ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น “ท่านต้องการหลักฐาน? ไม่ใช่เรื่องยาก!”
อวิ๋นฉี่หลัวได้ยินเช่นนั้น ก็พลันฮึกเหิม ตะโกนเสียงดัง “ใช่แล้ว หลักฐาน ข้ามีหลักฐาน!” นางรีบวิ่งไปตรงหน้าฮ่องเต้ ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สายตาแน่วแน่ สองมือสั่นเทาไม่หยุด ท่าทางระมัดระวังสุดแสน ราวกับกำลังประคองสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตตนเองไว้
สายตาของทุกคนจ้องเขม็งไปยังของที่อยู่ในมืออวิ๋นฉี่หลัว
ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ ซูหลีก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมา ความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ถูก พลันบังเกิดขึ้นในใจ นางหันไปมองตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องอึ้งงันไปเล็กน้อย
มีเพียงเขาที่ไม่มองหลักฐานในมืออวิ๋นฉี่หลัว กลับเอาแต่จ้องฮองเฮาไม่ละสายตา
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงขรึม “ถุงหอมนี้มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
คล้ายไม่เข้าใจคำพูดของฮ่องเต้ อวิ๋นฉี่หลัวอึ้งงัน กะพริบตาปริบๆ ย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ “ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือเพคะ? นี่คือผ้าต่วนหรูอี้ที่แคว้นติ้งส่งมาให้อย่างไรเล่าเพคะ! พระองค์ทรงมอบมันให้แก่นางแพศยาผู้นี้ แล้วนางก็วางยาพิษลงในนั้น! มอบมันให้เหลียงกุ้ยเฟย นี่ก็คือหลักฐานมัดตัวนางอย่างไรเล่าเพคะ!”
ได้ยินนางเรียกตนเองว่านางแพศยาต่อหน้าผู้อื่น ฮองเฮาหน้าซีด รีบกล่าวขึ้นทันที “ผ้าต่วนหรูอี้มีเพียงหนึ่งเดียว ข้าพกติดตัวเสมอไม่เคยห่างกาย แล้วจะไปอยู่ในมือเจ้าได้เช่นไร!” พูดไป นางก็แกะถุงหอมถุงหนึ่งออกจากเอวตนเอง
ถุงหอมสองใบ ครั้นมองก็เห็นถึงความแตกต่างทันที ถุงหอมที่อยู่ในมือฮองเฮามันวาวสวยงาม ฝีมือประณีตยิ่ง ดูแวบเดียวก็รู้ว่ามิใช่สิ่งของที่หาได้ง่ายๆ แต่ถุงหอมที่อยู่ในมืออวิ๋นฉี่หลัวเป็นผ้าต่วนสีม่วงอ่อน คุณภาพธรรมดา ฝีมือการเย็บปักหาได้ทั่วไป อย่าว่าแต่ผ้าต่วนหรูอี้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวใต้ฟ้า แม้แต่ถุงหอมของพระสนมขั้นผินสักคนหนึ่งในวังหลวง ยังงามกว่าถุงหอมของนางร้อยเท่า!
สีหน้าฮ่องเต้บึ้งตึงกว่าปกติในพริบตา ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยหันไปกล่าวกับอวิ๋นฉี่หลัวเสียงเบา “เจ้าคิดว่าข้าเลอะเลือนเช่นนั้นหรือ?”
วาจานี้กล่าวอย่างนุ่มนวล ทว่ากลับเหมือนเสียงอัสนีบาตที่ดังเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้า พาให้สติของซูหลีและตงฟางเจ๋อที่ตึงเหมือนเส้นดายถูกขึงขาดผึงทันใด!
ซูหลีจดจ้อง แล้วก็พลันสะท้านไปทั้งใจ ถุงหอมนั่นต้องไม่ใช่ผ้าต่วนหรูอี้ที่อวิ๋นฉี่หลัวพูดถึงแน่นอน!
“ฝ่าบาท!” อวิ๋นฉี่หลัวเบิกตากว้าง จ้องมองฮ่องเต้ไม่วางตา คล้ายในสายตามีเพียงฮ่องเต้เท่านั้น มองไม่เห็นผู้ใดอีก นางร่ำร้องไม่หยุด “ฝ่าบาท พระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ นี่ก็คือถุงหอมผ้าต่วนหรูอี้อย่างไรเล่าเพคะ หม่อมฉันทำให้เหลียงกุ้ยเฟยเองกับมือ! พระองค์ยังชมว่าหม่อมฉันฝีมือประณีต ไร้ผู้ใดเทียม พระองค์ทอดพระเนตรดูดีๆ สิเพคะ!” นางชูถุงหอมเก่าๆ ไว้ในมือ ร่างกายเอนไปด้านหน้า ทิ้งตัวลงบนโต๊ะทรงอักษรจนเกือบจะพุ่งชนใบหน้าฮ่องเต้!
ฮ่องเต้เอนกายไปด้านหลัง ไอพิฆาตแผ่กำจาย ตวัดฝ่ามือใหญ่ใส่ใบหน้าอวิ๋นฉี่หลัว! ถุงหอมพลันปลิวออกไป กลายเป็นเงาสีม่วงวาดผ่านกลางอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงใกล้เท้าตงฟางเจ๋อพอดี
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสบตากันโดยไม่รู้ตัว มองเห็นสายตาสงสัยในดวงตาของอีกฝ่าย เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? อวิ๋นฉี่หลัวทนรับความอัปยศเพื่อรอพิสูจน์ความจริง ทว่าสิ่งที่นางทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้อง กลับเป็นหลักฐานปลอมเช่นนั้นหรือ?
ฟังจากที่อวิ๋นฉี่หลัวเล่า ถุงหอมนี่ควรมีกลิ่นของน้ำค้างแข็ง แต่นอกจากกลิ่นหอมจางๆ ของกลีบดอกไม้ ซูหลีกลับไม่ได้กลิ่นของน้ำค้างแข็งจากถุงหอมเลยแม้แต่น้อย! และอาการของอวิ๋นฉี่หลัวในตอนนี้ ก็ต่างจากยามที่ยังมีสติแจ่มชัดก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
หลักฐานเป็นของปลอมอย่างไม่ต้องสงสัย อารมณ์ของพยานก็อยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งอย่างชัดเจน วาจาที่กล่าวออกไปยังจะมีผู้ใดเชื่ออีก? การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ทำให้เรื่องที่เดิมทีแน่นอนถึงแปดเก้าส่วน กลับตาลปัตรไปในพริบตา
ซูหลีหน้าซีดเล็กน้อย รีบใช้ความคิดอย่างเร่งด่วน เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ไหลผ่านสมองนางอย่างรวดเร็ว ยิ่งคิดนางก็ยิ่งตกใจ นับตั้งแต่ที่รุ่ยฟางถูกโบยจนตายที่ตำหนักฉางชุน พวกเขาก็เดินเข้าไปอยู่ในแผนการของฮองเฮาแล้ว! ทุกย่างก้าวของพวกเขา ล้วนอยู่ในแผนการที่นางวางขึ้นอย่างแนบเนียน!
ถึงแม้คาดเดาได้ว่าการแต่งงานเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างจวนอัครเสนาบดีกับเจิ้นหนิงอ๋อง ฮองเฮาจะต้องไม่ยอมรามือเพียงเท่านี้แน่นอน แต่ในเวลาอันสั้นเท่านี้ นางกลับสามารถใช้ความรู้สึกที่ตงฟางเจ๋อมีต่อเหลียงกุ้ยเฟยสร้างสถานการณ์ลวงขึ้นมาได้ การโต้กลับของนาง ทั้งรุนแรงและหนักหนาดังคาด!
ตงฟางเจ๋อจ้องฮองเฮาที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่ละสายตา สีหน้าบึ้งตึงสุดขีด เขาจะต้องคาดเดาได้แล้วเช่นกันแน่นอน!
อวิ๋นฉี่หลัวยังคงร้องไห้โวยวายอย่างต่อเนื่อง
“ทหาร” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเข้ม “นำตัวหญิงบ้านางนี้กลับไปขังในตำหนักเย็น อย่าให้ข้าเห็นหน้านางอีกตลอดกาล!”
ครั้นได้ยินคำว่าตำหนักเย็น อวิ๋นฉี่หลัวโวยวายเสียงแหลม “ไม่! ข้าไม่กลับไป!” สีหน้านางบิดเบี้ยว จู่ๆ ก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ หันไปกระโจนใส่ฮองเฮา บีบคอนางอย่างแรง และหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าทำให้ข้าต้องไปอยู่ที่ตำหนักเย็น! ข้าจะฆ่าเจ้า! แม้ข้าตายไปเป็นผีก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!”
ฮองเฮาไม่ทันตั้งตัว ถูกนางกระโจนใส่จนล้มลงไป ดิ้นขัดขืนอยู่ไม่กี่ที จะร้องก็ร้องไม่ออก
ตงฟางจั๋วหน้าเปลี่ยนสี รีบปรี่เข้าไปพร้อมกับทหารสองนาย พยายามดึงนางออก แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อคนบ้าคลุ้มคลั่งเรี่ยวแรงช่างมหาศาลยิ่งนัก!
ครั้นเห็นฮองเฮาถูกนางบีบคอจนหน้าม่วง สองตาเหลือกขาว ฮ่องเต้กล่าวเสียงเกรี้ยว “เจ้าพวกไร้ค่า! ยังไม่รีบเอาตัวนางออกไปอีก!”
ตงฟางจั๋วเพลิงโทสะลุกท่วมใจ คว้าหมับที่แขนอวิ๋นฉี่หลัว แล้วพลันออกแรง เสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้นทันที กระดูกข้อมือของอวิ๋นฉี่หลัวถูกหักทั้งเป็น! นางโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ตงฟางจั๋วยกเท้าถีบนางกระเด็น ฮองเฮาอ่อนแรง ล้มอยู่ในอ้อมแขนเขา
ทหารสองนายรีบลากอวิ๋นฉี่หลัวที่เจ็บจนเจียนเป็นลมออกไปทันที
“เสด็จแม่! เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ!” ตงฟางจั๋วขานเรียกอย่างร้อนใจ พลางยกมือลูบแผ่นหลังนาง “ทหาร เรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
ผ่านไปครู่หนึ่งฮองเฮาจึงค่อยหายใจเป็นปกติ กล่าวตอบเสียงอ่อนแรง “ไม่เป็นไร”
เพลิงโทสะจู่โจมหัวใจ ตงฟางจั๋วเงยหน้าตวาดเสียงเกรี้ยว “ตงฟางเจ๋อ นี่หรือหลักฐานของเจ้า?!”
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อไร้อารมณ์ เรื่องราวกลับตาลปัตรในพริบตา คล้ายเหนือความคาดหมายของเขา การอาละวาดในตอนท้ายของอวิ๋นฉี่หลัว ยิ่งเหมือนผลักเขาเข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เดิมทีหมายจะเปิดโปงความจริง กลับกลายเป็นติดกับดัก ยามนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ล้วนผิดทั้งนั้น
ยามนี้ ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นชา “เจิ้นหนิงอ๋อง เหมือนว่าเจ้าต้องให้คำอธิบายแก่ข้า!”
ตงฟางเจ๋อเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ลูกไม่รอบคอบ…” ยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ถูกตงฟางจั๋วชิงตัดบท
“แค่บอกว่าไม่รอบคอบ เจ้าคิดว่าจะพ้นผิดเช่นนั้นหรือ?”
ตงฟางจั๋วที่ประคองฮองเฮาไปนั่งเก้าอี้อย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้วกล่าวอย่างโมโห “แล้วเจ้าก็จะบอกว่าตนเองถูกปรักปรำใช่หรือไม่? ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ตลอดมาน้องหกมีความคิดรอบรอบ ฉลาดปราดเปรื่อง กลับถูกคนเล่นงานได้ง่ายๆ เช่นนี้?” สายตาของเขาเย็นชา กล่าวเสียงแช่มช้าอีกว่า “ข้าว่าเจ้า มีเจตนาร้ายมากกว่า!”
สายตาของสองพี่น้อง คนหนึ่งโกรธกรุ่นลุกเป็นไฟ คนหนึ่งเย็นเยียบลึกล้ำดั่งสายน้ำ แล่นปะทะกันกลางอากาศ
ฮองเฮาหายใจลึกๆ หลายครั้ง คล้ายเพิ่งได้สติ นางเอ่ยอย่างปวดใจ “เจ๋อเอ๋อร์ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นลูกแท้ๆ ไม่ต่างจากจั๋วเอ๋อร์ ไม่เคยลำเอียงแม้แต่น้อย พฤติกรรมของเจ้าในวันนี้ ช่างทำให้เสด็จแม่ปวดใจยิ่งนัก ที่แท้เจ้าก็สงสัยเสด็จแม่อย่างนี้มาโดยตลอด…” นางยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็พลันสะอื้นขึ้นมา ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเป็นพิเศษ
………………………………………………..
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 232 ถูกกักบริเวณ! (6)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment