแม่ของข้าไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ เป็นข้าเอง…เป็นข้าที่ใช้ชื่อท่านแม่ ลักลอบไปหาเจ้าสำนักเฉินเหมิน เพื่อจ้างวานให้ส่งนักฆ่าไปสังหารพี่สาว”
ทุกคนพลันพูดไม่ออก คุณหนูร่างบางผู้นี้มิใช่กำลังกล่าววาจาที่ขัดแย้งกันเองอยู่หรอกหรือ? ในเมื่อใช้ชื่อมารดาตนเองเพื่อจ้างวานนักฆ่า เห็นชัดว่านางคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าวันหนึ่งเรื่องจะต้องถูกเปิดเผย จึงตั้งใจให้อวี้หลิงหลงเป็นแพะรับบาป ยามนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว จะออกมารับผิดเพื่อการใดอีก? คุณหนูสกุลผู้ดีคนนี้แม้แต่โกหกก็ยังโกหกได้ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
ซูหลีหน้าเครียด ถามเสียงร้อนใจ “เช่นนั้นเจ้าทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าสำนักที่ใด? เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าสำนักผู้นั้นหรือไม่?”
หลีเหยารีบปาดน้ำตา พยักหน้าเร็วๆ “เห็นเจ้าค่ะ เขาร่างสูงกำยำ ซ้ำยังสวมอาภรณ์สีดำทั้งตัว ท่าทางดูมีวรยุทธ์ร้ายกาจยิ่ง สถานที่นัดหมาย…ข้าเองก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ใดแน่ เขาเป็นผู้กำหนดสถานที่เองเจ้าค่ะ”
ซูหลีหลับตาแน่น ตามคาด เด็กโง่คนนี้กำลังพยายามรับโทษแทนมารดาของนาง น่าเสียดายที่เพียงประโยคเดียวก็เผยช่องโหว่เสียแล้ว! เมื่อใดที่เฉินเหมินทำข้อตกลง เจ้าสำนักไม่เคยปรากฏตัวสักครั้ง!
เหยาเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าเป็นคนขี้กลัวมาตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ออกจากจวนยังต้องให้พี่สาวไปเป็นเพื่อน แล้วจะไปพบเจ้าสำนักมือสังหารเพียงลำพังอย่างนั้นน่ะหรือ? แววปวดใจพาดผ่านดวงตาของซูหลี
ครั้นเห็นซูหลีไม่ยอมเอ่ยวาจา หลีเหยาหันไปมองคนในตำหนักก็เห็นว่าทุกคนเต็มไปด้วยสีหน้าสงสัย เห็นชัดว่าเคลือบแคลงในคำพูดของนาง นางพลันร้อนใจ รีบอธิบายอย่างลนลาน “เป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ ข้าบอกเจ้าสำนักว่าต้องการมือสังหารที่เก่งกาจที่สุด เจ้าสำนักจึงได้แนะนำ…เว่ยซู่ผู้นั้นให้ข้า พี่สาวซู ท่านแม่ของข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ขอร้องท่านแล้ว หากจะจับก็จับข้าเถิด! ปล่อยท่านแม่ของข้าไปเถิด! ขอร้องล่ะ!” นางพูดพร้อมกับเขย่าแขนซูหลี ร้องอ้อนวอนอย่างเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจอย่างจนใจ นึกไม่ถึงบุตรีสกุลผู้ดีเรือนร่างบอบบางนางหนึ่ง เพื่อช่วยมารดาถึงกับกล้ากล่าววาจาโป้ปดต่อหน้าพระพักตร์ คิดว่าเพียงมีคนออกมารับโทษแทน ก็สามารถปล่อยตัวอีกคนไปได้? ช่างไร้เดียงสาเสียนี่กระไร!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีกล่าวเสียงเบา “เจ้าแค่ตอบข้ามาก็พอ ท่านหญิงหมิงอวี้ดีกับเจ้าถึงเพียงนั้น รักและหวงแหนเจ้าอย่างถึงที่สุดราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เพราะเหตุใดกันแน่ เจ้าถึงต้องวางแผนชั่วร้ายปานนั้นกับนาง?”
………………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 168 นี่หรือคือความจริง!? (3)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment