เมฆครึ้มกลุ่มหนึ่งลอยไหวผ่านไปอย่างเชื่องช้า บดบังแสงสว่างที่มีเพียงน้อยนิดในยามค่ำคืน ตำหนักเย็นพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน
“เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี พระสนมอวิ๋นเฟยผู้ที่เคยงามล่มเมืองกลับเปลี่ยนไปจนมีสภาพเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” เสียงเย็นชาทุ้มต่ำของบุรุษคล้ายกำลังทอดถอนใจ เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันไม่ถือว่าดังมาก ทว่ากลับสะท้อนชัดเจนอยู่ข้างหูอวิ๋นฉี่หลัว การเคลื่อนไหวของนางพลันสะดุด สายตาที่หลุบต่ำแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังสุดขีด ตวัดมองสำรวจรอบห้องโดยไม่รู้ตัว
ได้ยินเพียงเสียง ไม่เห็นตัวตน
อวิ๋นฉี่หลัวสะดุ้งตกใจไม่น้อย “ผีงั้นหรือ!” นางกรีดร้องเสียงแหลม เพียงแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากผู้ใด น่องไก่ในมือที่ยังกินไม่หมดถูกนางขว้างทิ้ง ขดกายขึ้นไปบนเตียง หยิบผ้าห่มสำลีมาหุ้มกายไว้แน่น ตัวสั่นงันงก เผยให้เห็นเพียงดวงตาหวาดกลัวลนลานที่ยังคงกวาดมองทั่วห้อง
นอกประตูตำหนัก เงาร่างสีดำสองสายทิ้งตัวลงพื้นอย่างเงียบงัน ภายใต้แสงจันทร์สลัวเลือนราง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน รู้สึกเพียงว่าเงาตะคุ่มกลุ่มหนึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อวิ๋นฉี่หลัวทำหน้าหวาดกลัว อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอีกครั้ง แต่จู่ๆ กลับค้นพบว่าตนเองตกใจจนร้องไม่ออกเสียแล้ว
ผ้าคลุมหน้าสีดำถูกดึงลงต่ำ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางเจ๋อ สายตาคมปลาบของเขาตวัดมองไปที่อวิ๋นฉี่หลัว ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสียงเข้ม “พระสนมอวิ๋นเฟย ไม่ได้พบกันเสียนานเลย”
อวิ๋นฉี่หลัวอึ้งงัน คล้ายไม่อยากเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงสั่น “เจ้า…คือ…เหลียงจื่อโหรว? ไม่ ไม่สิ! นางเป็นสตรี แต่เจ้าไม่ใช่…เจ้าเป็นคนหรือผีกันแน่? ข้า ข้าไม่รู้จักเจ้า!”
ครั้นได้ยินนางขานชื่อเหลียงกุ้ยเฟยตรงๆ ตงฟางเจ๋อสายตาหมองลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าไปตรงหน้านางอย่างเงียบงัน ยืนมองนางจากที่สูง สายตาที่อวิ๋นฉี่หลัวมองตอบแฝงไว้ด้วยความว่างเปล่าและเฉื่อยชาหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างใจเย็น “คนในวังล้วนทราบดี พระสนมอวิ๋นเฟยมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ตลอดชีวิตสิ่งที่เกลียดที่สุดคือคนเสแสร้งหลอกลวง นึกไม่ถึงยามนี้สถานการณ์บังคับ พระสนมเองก็จำต้องแสร้งเป็นคนเสียสติ เพื่อลวงสายตาคนภายนอก”
สายตาเขาไหวสั่น ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรื่องที่พระสนมคุยกับชุนหรงเมื่อครู่ ข้าเห็นกับตาอย่างชัดเจน บ่าวเลวผู้นั้นอาศัยว่ามีคนคอยหนุนหลัง ถึงขั้นกล้าล่วงเกินพระสนม ไร้มารยาทเช่นนี้ คงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว พระสนมมีเรื่องอยุติธรรมใดในใจ เล่าให้ข้าฟังได้ทุกเรื่อง” เขาสังเกตอารมณ์ทางสีหน้าของอวิ๋นฉี่หลัว ไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ
ซูหลีลอบถอนใจ ครั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตายของเหลียงกุ้ยเฟย ตงฟางเจ๋อคล้ายจะร้อนใจกว่าปกติ ไม่เสียเวลาพูดมากเปิดโปงเรื่องที่นางแสร้งเสียสติทันที แต่ว่า อวิ๋นฉี่หลัวทนรับความอัปยศอดสู แกล้งบ้าแกล้งโง่มาได้ตั้งนาน นางย่อมต้องระวังตัวมาก ไม่มีทางยอมเปิดใจอย่างง่ายดายแน่นอน
เป็นอย่างที่นางคาดไว้ อวิ๋นฉี่หลัวยังคงมีสีหน้าเลื่อนลอยคล้ายไม่เข้าใจ เอาแต่จ้องพวกเขาสองคนอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่ได้ยินที่ตงฟางเจ๋อพูด ผ่านไปไม่นาน สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย อยู่ๆ ก็ขับขานทำนองเพลงเบาๆ เหมือนความคิดไม่ได้อยู่ที่นี่
“ทุกวาจาที่ข้าเอ่ยออกไป ท่านล้วนเข้าใจทั้งหมด อย่าได้ปิดบังอะไรต่อหน้าข้า หากไม่มั่นใจ วันนี้ข้าจะมาที่นี่ทำไม?” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว โน้มกายไปข้างหน้า กล่าวทีละคำๆ “ถุงผ้าต่วนที่ชุนหรงกล่าวถึงเมื่อครู่ คืออะไร?” สายตาของเขาเย็นชาเหมือนยามปกติ ทว่ากลับปกปิดความเจ็บปวดที่พรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของดวงตาไว้ไม่มิด ปริศนาที่เสด็จแม่ตายอย่างกะทันหัน เสมือนบาดแผลที่ยังไม่หายดีแม้ผ่านไปเป็นปีแล้ว ส่งผลให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ
นิ้วมือของอวิ๋นฉี่หลัวที่กำผ้าห่มสำลีกำแน่นขึ้นไปอีก ครั้นได้ยินปลายนิ้วก็สั่นเบาๆ จากนั้นก็กระชับผ้าห่มแน่นขึ้นอีก พร้อมกับฮัมเพลงด้วยท่าทางเลื่อนลอยต่อไป
ซูหลียืนอยู่ด้านหนึ่ง ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้น เพียงสังเกตสีหน้านางอย่างละเอียด ครั้นเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจก็พลันกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน นางดึงมือตงฟางเจ๋อเงียบๆ ส่งสัญญาณให้เขาว่าอย่าได้เร่งร้อนเช่นนี้ เขาอึ้งงันไปเล็กน้อย ไม่นานก็เข้าใจความหมายของนาง จึงกล่าวเสียงขรึม “ข้าเข้าใจ พระสนมคงไม่ไว้ใจในตัวข้าเพราะเรื่องของเสด็จแม่ข้า แต่วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน ยามนี้พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ทูลความจริงต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเถิด พระสนมเป็นคนฉลาด ด้วยสถานการณ์ของท่านในปัจจุบัน นอกจากข้า ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยให้ท่านพ้นจากความลำบากได้แน่นอน!”
“หื้ออ ฮืออ” อวิ๋นฉี่หลัวมองหลังคาที่เป็นรูรั่ว ยิ้มเหมือนไม่ได้ยินที่ตงฟางเจ๋อพูด
หัวใจซูหลีสั่นไหวอย่างที่ไม่อาจอธิบาย ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่าน ราวกับมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว นางครุ่นคิด แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งข้างเตียงอวิ๋นฉี่หลัว กล่าวพลางทอดถอนใจเสียงเบา “พระสนมคงยังไม่ทราบ รุ่ยฟางอดีตนางกำนัลคนสนิทของพระสนม…ถูกโบยจนตายไปเมื่อวานแล้ว”
ครั้นได้ยินชื่อรุ่ยฟาง สายตาของอวิ๋นฉี่หลัวชะงักไปเล็กน้อย ซูหลีค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ให้นางฟัง สุดท้ายก็กล่าวอีกว่า “วันนี้รุ่ยฟางต้องโทษประหาร เหตุผลพระสนมคงรู้ดี ถึงแม้ยามนี้นางยังกลัวเกรงพระสนมอยู่บ้าง ทว่าหากนางยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ทันทีที่ได้หลักฐาน หรือ…หากเวลานานไป นางหมดความอดทน นางอาจทำอะไรกับพระสนม วาจานี้ไม่ใช่คำขู่ให้กลัว พระสนมเคยใกล้ชิดกับนาง นางเป็นคนเช่นไร พระสนมกระจ่างแก่ใจ คนที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เกรงว่านางคง…ไม่เก็บไว้แม้แต่คนเดียว”
ซูหลีแย้มยิ้ม “พระสนมลำบากยากเข็ญมาตลอดหนึ่งปี ก็เพื่อรอคอยวันที่จะได้ลบล้างมลทิน และเดินออกจากตำหนักเย็นแห่งนี้อย่างผ่าเผย ได้เงยหน้ามองตะวันอีกครั้งมิใช่หรือเพคะ ยามนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดพระสนมยังต้องลังเลอีกเล่าเพคะ”
“หากครั้งนี้สามารถโจมตีนางให้ล้มในคราวเดียวได้ ข้ารับรอง พระสนมจะต้องกลับไปเป็นที่เคารพเช่นในวันวานแน่นอน” สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก รีบกล่าวสำทับ เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สิ่งที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว
ในดวงตาเลื่อนลอยของอวิ๋นฉี่หลัว พลันมีความเปลี่ยนแปลงไหวผ่านในที่สุด สายตาของนางคล้ายเป็นประกายขึ้นมาส่วนหนึ่ง แต่ไม่นานก็หมองลง เห็นได้ชัดว่ายังไม่แน่ใจ
“ขอเพียงพระสนมมีหลักฐานแน่นหนา ข้าไม่เพียงรับประกันชีวิตของพระสนมได้ หากภายหน้าข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ จะขอแต่งตั้งพระสนมให้เป็นไทเฮา!” เพื่อสืบหาความจริงเรื่องการตายของเหลียงกุ้ยเฟย ตงฟางเจ๋อไม่ลังเลที่จะใช้ตำแหน่งสูงสุดมาล่อลวง เห็นชัดว่าตัดสินใจแล้วว่าจะต้องได้มาในสิ่งที่ต้องการให้ได้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีใด ซูหลีอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด
อวิ๋นฉี่หลัวปากสั่น สายตาเป็นประกาย “เป็นที่เคารพดังเช่นวันวาน? ฐานะสูงส่ง? ชะตาชีวิตของเหลียงกุ้ยเฟยช่างดียิ่งนัก” นางเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงัด คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ
ตงฟางเจ๋อกับซูหลีอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร รอฟังความจริงจากปากนางอย่างเงียบงัน
“ปีนั้น แคว้นติ้งส่งผ้าต่วนหรูอี้มาหนึ่งม้วน เพราะปักลายนกเพลิงสีทอง มีความหมายเป็นมงคล ฮ่องเต้จึงประทานให้ฮองเฮา” ผ่านไปครู่หนึ่ง นางค่อยๆ เปิดปาก สายตาที่เดิมทีเหม่อลอย พลันมีความโกรธแค้นที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้พรั่งพรูออกมา! วันเวลาที่อยู่ในตำหนักเย็นได้ทรมานนางจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน มีเพียงดวงตาที่ฉายประกายรุ่มร้อนบีบคั้นผู้คน ที่ยังคงมีแววสดใสดังเช่นวันวานอยู่หลายส่วน
“ไม่กี่ปีก่อน เพราะข้าเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาเกินไป เอ่ยวาจากระทบกระเทียบเหลียงกุ้ยเฟย ทำให้ฮ่องเต้กริ้ว ข้าหงอยเหงาเศร้าสร้อยลงทุกวัน มีวันหนึ่ง ฮองเฮามาหาข้า บอกให้ข้าแสดงไมตรีจิตต่อเหลียงกุ้ยเฟย แล้วฉวยโอกาสนั้นใกล้ชิดฝ่าบาท นางจะเป็นคนกลางประสานรอยร้าว ช่วยให้ข้าคืนสู่ตำแหน่งเฟยอีกครั้ง! ยามนั้น ข้ารู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ เพราะในวังมีคนที่แล่นเรือไปตามทิศทางลมมากกว่าผู้ที่ส่งถ่านกลางหิมะ[1]เสมอมา”
…………………………………………………
[1] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง ช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกอยู่ในความลำบากอย่างทันท่วงที