ซูฉุนอึ้งงัน “วิญญาณเข้าฝัน? พูดถึงเรื่องนี้ กระหม่อมรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก สองปีก่อน ท่านป้าหลิ่วเพิ่งจากไปได้ไม่นาน มีคืนหนึ่ง นางฝันเห็นผี ดึกดื่นเที่ยงคืนร้องไห้เสียงดังโวยวาย จนทุกคนในจวนตกใจพากันตื่น! ท่านพ่อจึงตำหนินาง ปกตินางกลัวท่านพ่อที่สุด แต่คืนนั้นนางกลับเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ยกมือปิดหูกรีดร้องเสียงแหลม ไม่ว่าผู้ใดเข้าไปปลอบก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ยังคงเป็นกระหม่อมที่กล่อมจนนางนอนหลับ…”
ตงฟางจั๋วลุกขึ้นนั่ง นึกภาพไม่ออกว่าซูหลีที่ซูฉุนพูดถึงเป็นคนคนเดียวกับซูหลีที่เขารู้จัก
“และตั้งแต่วันนั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดคำว่าผีต่อหน้านางอีก ถึงขนาดที่แค่นางได้ยินใครพูดว่ามีคนตาย ก็จะตกใจจนตัวสั่น ขดตัวกลมเลยทีเดียว” ซูฉุนถอนหายใจเบาๆ เมื่อกล่าวถึงน้องสาวคนเล็กที่อ่อนแอถึงเพียงนั้น แววเอ็นดูและสงสารพาดผ่านในดวงตาของเขา ครั้นนึกถึงซูหลีในตอนนี้ สถานการณ์เช่นนั้นในอดีต คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว! บอกไม่ถูกว่าเขาดีใจหรือเสียใจ รู้สึกเพียงว่าชีวิตของเขาเหมือนกำลังจะขาดอะไรบางสิ่งไป
ตงฟางจั๋วได้ฟังก็อึ้งงัน ในสมองพลันมีบางสิ่งแวบผ่าน เขากระโดดลงจากเตียง คว้าตัวซูฉุนมาถามเสียงร้อนใจ “นอกจากกลัวผีและกลัวคนตาย ยังมีเรื่องอะไรเป็นพิเศษอีกหรือไม่?”
ซูฉุนอึ้งไปเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วตอบว่า “เรื่องพิเศษ…ก็ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่หลังจากที่เจิ้นหนิงอ๋องช่วยซูซูจากมือโจรพวกนั้น นิสัยนางเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนนางขี้กลัว มักถูกซูชิ่นรังแกเสมอ ไม่รู้ความอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ นาง…”
ซูฉุนชะงักไป คล้ายกำลังคิดว่าควรพูดถึงน้องสาวที่ตนเองแทบจำไม่ได้แล้วอย่างไรดี ตงฟางจั๋วกลับร้อนใจ ร้องถาม “ตอนนี้เป็นเช่นไร?”
ซูฉุนถอนหายใจ “ตอนนี้นางเฉลียวฉลาดและน่ารัก กิริยาสงบนิ่ง ราวกับว่า…ไม่มีสิ่งใดทำให้หัวใจนางสั่นไหวได้ง่ายๆ…เมื่อครู่กระหม่อมคืนปิ่นปักผมที่นางชอบที่สุดให้นาง นางกลับจำไม่ได้แล้ว!”
“จำไม่ได้?!” ตงฟางจั๋วพึมพำ สีหน้าเปลี่ยนผันไปมา ความคิดจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์
สีหน้าซูฉุนขรึมลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยความสงสัย “ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็แปลกใจ นางดูชอบปิ่นปักผมนั้นมาก แต่กลับเหมือนไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง! นั่นเป็นของที่นางเคยชอบมากที่สุด ซูชิ่นทำเสียหายนางยังร้องไห้อยู่หลายวัน ยามนี้เห็นมันสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ กลับไม่ตื่นเต้นยินดี ราวกับลืมไปจนสิ้นแล้ว”
ตงฟางจั๋วกล่าว “ลืมไปแล้ว? เป็นไปไม่ได้! วาจาทุกประโยคที่หลีซูกล่าวกับนางในความฝัน นางล้วนจำได้อย่างแม่นยำ ของที่ตนเองเคยชื่นชอบ จะลืมไปจนสิ้นได้อย่างไร? นอกเสียจากว่า นางไม่ใช่ซูหลี!”
กล่าวประโยคนี้จบ ตงฟางจั๋วกับซูฉุนต่างก็อึ้งงันไปพร้อมกัน
นางไม่ใช่ซูหลี แล้วเป็นใครเล่า? ความคิดนี้เหมือนเถาวัลย์ที่มีพิษ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมา ก็มิอาจตัดขาดได้อีก มันงอกและลุกลามอย่างบ้าคลั่งอยู่ในสมองและหัวใจของตงฟางจั๋ว ทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
เขากลั้นหายใจ
ตงฟางจั๋วและซูฉุนต่างมองเห็นแววตกตะลึงและสงสัยจากดวงตาของอีกฝ่าย แต่ไม่นานซูฉุนก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้! วันที่ท่านหญิงหมิงอวี้ประสบเหตุร้าย ซูซูถูกชิ่นเอ๋อร์ขังไว้ในห้องเก็บฟืนของจวน นางไม่มีโอกาสออกจากจวน ยิ่งไม่มีทางถูกคนฆ่าเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นท่านหญิงหมิงอวี้! ยิ่งไปกว่านั้น…ใบหน้าของท่านหญิงหมิงอวี้ ก็ไม่มีปานเหมือนซูหลี กระหม่อมเห็นนางเติบโตมาตั้งแต่เด็ก นางคือซูหลี ไม่มีทางเป็นท่านหญิงหมิงอวี้เด็ดขาด! ท่านอ๋องอย่าคิดมากอีกเลย รีบรักษาสุขภาพให้หายดี วันพรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ความหวังที่เพิ่งจะลุกโชติช่วงขึ้นมา กลับถูกดับจนมอดม้วยอย่างเย็นชา ตงฟางจั๋วแววตาหม่นหมอง ร่างกายอ่อนแรงพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาไร้ชีวิตชีวา จ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง กระทั่งซูฉุนกล่าวลา เขาก็ยังไม่เปิดปากกล่าวอะไรสักคำ
ค่ำคืนนี้ เขานอนพลิกกลับไปกลับมา มิอาจข่มตาหลับ ทุกครั้งที่หลับตา ในสมองมักมีเงาของหลีซูและซูหลีสลับไปมาไม่หยุด สุดท้ายกลับทับซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่อาจควบคุมได้เลย
ไม่ได้การ! เขายังคงรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เทียบกับเรื่องเหล่านั้นที่ซูฉุนเล่าให้ฟัง เขาเชื่อความรู้สึกของตนเองมากกว่า เรื่องนี้เขาจำเป็นต้องไปยืนยันด้วยตนเอง!
ครั้นตัดสินใจได้ เขาก็พลิกกายลุกขึ้นนั่ง ไม่สนใจว่าร่างกายที่กำลังป่วยจะทรมานเพียงไหน รีบสวมอาภรณ์ให้ครบครัน หลังล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็สั่งคนให้เตรียมม้า หวังอันกล่าวอย่างกังวลว่า “วันนี้ท่านหญิงหมิงซีเลือกพระสวามี ท่านอ๋องต้องเข้าวังตามพระบัญชาของฝ่าบาทตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องใดเร่งด่วน จำต้องออกจากจวนยามนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว “พูดมาก! รีบเตรียมม้าให้ข้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปจวนอัครเสนาบดี!”
หวังอันยังทำท่าเหมือนจะกล่าวอะไรอีก แต่พอเห็นสายตาเกรี้ยวกราดของตงฟางจั๋ว ก็ทำได้เพียงถอยออกจากห้องไป ทั้งสองขึ้นม้า แล้วมุ่งหน้าไปยังจวนอัครเสนาบดีอย่างเร่งด่วน
เวลานี้ ใกล้สิ้นสุดยามเหม่า[1]
ซูเซียงหรูและซูฉุนเข้าวังไปว่าราชการช่วงเช้าแล้ว จวนอัครเสนาบดีเงียบสงบ ตงฟางจั๋วสั่งให้หวังอันนำม้าไปผูกไว้ในที่ลับตาคน เขาไม่ได้ทำให้ใครแตกตื่น เพียงเดินเข้าไปในสวนด้านหลังของจวนอย่างเงียบงัน
เรือนของซูหลีเป็นสถานที่ที่เงียบสงบที่สุดในจวนมาแต่ไหนแต่ไร แต่รุ่งเช้าของวันนี้กลับต่างออกไป
เหลียนเอ๋อร์ไม่รู้ว่าถูกสิ่งใดกระตุ้น วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางคลุ้มคลั่งตั้งแต่เช้าตรู่ ตะโกนเสียงดังโวยวายว่าจะพบคุณหนูของนางให้ได้ หวั่นซินไม่อยู่ ในวันที่อากาศหนาวเหน็บ โม่เซียงรับมือกับนางจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว ไม่ว่าจะปลอบหรือเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ซูหลีตื่นแล้ว เพียงแต่ยังไม่ลุกจากเตียง ได้ยินเสียงของเหลียนเอ๋อร์ นางรีบลุกขึ้นนั่งแล้วขานเรียก “โม่เซียง! เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
โม่เซียงกล่าวเสียงลนลาน “คุณหนูเจ้าคะ!!
ซูหลีรีบหยิบเสื้อคลุมหุ้มกายแล้วลงจากเตียง เมื่อออกไป ก็เห็นเหลียนเอ๋อร์นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพง ร่างกายสั่นเทา ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว ซูหลีอึ้งงัน รีบเข้าไปถามนาง “เหลียนเอ๋อร์?! เจ้าเป็นอะไรไป?”
เพียงแค่ประโยคคำถามธรรมดาที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ประโยคนี้ ก็ทำให้ตงฟางจั๋วที่กำลังจะเข้าไปในเรือนชะงักเท้าทันที ในความทรงจำ ครั้งแรกที่พบหลีซู ประโยคแรกที่เขาได้ยินจากที่ไกลๆ ก็เป็นประโยคคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นนี้เหมือนกัน ‘เหลียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป? อยู่ดีๆ ก็เหม่ออะไรของเจ้ากัน?’
‘คุณ คุณหนูเจ้าคะ…ตรงนั้นมีคนกำลังมองคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ!’
‘ผู้ใดหรือ?’ ยามนั้นหลีซูถามด้วยรอยยิ้ม ครั้นนางหันมา เขาก็มองเห็นดวงหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ที่งามดั่งเทพธิดาของนาง…
ความทรงจำ มักพรั่งพรูออกมาในยามที่เราไม่ทันตั้งตัว กลีบปากของตงฟางจั๋วที่เดิมก็ซีดขาวอยู่แล้ว ยามนี้เม้มแน่นเป็นเส้นตรง เขาอดกลั้นสุดความสามารถ สุดท้ายก็กระโดดลอยตัวขึ้นไปเร้นกายอยู่บนหลังคา และสังเกตคนที่อยู่เบื้องล่างเงียบๆ
หากเป็นยามปกติ เหลียนเอ๋อร์ต้องพุ่งตัวเข้ามาหานางแน่ แต่วันนี้นางกลับเงยหน้ามองซูหลี แล้วรีบก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ก่อนจะร้องไห้อย่างปวดใจยิ่งกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูหลีขมวดคิ้วมองโม่เซียง โม่เซียงส่ายหน้าอย่างมึนงง ซูหลีทำได้เพียงย่อกายนั่งลงตรงหน้าเหลียนเอ๋อร์ กุมแขนนางแล้วเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่มนวล “เหลียนเอ๋อร์ ใครรังแกเจ้าหรือ? บอกมา คุณหนูจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง!”
ครั้นได้ยินคำว่า ‘คุณหนู’ เหลียนเอ๋อร์พลันหยุดร้องไห้ เงยหน้าตะโกนเสียงดังใส่นางด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “ท่านไม่ใช่คุณหนูของข้า! พวกนางบอกว่า คุณหนูของข้าตายไปแล้ว!” เอ่ยจบก็ปล่อยโฮเสียงดังลั่นอีกครั้ง
ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี สายตาคมปลาบดั่งมีด หันไปกำชับโม่เซียง “ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ว่าผู้ใดเป็นคนกล่าวประโยคนี้!” ก่อนหน้านี้ นางเคยกำชับไว้แล้ว ห้ามผู้ใดเอ่ยถึงการตายของหลีซูต่อหน้าเหลียนเอ๋อร์ หลายวันมานี้ ไม่ง่ายเลยกว่าเหลียนเอ๋อร์จะกลับมาเป็นปกติบ้างแล้ว แต่กลับมีคนกล้าขัดคำสั่งนาง! หากเจอตัวเมื่อใดไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน!
……………………………………………
[1] ยามเหม่า คือช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า