“เจ้า!” ตงฟางจั๋วใบหน้าซีดขาว เบิกตากว้างด้วยความโมโห ร่างกายสั่นสะท้าน เอ่ยวาจาไม่ออก ตงฟางเจ๋อกลับนิ่งสงบ ใบหน้าไม่แดง ไม่หอบหายใจ ราวกับกำลังคุยเรื่องทั่วไป เขากล่าวต่ออีกว่า “ข้าจำได้ว่าในหัวข้อที่สองของพิธีคัดเลือกพระสวามีครั้งแรก พี่รองทรงเลือกมังกรหยกกับสว่านปลายแหลม เพื่อสื่อความหมายว่าต้องปกครองไพร่ฟ้าด้วยกฎหมาย จึงจะสามารถทำให้ราษฎรสงบสุขได้ ยามนี้หวังอันทำผิด มิอาจละเว้นโทษได้เพียงเพราะเขาเป็นคนของพี่รอง ทั้งท่านและข้าต่างเป็นท่านอ๋อง ยิ่งสมควรทำตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก หวังอันจำต้องได้รับโทษ และต้องได้รับโทษตายสถานเดียวเท่านั้น!”
ฮ่องเต้พยักหน้า เห็นชัดว่าเห็นด้วยกับวาจาของโอรสองค์นี้ของเขา แต่ทว่าเขากลับไม่เอ่ยวาจาใดออกมา
ตงฟางเจ๋อเอ่ยขึ้นอีก “นอกเสียจากว่า…เขาจะถูกผู้อื่นบงการ เบื้องหลังมีตัวการหลักซ่อนอยู่! จึงจะพิจารณาเป็นอื่นได้ หวังอัน ผู้ใดกันแน่บงการให้เจ้าใส่ร้ายท่านหญิงหมิงซี บอกมา!”
ตงฟางเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึม จู่ๆ ก็หันไปตะคอกถามหวังอันเสียงเกรี้ยว หวังอันตกใจจนตัวสั่น สีหน้าของฮองเฮายิ่งดูย่ำแย่ นางแอบสังเกตสีหน้าฮ่องเต้ ประจวบเหมาะกับที่สายตาของฮ่องเต้กวาดมองมาที่นางพอดี แววตาคมปลาบและเย็นชา ทำให้ฮองเฮาตัวสั่น รีบหลบตาทันที
บัดนี้ การให้ร้ายได้กลายเป็นเรื่องจริงอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ โทษหมิ่นเบื้องสูงไม่มีผู้ใดรับประกันได้ นอกเสียจากชี้ตัวผู้บงการเบื้องหลัง อาจทำให้มีโอกาสรอดชีวิต! หวังอันย่อมเข้าใจความหมายของตงฟางเจ๋อ แต่สายตาของเขากลับกลอกไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มองฮองเฮา กลับเอาแต่มองตงฟางจั๋ว คำว่ามิตรภาพนายบ่าวที่มีมาหลายปี…เพียงประโยคนี้ก็ทำให้สายตาของเขาสั่นระริก หัวใจขมฝาดยิ่งนัก
เขากัดปาก เงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ ยิ้มด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “เจิ้นหนิงอ๋องไม่จำเป็นต้องเสียแรง ทุกการกระทำในวันนี้กระหม่อมเป็นผู้ตัดสินใจเองแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ! ชีวิตไร้ค่าของกระหม่อม แม้ตายก็ไม่เสียดาย แต่หากเจิ้นหนิงอ๋องหมายจะใช้โอกาสนี้ให้กระหม่อมป้ายสีผู้อื่น เป็นความคิดที่เพ้อเจ้อพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้อ?” ตงฟางเจ๋อหันมามองเขา แสยะยิ้มเยือกเย็น “เช่นนั้นข้าสงสัยยิ่งนัก หากท่านหญิงถูกลงโทษ จะเป็นผลดีต่อเจ้าเช่นไร?”
หวังอันยืดหลังตรง ตอบว่า “กระหม่อมเห็นท่านอ๋องของกระหม่อมโทษตนเองและทุกข์ทรมานต่อการตายของท่านหญิงหมิงอวี้ นับวันยิ่งผ่ายผอม ถ้าหากท่านหญิงหมิงซีคือท่านหญิงหมิงอวี้ อาการป่วยของท่านอ๋องอาจหายได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใด…”
“เหลวไหล!” ตงฟางจั๋วตำหนิเสียงเกรี้ยว ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาหันไปมองสตรีที่เอาแต่ยืนเงียบตลอดเวลาอยู่อีกด้าน เห็นเพียงนางปั้นหน้าสงบนิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนเองแม้แต่น้อย
ซูหลีเป็นผู้เสียหาย หากนางยอมขอร้องแทนหวังอันสักประโยค หวังอันอาจยังมีหวังรอดชีวิต แต่ซูหลีกลับไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ว่าผู้ใดที่ต้องการทำร้ายนาง นางไม่มีทางยอมใจอ่อนให้เด็ดขาด มิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการเพาะเลี้ยงรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายที่อาจเป็นภัยต่อตนเองในอนาคต! ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เจ้านายแท้ๆ ของเขายังไม่ออกหน้าขอร้องให้เขา แล้วเหตุใดนางต้องทำด้วย! ซูหลีแค่นเสียงเย็นในใจ เงยหน้ามองฮ่องเต้ ยามนี้ฮ่องเต้ตำหนิเสียงเย็น “ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามขอร้องอีก มิเช่นนั้นจะได้รับโทษสถานเดียวกัน! ลากตัวออกไป!”
ฮองเต้สั่งเสียงเย็นชา องครักษ์ไม่ลังเล รีบลากตัวคนออกไปทันที
ไม่ขัดขืน กระทั่งไม่กรีดร้อง เงื้อดาบฟันลงไป เลือดสาดกระเซ็นทั่วพื้นศิลา แล้วหวังอันก็ตายไปอย่างนี้ ณ ด้านนอกของตำหนักฉางชุน ฮองเฮาใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใดอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ตงฟางจั๋วใจหาย รู้สึกวิงเวียนศีรษะ วันนี้ทั้งวันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องที่ทำให้ตื่นตะลึงและปวดใจ พาให้หมดเรี่ยวแรงจนรู้สึกห่อเหี่ยวเหลือเกิน…ร่างกายอันย่ำแย่ที่เดิมก็ป่วยหนักอยู่แล้ว มิอาจทนแบกรับความรู้สึกสิ้นหวังอันหนักหน่วงเช่นนี้ไว้ได้
ไม่อยากคิดอีกแล้วว่าใครตายไปแล้ว ใครจากไปแล้ว ใครไม่อาจมาพานพบกับเขาในความฝันอีก…วินาทีนี้ เขารู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าทั้งผืนอาบไล้ไปด้วยสีแดงสด
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูก…เหนื่อยแล้ว ใคร่ขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หลุบดวงตาไร้พลังชีวิตลงต่ำ ท่าทางของเขาในยามนี้เหมือนกับที่เจ้าตัวบอก อ่อนระโหยโรยแรง คล้ายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
ฮองเฮาปวดใจ เดิมทีฮ่องเต้ไม่เอ่ยคำใด คำขอเช่นนี้ของเขาทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจได้ง่ายๆ แต่ยามนี้ฮองเฮาเองก็ทนมองไม่ไหว หันไปมองฮ่องเต้อย่างวิงวอน
ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาราบเรียบ ลุกขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อการคัดเลือกเสร็จสิ้นแล้ว เช่นนั้นก็แยกย้ายเถิด” เอ่ยจบก็ไม่มองผู้ใดอีก สาวเท้ายาวๆ เดินออกจากประตูไป
ทางเดินในตำหนักอันยาวเหยียด เหมือนดั่งคุกที่ไร้จุดสิ้นสุด ทุกย่างก้าวของตงฟางจั๋วช่างทรมาน เงยหน้ามองดูพระราชวังอันน่าเกรงขามและหรูหราแห่งนี้ด้วยสายตาเลื่อนลอย เขาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มายี่สิบปีแล้ว วันนี้กลับรู้สึกว่าพระราชวังแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย แค่จะเดินออกไปยังยากเย็นถึงเพียงนี้!
สายลมระลอกหนึ่งพัดเข้ามา ร่างกายสูงใหญ่ของเขาสั่นไหวเบาๆ ร่างกายและจิตใจอ่อนล้า ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สายตาก็เริ่มพร่าเลือน ไม่รู้ว่าเดินมาถึงที่ใดกันแน่ เหมือนยืนอยู่ ณ ปากทาง ทางเดินด้านซ้ายทอดลึกและยาว มองไม่เห็นทางออก ด้านขวากลับมีประตูบานหนึ่ง ดูคล้ายเป็นทางออก เขาเดินไปทางนั้นอย่างยากลำบาก จึงเพิ่งค้นพบว่านั่นเป็นเส้นทางแห่งความตาย!
