ตงฟางจั๋วที่เงียบงันราวกับไม่มีตัวตนมาตลอด พลันเงยหน้ากล่าวเสียเย็น “ไม่ได้!”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว หยางเสวียนถามอย่างสงสัย “เหตุใดไม่ได้เล่าเพคะ?”
ตงฟางจั๋วกล่าวด้วยสายตาคมปลาบ “เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเปี้ยน หากลดเกียรติมาพักจวนท่านหญิง ใต้ฟ้าไม่เอาไปพูดว่าแคว้นเฉิงเราละเลยทูตผู้มีเกียรติหรอกหรือ? องค์หญิงสามารถพักในวังหลวง หรือพักในจวนรับรองทูตก็ได้ กระทั่งสามารถร้องขอให้เสด็จพ่อเปิดจวนองค์หญิงให้ท่านต่างหากก็ยังได้ อย่างไรก็ตาม จวนท่านหญิง ไม่เหมาะกับองค์หญิง!”
“แต่เจาหวาอยากพักที่จวนท่านหญิงนี่!” หยางเสวียนคล้ายต้องการงัดข้อกับเขา เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ครานี้เจาหวาไม่ได้มาในฐานะทูต จะมีคนเอาไปพูดว่าแคว้นเฉิงละเลยทูตได้เช่นไร? จิ้งอันอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ!”
ตงฟางจั๋วจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าองค์หญิงผู้นี้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เขาไม่ยอมให้คนเช่นนี้อยู่ข้างกายนางแน่นอน! อันตรายเกินไป!
ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเข้ม “ที่นี่ไม่ใช่แคว้นเปี้ยน องค์หญิงสมควรเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ทำตามกฎของแคว้นเฉิงเรา หากอยากเรียนกฎระเบียบและมารยาทจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพักในจวนท่านหญิงอย่างเดียว!”
หยางเสวียนมองหน้าเขา แล้วแย้มยิ้ม “ได้ยินมานานว่าท่านอ๋องทั้งสองของแคว้นเฉิงต่างชมชอบหลงใหลในตัวท่านหญิงหมิงซียิ่งนัก วันนี้ได้มาเห็นกับตา เป็นจริงดังข่าวลือว่าไว้ หรือท่านอ๋องทั้งสองกลัวเจาหวาจับท่านหญิงกิน? เฮ้อ! หม่อมฉันก็นึกว่าผู้ชายแคว้นเฉิงจะมีดีสักเพียงใด ที่แท้ก็ใจแคบเช่นนี้เอง!”
สายตาตงฟางจั๋วพลันเปลี่ยนไป ซูหลียิ้มพลางกล่าวว่า “องค์หญิงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ เหตุที่ท่านอ๋องทั้งสองไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะห่วงว่าองค์หญิงจะทำอะไรไม่ดีกับซูหลี แต่กลัวว่าองค์หญิงจะลำบากใจต่างหากเล่าเพคะ!”
หยางเสวียนคลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง “ข้าไม่กลัวลำบาก กลัวก็แต่ท่านหญิงหมิงซีจะรำคาญเจาหวา ไม่ยอมให้เจาหวาพักร่วมกับท่าน ช่างเถิด ในเมื่อเจาหวาไม่ได้รางวัลที่อยากได้…รางวัลในวันนี้ เจาหวาถือว่าไม่ได้รับเสียดีกว่า” เอ่ยจบ ก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ได้รับรางวัลไปแล้ว เหตุใดจึงถือว่าไม่ได้รับเล่า? หากข่าวลือแพร่ออกไปผู้คนจะไม่ครหาว่าข้าตระบัดสัตย์หรอกหรือ? หมิงซี ให้องค์หญิงเจาหวาพักในจวนเจ้า มีเรื่องใดไม่สะดวกเช่นนั้นหรือ?” ความหมายของฮ่องเต้กระจ่างชัดในทันที!
ซูหลีลอบถอนใจ รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์ต้องออกมาเป็นเช่นนี้ นางทำได้เพียงหลุบตากล่าวอย่างทอดถอนใจ “ทูลฝ่าบาท หมิงซีรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่องค์หญิงทรงโปรดปรานหมิงซี ไม่มีเรื่องใดไม่สะดวก ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งของฝ่าบาทเพคะ”
“หมิงซีรู้ความดังคาด ดี เรื่องนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!” ฮ่องเต้โบกมือ สั่งให้คนส่งแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นไปยังจวนท่านหญิง ถือเป็นรางวัลให้ซูหลี
ซูหลีก้มหน้า ถูกบีบบังคับเช่นนี้ นางไม่ทำตัวรู้ความแล้วจะทำอย่างไรได้?
ใกล้ได้เวลามื้อเที่ยง ฮ่องเต้ลุกขึ้น หมายจะกลับวังเสวยมื้อกลางวัน ฮองเฮารีบลุกขึ้นเดินตามไป แต่ในตอนนี้เอง เสียงคำรามลั่นของสัตว์ร้าย และเสียงกรีดร้องแหลมๆ ของทหารยาม พลันดังมาจากสนามล่าสัตว์
ซูหลีหันไปมอง เห็นเพียงเสือดุร้ายตัวหนึ่งวิ่งชนรั้วล้อม พุ่งตัวเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางดุดันน่ากลัว
ทุกคนตะโกนแตกตื่น
“คุ้มกันฝ่าบาท!” หัวหน้าองครักษ์เซียวฟั่งตะโกนสั่งเสียงเข้ม เขาชักดาบ ยืนคุ้มกันอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ ตวาดสั่งเสียงดัง “สกัดมันไว้!”
เหล่าทหารที่เฝ้าระวังอยู่นอกสนามล่าสัตว์ไม่ทันได้ชักดาบ ก็ถูกกระโดดใส่จนล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นคาที่
เสียงครวญครางดังขึ้นเป็นระลอก เสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังระงมไปทั่ว จุดที่เสือร้ายวิ่งผ่าน เลือดเนื้อสาดกระเซ็น กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไปทั่วสนาม รอบทิศเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายในพริบตา
เหล่านางกำนัลและขันทีที่ติดตามฮ่องเต้มาไม่เคยเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้มาก่อน ต่างตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง บ้างก็ยกมือกุมหัวมุดหาที่ปลอดภัย บ้างก็หมดสติไปทันที
สถานการณ์โกลาหลวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นขุนพลที่ชำนาญศึก โดยเฉพาะคนระดับหลีเฟิ่งเซียนที่เคยผ่านสมรภูมิรบมานาน มีเหตุการณ์ใดบ้างไม่เคยเจอ ยามนี้กลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่อาจควบคุม
ธนูและลูกศรทั้งหมดล้วนถูกเก็บหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานการโจมตีอันดุดันของเสือร้ายได้ แม้แต่หยางเสวียนที่ล่าสัตว์มานาน สังหารสัตว์ร้ายมานับไม่ถ้วน ปฏิกิริยาแรกของนางคือดึงหญิงผู้ติดตามชุดเขียวที่ตกใจจนอึ้งค้างไปแล้วให้ถอยหลังเท่านั้น
ซูหลีไม่เคยเห็นสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อน ช่วยไม่ได้ที่จะตกใจ นางถูกหวั่นซินดึงถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่เสือร้ายตัวนั้นคล้ายหมายตานางแล้ว มันกระโดดกลางอากาศพุ่งตัวมาทางนางอย่างรวดเร็ว
หวั่นซินหน้าเปลี่ยนสี รีบดึงนางไปหลบด้านหลังตนเอง พลิกมือแย่งดาบยาวจากมือทหารนายหนึ่งมาตวัดฟันไปยังศีรษะของเสือร้าย เสือร้ายเห็นประกายดาบ ยิ่งเพิ่มความเกรี้ยวกราด ลำตัวขนาดใหญ่กลับเบี่ยงหลบอย่างคล่องแคล่ว อ้อมผ่านหวั่นซินพุ่งตัวตรงไปยังซูหลี
น้ำลายเหม็นๆ ของมันแทบจะหยดจากปากกว้างของมันลงบนใบหน้านาง ซูหลีขมวดคิ้ว รีบเบี่ยงกายหลบ และตั้งสติโดยเร็ว อยากเอื้อมมือหยิบดาบแต่กลับไม่ทันกาลแล้ว นางทำได้เพียงดึงปิ่นปักผมที่ไม่ได้แหลมคมบนเรือนผมแทงลงไปที่ลำคอเสือร้ายตัวนั้นแรงๆ
เสือร้ายได้รับบาดเจ็บ มันคำรามอย่างเดือดดดาลดังสนั่นลั่นฟ้า ทำเอาแก้วหูนางแทบฉีก ในปากของเสือร้าย ฟันแหลมคมสีขาวสี่ซี่ เหมือนต้องการฉีกร่างนางและกลืนลงท้องทั้งเป็น
ไม่มีเวลาให้แตกตื่น หรือหวาดกลัว ซูหลีย่อกายต่ำโดยสัญชาตญาณ ตีลังกาหลบหลีกการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตอย่างว่องไว
เสือร้ายตัวนั้นโจมตีพลาดเป้า มันหันหน้ามาอย่างเดือดดาล เริ่มจู่โจมรุนแรงขึ้น
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่มีเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว หรือเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างลนลาน เพราะต่อหน้าสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ การกระทำเหล่านั้นล้วนดูไร้ความหมาย นางไม่มีเวลาทำเรื่องเหล่านั้น
ซูหลีไม่เหลือสิ่งของใดที่สามารถนำมาเป็นอาวุธได้อีกแล้ว นางแทบจะมองเห็นกรงเล็บของเสือร้ายย่ำลงบนกายตนเองแล้ว ในเสี้ยววินาทีคับขันนั้น เงาร่างสูงใหญ่สองสายราวกับโบยบินลงมาจากฟากฟ้า ตวัดเท้าเตะไปที่ศีรษะของเสือร้ายอย่างแรง
‘กรร’ เสียงคำรามดังก้องฟ้า สัตว์ร้ายตัวใหญ่ถูกเตะล้มลงกับพื้น ตงฟางเจ๋อและตงฟางจั๋วเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาดึงซูหลีให้ลุกขึ้น และปกป้องนางไว้ด้านหลังทันที
ทั้งสองคน ท่าทางราวกับยังหวาดเสียวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย
มือทั้งสองข้างของนางถูกพวกเขากุมไว้แน่นคนละข้าง ตงฟางเจ๋อใบหน้าตึงเครียด ถามเสียงร้อนรน “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” น้ำเสียงที่ยามปกติมักทุ้มลึกมั่นคง ยามนี้กลับสั่นเทาเล็กน้อย ความตื่นตระหนกและความห่วงใยของเขาที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างไม่คิดปกปิด ทำให้ความหวาดกลัวในส่วนลึกของหัวใจนางสงบลงอย่างน่าประหลาด
ซูหลีส่ายหน้าเบาๆ สายตาที่ทอดมองเขาไม่ได้เย็นชาเช่นในยามปกติอีก
ตงฟางจั๋วคล้ายเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไร สายตาพลันเปลี่ยน รีบปล่อยมือนาง จ้องสัตว์ร้ายด้วยใบหน้าซีดเผือด
ทหารถือดาบล้อมเข้ามา เสือร้ายตัวนั้นพลิกกายลุกขึ้น หมุนกายเปลี่ยนทิศพุ่งตัวไปทางฮองเฮาที่มีทหารคุ้มกันอยู่ไม่มาก
ฮองเฮาไม่เคยพบเห็นสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้ นางตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ยามนี้ร่างกายสั่นเทา ครั้นเห็นสัตว์ร้ายวิ่งมาถึงตรงหน้าภายในพริบตา เหล่าทหารพุ่งตัวเข้าไปก็ถูกเหยียบตายอย่างรวดเร็ว เหล่านางกำนัลและขันทีต่างตกใจจนแทบจะหมดสติ ไม่เพียงไม่มีผู้ใดขัดขวาง กระทั่งวิ่งหนีคนละทิศคนละทางทิ้งนางไว้เพียงลำพัง ท่ามกลางความวุ่นวาย ฮองเฮาถูกผลักล้มลงกับพื้น กลิ้งตกบันไดหิน
ตงฟางจั๋วตะโกนอย่างตกใจ “เสด็จแม่!” รีบรุดกายเข้าไป ยังไม่ทันจะประคองฮองเฮาขึ้น เสือร้ายก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ตงฟางจั๋วไม่แม้แต่จะคิด ขับเคลื่อนกำลังภายในเต็มเปี่ยม แล้วตวัดฝ่ามือออกไป
‘บึ้ม’ เสียงดังสนั่นดั่งสายฟ้าฟาด สะท้านผืนฟ้าสะเทือนแผ่นดิน
จากนั้นทุกอย่างก็เงียบงันไร้สรรพเสียง
ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีผู้ใดเปล่งเสียง ทุกคนต่างยืนมองตงฟางจั๋วที่เย็นชาดั่งพญามัจจุราชอย่างอึ้งงัน ยามจิ้งอันอ๋องระเบิดพลัง พลังของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าเสือร้ายเสียอีก
…………………………………………………
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 221 ความคิดของตงฟางเจ๋อ (3)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment