จั้นอู๋จี๋พูดถึงขนาดนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่คัดค้าน ซูหลีรู้ หากพูดต่อไปก็มีแต่จะทำให้ไม่พอใจ ผู้คนต่างบอกว่าจั้นอู๋จี๋ผู้นี้เป็นคนเถรตรงไม่คดงอ ดูถูกการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและเล่นสกปรกมาก แต่วาจาที่เขาเอ่ยในวันนี้ กลับทำให้นางต้องมองเขาใหม่ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้เจ้าแผนการไม่เบา!
นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขาสายตาสั่นไหว แต่กลับหัวเราะกล่าวเสียงขรึม “เช่นนี้ก็ดี ท่านหญิงหมิงซีคือว่าที่พระชายาของข้า เป็นตัวแทนประลองแทนข้า ก็สมเหตุสมผล”
ซูหลีอึ้งงัน คิ้วงามหมดจดขมวดเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อชะโงกหน้าเข้ามากระซิบข้างหูนางอย่างแนบเนียน “ข้าเชื่อว่าซูซูต้องชนะแน่!”
ซูหลีช้อนตาขึ้นมอง ก็เห็นหยางเสวียนที่อยู่ข้างหน้าจ้องนางเขม็ง ประกายมั่นใจและเย่อหยิ่ง ทำให้หญิงสาวตรงหน้ายิ่งดูโดดเด่นสะดุดตา ราวกับนางได้คว้าชัยชนะในการประลองครั้งนี้แล้ว
ซูหลีพลันแย้มยิ้ม เงยหน้ากล่าวว่า “ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องทรงเชื่อในตัวซูหลี แม้ซูหลีจะไม่อาจเอื้อมแต่ก็ไม่อาจขัดศรัทธา!”
หยางเสวียนหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ท่านหญิงหมิงซีใจคอกว้างขวาง! มิน่าเล่าพี่สี่ของข้าถึงได้ชมชอบท่านนัก ท่านไม่เพียงรูปโฉมงดงาม นิสัยก็ไม่เหมือนสตรีน่าอึดอัดเหล่านั้นอย่างที่คนเขาลือกัน ข้าชอบท่าน!” ยามเอ่ยคำว่าชอบ นางยิ้มอย่างจริงใจยิ่งนัก
ซูหลีกลับอดไม่ได้ที่จะระแวดระวัง ชาวเปี้ยนนั้น มักให้ความรู้สึกลึกลับอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ภายนอกพวกเขาดูเหมือนไร้พิษภัย แต่ไม่ได้มีเพียงเท่าที่เห็นแน่นอน หยางเซียวเป็นตัวอย่างที่ดีมากคนหนึ่ง! ส่วนหยางเสวียนผู้นี้ ซูหลีรู้สึกว่านางไม่เหมือนหยางเซียว สัญชาตญาณบอกว่าหญิงสาวนางนี้อันตรายมาก
“เช่นนั้นพวกเราเริ่มกันเถิด!” หยางเสวียนยิ้มร่าก่อนกระโดดขึ้นหลังม้า
ซูหลีกลับแย้มยิ้มบางๆ “องค์หญิงต้องการประลองเช่นไรเพคะ? หากประลองธนูด้วยการล่าเหยื่อเพียงอย่างเดียว จะไม่น่าเบื่อเกินไปหรือเพคะ?”
หยางเสวียนถามอย่างฉงนฉงายทันที “นอกเหนือจากนี้ ยังมีวิธีประลองที่ดีกว่าอีกหรือ?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้ามีความคิดที่น่าสนุกมาเสนอ”
“อะไรหรือ?” ครั้นได้ยินคำว่าสนุก หยางเสวียนดวงตาเป็นประกาย ร้องเสียงตื่นเต้น “รีบบอกมาเร็วๆ”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงแช่มช้า “ล่าธง”
“ล่าธง?” หยางเสวียนมองเขาอย่างสงสัย “คืออะไรหรือ? ข้าเคยได้ยินแต่ล่าคนล่าสัตว์ ไม่เคยได้ยินล่าธง!”
ด้านหลังเซียวฟั่งหัวหน้าองครักษ์มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาอธิบาย “การล่าธงก็คือการให้ทหารถือธงวิ่งไปมาในพื้นที่ที่กำหนด ผู้ใดยิงโดนธงมากกว่า ถือว่าเป็นฝ่ายชนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีเงยหน้ามองไปทางคนผู้นั้น ร่างกายกำยำตามแบบฉบับผู้ฝึกวรยุทธ์ ทว่ากลับมีใบหน้าของบัณฑิต มองแวบแรก ให้ความรู้สึกประหลาด ทว่าเมื่อมองดูอย่างละเอียด กลับรู้สึกว่าเข้ากันอย่างมาก คนผู้นี้ก็คือหยวนเซี่ยง รองหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายซ้าย เป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ
หยางเสวียนร้อง “อ๋อ” แล้วกล่าวว่า “แล้วมันยากตรงไหน?” ในน้ำเสียง คล้ายแฝงแววผิดหวัง
หยวนเซี่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฟังดูเหมือนไม่ยาก แต่องค์หญิงมิสู้ลองดูสักครา”
หยางเสวียนเชิดหน้า คล้ายไม่คิดว่ามันจะยากสักเท่าใด นางคิดว่าคนไม่มีทางวิ่งเร็วไปกว่าเสือดาวได้ เช่นนี้ก็ไม่มีความท้าทายน่ะสิ! นางกระทั่งสงสัยว่าตงฟางเจ๋อกลัวซูหลียิงสัตว์ไม่ได้แล้วจะทำให้เขาขายหน้า จึงได้เสนอความคิดนี้ขึ้นมา แต่ทว่า เมื่อนางตามทุกคนออกจากสนามล่าสัตว์ หยวนเซี่ยงเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ความเร็วที่ทหารถือธงเหล่านั้นวิ่ง เร็วกว่าที่นางคิดไว้มาก
บนพื้นที่กว้างขวางนอกกระโจมใหญ่ ทหารนับร้อยสวมหมวกเหล็กและชุดเกราะ ทุกคนถือธงสีแดงผืนเล็ก ขนาดแตกต่างกันไป พวกเขาวิ่งอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยไม่หยุดพัก
ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า คนที่สามารถรักษาธงไม่ให้ถูกยิงได้จนถึงตอนสุดท้ายจะได้รับรางวัล ฉะนั้นความเร็วในการวิ่งของทุกคนจึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธงสีแดงเหล่านั้น กลายเป็นเหมือนเส้นตรงที่ตัดขวางกันไปมาอยู่กลางอากาศ ชวนให้คนมองตาลาย
ธงเหล่านั้น ถึงแม้เป็นสีแดง ทว่ากลับแบ่งออกเป็นใหญ่ กลาง เล็ก ทั้งหมดสามขนาด ยิ่งใหญ่ยิ่งยิงโดนง่าย ฉะนั้นจึงนับเป็นหนึ่งแต้ม ธงขนาดกลางนับเป็นสองแต้ม ธงขนาดเล็กนับเป็นห้าแต้ม ธงขนาดเล็กมีจำนวนน้อย ถูกล้อมไว้ตรงกลาง และยิงได้ยากที่สุด
ซูหลียืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกกำหนดให้ นางสังเกตอย่างเงียบงัน ค้นพบว่าทิศทางและความเร็วที่คนเหล่านั้นวิ่ง ดูคล้ายไม่มีระเบียบแบบแผน แท้จริงแล้วมีกฎการเคลื่อนไหวที่ตายตัวอยู่ ในทุกคนเก้า จะมีหกคนที่ถือธงขนาดใหญ่ สามคนถือธงขนาดกลาง พวกเขาล้อมคนที่ถือธงขนาดเล็กคนหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าเก้าคนนี้จะวิ่งไปทางไหน หนึ่งคนนั้นมักจะอยู่ตรงกลางเสมอ หากมองดูอย่างละเอียด เหมือนค่ายกลประเภทหนึ่ง
“นี่คือค่ายกลเก้าประตูแปดทิศ” ข้างหูพลันมีเสียงทุ้มต่ำของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ซูหลีอึ้งงัน เมื่อหันไปมอง กลับเห็นตงฟางเจ๋อสีหน้าเป็นปกติ มุมปากหยักยิ้มอย่างมั่นใจ ราวกับไม่เคยเอ่ยคำใด
ผู้คนรอบกายคล้ายไม่ได้ยินเสียงใดทั้งนั้น
ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่นอกกระโจม มองมาทางนี้จากที่ไกลๆ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ตงฟางจั๋วนั่งอยู่ข้างกายฮองเฮา สายตาที่ทอดมองมามีความกังวลและสับสน ผู้ชมคนอื่นๆ นั่งประจำที่ สายตาที่คนส่วนใหญ่มองซูหลีล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย ต่างก็กังวลว่านางจะทำให้แคว้นเฉิงเสียชื่อ!
ซูหลีค่อยๆ ละสายตาออกมา ด้านขวา หยางเสวียนมือง้างธนู เชิดหน้า จ้องเหล่าทหารที่วิ่งอยู่ในสนามเขม็ง สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่หัวคิ้วกลับขมวดเล็กน้อย รู้สึกวิงเวียนจับทิศไม่ถูก
หวั่นซินส่งมอบธนูด้วยสายตากังวล ซูหลีส่งยิ้มปลอบใจให้นาง เมื่อครู่นี้ที่ตงฟางเจ๋อใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณ ทำให้ซูหลีเริ่มมีความมั่นใจ เดาว่าตงฟางเจ๋อคงเตรียมการไว้แต่แรก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางผลักนางออกมาส่งเดชแน่นอน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าท่ามกลางทหารที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ กลับมีคนของเขาอยู่ด้วย!
ค่ายกลเก้าประตูแปดทิศ ในยุคสมัยแห่งการบุกเบิกแคว้นเฉิง มีขุนพลจอมวางแผนผู้หนึ่งที่ช่ำชองศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย[1]ได้สร้างค่ายกลประเภทนี้ขึ้นจากหลักห้าธาตุแปดทิศ ได้ยินว่าค่ายกลประเภทนี้จะใหญ่หรือเล็กก็ได้ ดัดแปลงได้สารพัดรูปแบบ ขนาดเล็กเพื่อความบันเทิง ขนาดใหญ่เพื่อป้องกันศัตรู ใช้คนเป็นค่ายกล เพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรู ใช้ก้อนหินสร้างค่ายกล สามารถสกัดศัตรูได้นับหมื่นนับพัน ขัดขวางทหารได้นับแสน! เรียกได้ว่าเป็นค่ายกลอันดับหนึ่งในใต้หล้าเลยก็ว่าได้
“แปดทิศของค่ายกลนี้ประกอบไปด้วย เฉียน ข่าน เกิ่น เจิ้น ซวิ่น หลี คุน ตุ้ย สอดคล้องกับทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก”
นี่คือการจัดเรียงตำแหน่งตามแผนผังแปดทิศแบบหลังฟ้าที่ซูหลีเคยอ่านเจอในหนังสือ
มีคนจุดธูป การประลองเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ขณะที่ซูหลียกคันธนู ก็ได้ยินเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้นข้างหู ธนูของหยางเสวียนทั้งเร็วและแรง ครั้งแรกก็ยิงโดนธงขนาดกลางที่อยู่ทางทิศใต้แล้ว ฝีมือไม่ธรรมดาดังคาด!
“องค์หญิงเก่งกาจมากเพคะ!” หญิงผู้ติดตามชุดเขียวร้องตะโกนอย่างดีใจ
หยางเสวียนกระดกคิ้วมองซูหลีแวบหนึ่ง ซูหลีสีหน้าเรียบเฉย สายตาไม่วอกแวก เล็งธงขนาดกลางอีกอัน ทว่ากลับได้ยินตงฟางเจ๋อส่งเสียงมาทางลมปราณอีกครั้ง “ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ยิงออกจากตำแหน่งกลาง”
ธนูของซูหลีเบนออกเล็กน้อย ยามนี้ทหารที่ถูกหยางเสวียนยิงโดนวิ่งมาถึงตำแหน่งนั้นพอดี เผยให้เห็นธงที่เล็กที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง ซูหลีไม่ชักช้า ง้างธนูเต็มวงแขน ยิงโดนธงขนาดเล็กตั้งแต่ครั้งแรกทันที
เริ่มต้นได้งดงาม ลูกธนูแม่นยำ ไม่เอนเอียงหลงทิศ
ทุกคนพลันตะลึงค้าง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “หมิงซีดูบอบบางเช่นนั้น นึกไม่ถึงกลับมีทักษะยิงธนูที่ยอดเยี่ยม! เจ้าหกตาถึงยิ่งนัก!”
…………………………………………….
[1] ฉีเหมินตุ้นเจี่ย เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการอธิบายรูปแบบพลังงาน ณ เวลาหนึ่ง ว่า ณ เวลานั้นมีผังงานในแต่ละชั้นพลังงานเป็นอย่างไร ส่งผลอย่างไรในอนาคต แล้วจะใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างไร