รอบข้างไร้ผู้คน เงียบจนน่ากลัว ซูหลีหยุดเดินแต่ไกล มองดูบุรุษที่อยู่ไม่ไกลยกมือค้ำกำแพงอย่างอ่อนแรง สีหน้าของเขาโศกเศร้าสิ้นหวัง ก่อนจะค่อยๆ ล้มลงไป
นางไม่ขยับแม้แต่น้อย เพียงยืนมองเหล่าขันทีวิ่งเข้าไปแบกร่างบุรุษที่ในอดีตเคยเย่อหยิ่งทะนงตนอย่างแตกตื่น แล้ววิ่งหายลับไปนอกกำแพงวังอย่างลนลาน นางไม่มีทางลืมคำชี้แนะของฮ่องเต้ นับจากนี้ไปนางคือว่าที่พระชายาในเจิ้นหนิงอ๋อง! ชายผู้นี้จะกลายเป็นเพียงอดีตตลอดกาล อดีตของท่านหญิงหมิงอวี้…
การปะทะกันทั้งซึ่งหน้าและลับหลังอันน่าระทึกขวัญ ได้กลายเป็นที่พูดถึงของชาวบ้านในเมืองหลวงไปหลายวัน ทุกคนต่างจับตามองเจิ้นหนิงอ๋องและว่าที่พระชายา ว่าจะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกเพียงใด ไม่มีผู้ใดพูดถึงเรื่องของจิ้งอันอ๋องที่แทบจะหายเข้ากลีบเมฆอีก ว่ายามนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง
‘ปัง’ ประตูห้องที่ปิดสนิทติดต่อกันมาหลายวัน ถูกฮองเฮาเปิดออกอย่างแรงด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว บรรยากาศภายในห้องแผ่กระจายออกมา เงียบงันไร้เสียง สิ้นหวังเย็นเยียบจนชวนให้หายใจไม่ออก ฮองเฮาตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางสาวเท้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็อึ้งค้างไป
ตั้งแต่หลายวันก่อนที่ตงฟางจั๋วหมดสติอยู่ในวัง จนได้รับการตรวจรักษาจากหมอหลวงและส่งตัวกลับมาพักฟื้นที่จวน สองแม่ลูกยังไม่มีโอกาสพบหน้า ฮองเฮาเป็นห่วงเขาอยู่ตลอดเวลา สั่งให้คนมาถามไถ่อาการทุกวัน ข่าวที่ได้รับกลับเป็นตงฟางจั๋วดื้อดึงไม่ยอมดื่มแกงกินยา ขังตัวเองไว้ในห้องทั้งวัน ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น!
หากไม่ใช่ว่าเห็นกับตา ฮองเฮาก็แทบไม่อยากเชื่อ ว่าในเวลาสั้นๆ คนคนหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้! นี่มันไม่ใช่คนคนเดียวกันแล้ว!
ตงฟางจั๋วที่อยู่ตรงหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดขาวหม่นหมอง ซูบซีดสุดแสน ดูแล้วผ่ายผอมกว่าหลายวันก่อนมาก เขาคือตงฟางจั๋วโอรสของนางจริงหรือ? ท่านอ๋องหนุ่มผู้หล่อเหลาและสง่างามผู้นั้น หายไปไหนแล้ว?
นางทั้งขมขื่นและเจ็บปวด ขานเรียกอย่างร้อนใจ “จั๋วเอ๋อร์? จั๋วเอ๋อร์? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ตอบแม่สักคำเถิด”
ตงฟางจั๋วลืมตาเล็กน้อย สีหน้าเลื่อนลอย กวาดตามองนางอย่างกะปลกกะเปลี้ยแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงอย่างรวดเร็ว แววเย็นชาในม่านตาพาให้ฮองเฮาตัวสั่นไปทั้งร่าง โอรสของนาง โอรสที่นางภูมิใจและกตัญญูต่อนาง ไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นมาก่อน!
ฮองเฮากัดฟัน หมุนกายหันมาถามเสียงเกรี้ยว “พวกเจ้าดูแลปรนนิบัติกันอย่างไร?!”
…………………………………………
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 196 บุรุษผู้บ้าคลั่ง (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment