ซูหลีขานเรียกอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังไร้การตอบสนอง แต่มือของเขากลับจับมือนางไว้แน่นไม่ยอมคลาย ราวกับต้องการคว้าเชือกฟางเส้นสุดท้ายในโลกแห่งความรู้สึกของตนเองไว้ ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมปล่อยมือ
หัวใจของซูหลีอดรู้สึกเปรี้ยวฝาดขึ้นมาไม่ได้ นางก้มหน้ามองผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองที่อยู่ในมือซ้ายของเขา แล้วยื่นมือไปหยิบมา บนนั้นมีคราบเลือดวงใหญ่เลอะอยู่ นางตื่นตกใจ ไม่มีเวลาคิดมาก รีบลุกขึ้นเรียกคนเข้ามา ส่งตัวเขากลับจวนจิ้งอันอ๋องทันที
ตงฟางจั๋วสะลึมสะลือไม่ได้สติ จวนจิ้งอันอ๋องโกลาหลวุ่นวาย พ่อบ้านเฉาจิ้งตกใจจนแทบลมจับ สองจิตสองใจว่าจะเข้าวังไปทูลให้ฮองเฮาทราบดีหรือไม่ แต่ถูกซูหลีห้ามไว้ก่อน นางตามตงฟางจั๋วออกมาจากวังเพราะพระประสงค์ของฮองเฮา ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่ควรรบกวนฮองเฮาอีก เฉาจิ้งรู้ว่าซูหลีเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ในยามนี้ และเป็นสตรีที่จิ้งอันอ๋องชมชอบ เขาย่อมไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงส่งคนไปตามหมอหลวงในวังมา
หลี่จงเหอพาหมอหลวงอีกสองคนมาอย่างรีบร้อน ครั้นเห็นซูหลีก็ตะลึงงัน ขุนนางหญิงที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่ผู้นี้ ยามนี้แหวกฟ้าคว้าฝน[1]อยู่ในราชสำนัก มิใช่บุตรีภรรยารองผู้อ่อนแอที่ถูกรังแกอยู่ในจวนอัครเสนาบดีเหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว
“อาการของจิ้งอันอ๋องไม่ค่อยดีนัก ท่านรีบเข้าไปดูหน่อยเถิด” ซูหลีกำชับเสียงราบเรียบ
หลี่จงเหอรับคำอย่างรีบร้อน ก่อนจะเข้าไปตรวจชีพจรตงฟางจั๋ว ตงฟางจั๋วฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เยาว์วัย เดิมพื้นฐานร่างกายดีมากอยู่แล้ว ไม่ป่วยง่ายๆ แต่อาการป่วยครั้งนี้เกิดจากใจ ความเย็นเข้าแทรก กอปรกับนั่งคุกเข่ากลางสายฝนอยู่นาน ครั้นจมสู่ห้วงหลับใหลจึงหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง หมอหลวงสามคนฝังเข็มและใช้ยากับเขา ชุลมุนวุ่นวายอยู่อย่างนั้นตลอดหลายชั่วยาม อาการของเขาจึงทรงตัวในที่สุด
“เป็นเช่นไรบ้าง?” ซูหลีหน้าเครียด พาให้หลี่จงเหอวิตกไปด้วย
“น่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วขอรับ ท่านอ๋องสุขภาพแข็งแรง พักฟื้นสักระยะก็หายดีแล้ว”
ซูหลีจึงค่อยถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นก็ดี”
นางหมายจะลุกขึ้นเดินจากไป หลี่จงเหอกลับถามขึ้นอย่างลังเล “ใต้เท้า หากพรุ่งนี้ฮองเฮาทรงถามขึ้นมา…”
“ท่านจงตอบไปตามความจริง” นางเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “นิสัยของจิ้งอันอ๋อง ทั้งท่านและข้าต่างก็รู้กันดี ปัญหาแม่ลูกระหว่างฮองเฮากับจิ้งอันอ๋อง ให้พวกเขาไปจัดการกันเอง”
หลี่จงเหอลอบคลายใจ รีบค้อมกายอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านหญิงที่เตือนสติ”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “หมอหลวงหลี่ไม่จำเป็นต้องมากพิธี นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านอยู่ดูแลผู้เดียวก็เพียงพอ ข้าเองก็ต้องกลับจวนเสียที”
หลี่จงเหอรีบรับคำทันที เฉาจิ้งส่งขุนนางกองบังคับการผู้นี้ออกจากจวนด้วยตนเอง ยามนี้เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน ฝนก็หยุดแล้ว นางพลันนึกขึ้นได้ว่ามีนัดหมายกับตงฟางเจ๋อ ร่างกายพลันสะดุด ลอบตำหนิตนเองในใจ!
นางสั่งให้คนขับรถม้าหยุดรถ ก่อนพลิกกายควบม้าด้วยตนเอง มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำหลานชางทันที
แม่น้ำหลานชางในยามค่ำคืน แสงจันทร์สว่างไสว คลื่นในแม่น้ำไหวกระเพื่อม ริมฝั่งน้ำไร้ซึ่งเงาคน
ซูหลีลงจากม้า ยืนนิ่งอยู่ข้างแม่น้ำ ในใจลอบผิดหวังเล็กน้อย นางรู้แต่แรกแล้วว่าตงฟางเจ๋อไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีทางรออยู่ที่นี่ตลอดหรอก! แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยังอยากมาดูด้วยตนเอง
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ หมุนกายช้าๆ เตรียมจะขึ้นควบม้า ยามนี้เอง ด้านหลังต้นหลิวที่อยู่ข้างหน้า พลันมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง
เงาร่างสูงใหญ่ รูปโฉมงดงาม หากไม่ใช่ตงฟางเจ๋อแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้?! เขาสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีดำ เมื่อยืนอยู่ในความมืดราวกับกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว
ซูหลีอึ้งงัน มองเขาอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึง เขาอนางอยู่ที่นี่ตลอดจริงๆ!
“ท่าน…” นางอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เท้าราวกับถูกตะปูตอกติดไว้กับที่
ตงฟางเจ๋อเองก็ไม่ได้เดินมาหานาง เพียงยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นหลิว สายตานิ่งขรึมเข้าใจยากจดจ้องมองนางไม่วางตา คาดเดาไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือโกรธเคือง
สายลมหนาวในยามค่ำคืนพัดเอาชายอาภรณ์ของเขาพลิ้วไหวกลางอากาศเบาๆ เขาเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ยืนนิ่งไม่ขยับ นิ่งเงียบจนเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่สมจริง
ซูหลีกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว อดไม่ได้ที่จะเบิกดวงตาคู่งามกว้าง จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ แสงจันทร์ที่สว่างไสวสาดส่องใบหน้าหล่อเหลาไม่มีผู้ใดเทียมของเขา เขาในยามนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่ก็ห่างไกล ราวกับฝันตื่นหนึ่งที่นางไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง
ในที่สุด นางก็ปล่อยเชือกบังเหียน ค่อยๆ เดินไปหาเขา ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากเขาในระยะห่างห้าก้าว
อากาศหลังฝนตกสดชื่นอย่างยิ่ง หว่างคิ้วของบุรุษตรงหน้าสะท้อนความเย็นชาจนน่ากลัว ซูหลีพลันใจสั่นอย่างไม่อาจควบคุม นางคลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยเพคะ ซูหลีมาสาย! ไม่ทราบว่าท่านอ๋องนัดซูหลีมาที่นี่ มีเรื่องใดหรือเพคะ?”
ตงฟางเจ่อเม้มปาก ไม่ตอบกลับย้อนถาม “อาการพี่รองเป็นเช่นไรบ้าง?”
ซูหลีตะลึงงัน เขารู้?! แต่คิดดูแล้วก็ไม่แปลก เขามีหูมีตาอยู่ทุกที่ เดิมนางก็ไม่ได้ตั้งใจปกปิดความเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เพียงให้คนสอบถามดูก็รู้แล้วว่านางไปไหน! แต่ในเมื่อรู้ แล้วเหตุใดดึกขนาดนี้แล้วเขายังรออยู่ที่นี่? เขามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่านางจะมา?
คลื่นในแม่น้ำเชี่ยวกราก ยิ่งขับเน้นให้แผ่นหลังของเขาดูมั่นคงดั่งภูเขา ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย อารมณ์หงุดหงิดไม่รู้ที่มาพลันบังเกิดในใจ จึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “หมอหลวงบอกว่าขอเพียงพักฟื้นให้ดี ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วเพคะ”
ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาหานางช้าๆ พลันแย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นหลอมละลายความเย็นชาในดวงตาทันที ราวกับภูเขาน้ำแข็งหลอมละลาย ฤดูใบไม้ผลิพลันมาเยือน ไม่รู้เพราะเหตุใด อารมณ์หงุดหงิดเมื่อครู่ของนางพลันจางหายไปดั่งหมอกควัน พลิกกายขึ้นม้า เขายื่นมือมาหานาง “ข้าจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง”
นิ้วมือเรียวยาวถูกแสงจันทร์ส่องกระทบจนเกิดเป็นประกายขาวสว่าง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาในยามนี้ ก็คล้ายจะอ่อนโยนกว่าเมื่อครู่มาก ซูหลีเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย นางกลับรู้สึกลังเล
วาจาของผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ ไม่เคยถามไถ่ความยินยอม แต่กลับไม่ทำให้คนฟังรู้สึกขัดหูแม้แต่น้อย เพราะว่าคนเช่นเขาเกิดมาก็ควรยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้คนนับหมื่น เป็นที่เคารพบูชาของคนใต้ฟ้า ทุกความเผด็จการและคำสั่ง เมื่อออกมาจากปากเขาล้วนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ก่อนหน้านี้ก็ตงฟางจั๋วพานางไปที่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ตงฟางเจ๋อก็เอาด้วยอีกคน! สองพี่น้องคู่นี้ วันนี้นัดหมายกันมาหรืออย่างไร? แต่ดึกดื่นเที่ยงคืน เขากับนางจะไปที่ใดได้?
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ไม่ได้ถามออกไป วินาทีที่ส่งมือให้เขา ร่างของนางลอยขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ถูกเขาโอบไว้ในอ้อมอก
ตากลมหนาวมาทั้งคืน แต่แผ่นอกกำยำของเขาก็ยังคงอบอุ่น ส่วนนางตากฝนมา แม้เสื้อผ้าแห้งแล้ว แต่ร่างกายกลับหนาวเย็นไปทั้งตัว
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะดึงนางเข้าไปใกล้อีกหลายส่วน ร่างบอบบางถูกโอบไว้ในอ้อมกอดแน่น เขาพลันรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทว่า… สตรีในอ้อมอกผอมบางถึงเพียงนี้ ช่างพาให้เขารู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ซูหลีไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย หันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่กลับมองเห็นแววขุ่นเคืองรางๆ ในดวงตาคมเข้ม นางประหลาดใจ ได้ยินเพียงเขากล่าวว่า “ต่อไปไม่ว่าเผชิญกับเรื่องใด ก็ต้องระวังสุขภาพตนเองไว้ก่อน! เดิมก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ยังกล้าตากฝนอีก!” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว เขาจำได้ว่าครั้งก่อนที่ไปล่องเรือชมทะเลสาบ เพื่อช่วยหลีเหยา นางตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด! หัวใจพลันกระตุกวาบ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน!
ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งงัน ตั้งตัวไม่ทัน เขากำลังโกรธนางที่ตากฝนเพราะตงฟางจั๋ว? ไม่ได้โกรธที่นางลืมนัดหมายของเขา?
มองดูดวงตาสะท้อนแววขุ่นเคืองของเขา หัวใจนางพลันรู้สึกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าขณะเดียวกันก็บังเกิดความรู้สึกหอมหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเป็นคนประเภทที่แม้โกรธก็ไม่แสดงให้ผู้ใดเห็น แต่ยามนี้ แม้แววตาขุ่นเคืองมีเพียงเลือนราง ทว่ากลับเปิดเผยต่อหน้านางอย่างแท้จริง! มองเห็นคิ้วที่ขมวดกันมุ่นของเขา นางเอื้อมมือขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อยากนวดให้คิ้วเขาคลายปม
………………………………………………………….
[1] แหวกฟ้าคว้าฝน หมายถึง ช่ำชองการวางอุบายที่เหนือชั้น