ซูหลีทอดถอนใจ “อวี้หลิงหลงกลับเป็นคนติดต่อให้ฮองเฮา นึกไม่ถึงจริงๆ ถ้าหากนางทุ่มทรัพย์เพื่อซื้อตัวนักฆ่าในเฉินเหมินมาสังหารท่าน เช่นนั้นในสมุดลับของเจ้าสำนักจะต้องมีเขียนไว้แน่ สมุดลับเล่มนั้นหยางเซียวมอบให้หม่อมฉันแล้ว แต่หม่อมฉันอ่านไม่ออก ฉะนั้นจึงได้เชิญองค์หญิงมาเพคะ”
ตงฟางเจ๋อยังคงไม่กล่าวคำใด สีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่ากลับไม่มีแววประหลาดใจแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าเขาคาดเดาได้แต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่มีหลักฐานเท่านั้น
หยางเสวียนยิ้มพลางกล่าวว่า “เจิ้นหนิงอ๋อง เช่นนั้นก็แสดงว่า ท่านจะไขคดีเก่านี้ได้หรือไม่นั้นก็จำต้องพึ่งพาหม่อมฉันน่ะสิ!” รอยยิ้มของนางมีแววซุกซนปะปนอยู่สองส่วน แววหยั่งเชิงสองส่วน แล้วยังมีแวววางแผนอีกสองส่วน
ซูหลีไม่พอใจนัก พลันกล่าวเสียงเย็นชา “หม่อมฉันเชิญองค์หญิงมาช่วย ย่อมต้องตอบแทนน้ำใจองค์หญิงแน่นอน หวังว่าองค์หญิงจะทรงยินดีให้คำชี้แนะ”
หยางเสวียนยกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ “พวกท่านสองคนช่างน่าสนใจยิ่งนัก เรื่องเล็กเพียงเท่านี้ ยังจะปกป้องซึ่งกันและกันอีก ช่างเถิด ข้าแค่ล้อพวกท่านเล่น สมุดลับอยู่ที่ใด ข้าจะช่วยท่านแปลเอง”
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ รีบเรียกหวั่นซินเข้ามา แล้วยื่นสมุดลับของเฉินเหมินให้นาง
หยางเสวียนรับมาอ่านดูอย่างละเอียด ก่อนที่มุมปากของนางจะกระดกขึ้น และเอ่ยเสียงเย็นชา “เป็นอักษรลับประจำราชวงศ์เปี้ยนของพวกข้าดังคาด ข้าละสงสัยนัก เจ้าสำนักเฉินเหมินผู้นี้เป็นใครกันแน่? ท่านหญิงหมิงซีทราบหรือไม่?”
ซูหลียิ้มบางกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่เคยพบเขา จะทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ!”
หยางเสวียนมองนาง ดวงตาเปล่งประกายมีแววคมปลาบพาดผ่าน รอยยิ้มของนางแฝงความหมายราวกับรู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี “พี่สี่บอกว่า สมุดลับเล่มนี้มีอักษรลับถูกบันทึกไว้เยอะมาก แสดงว่าสำนักเฉินเหมินนี้จะต้องฆ่าคนมาแล้วไม่น้อยแน่นอน หากต้องการตรวจดูทีละรายการว่ารายการใดเป็นของเจิ้นหนิงอ๋อง เกรงว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย”
ซูหลีมองนางแล้วยิ้ม “องค์หญิงเจาหวาทรงฉลาดหลักแหลม จะต้องหาเจอแน่นอนเพคะ”
หยางเสวียนมองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้งเนิ่นนาน จากนั้นก็หันไปมองตงฟางเจ๋อที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นางเพียงแย้มยิ้มไม่เอ่ยคำใดอีก หมุนกายเพ่งสมาธิแปลอักษรลับอย่างใจจดใจจ่อ ดูเหมือนว่าระดับความยากของอักษรลับนี้จะสูงกว่าที่หยางเซียวเคยแปลที่โรงเตี๊ยมเทียนเหมินมาก กระทั่งม่านราตรีแผ่ปกคลุมท้องฟ้า หวั่นซินและโม่เซียงจุดไฟด้านนอกห้องหมดแล้ว นางก็ยังหาคำว่า ‘ตงฟางเจ๋อ’ ไม่เจอ
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน แสงไฟไหววูบวาบ เงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อที่ยืนสง่าอยู่ใต้ชายคาหน้าห้องกลับให้ความรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก ซูหลีรู้สึกเจ็บแปลบในใจ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหา แล้วกล่าวเสียงเบา “หากท่านอ๋องมีธุระต้องทำ เชิญเสด็จกลับก่อนได้นะเพคะ องค์หญิงได้เรื่องเมื่อใด หม่อมฉันจะให้หวั่นซินส่งข่าวไปบอกที่จวนอ๋องด้วยตนเอง”
“ไม่ละ” ในที่สุดเขาก็พูดแล้ว เงียบงันมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขาขบคิดเรื่องราวในใจจนแม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ออก
ซูหลีเดินเข้าไปกุมมือเขา ฝ่ามืออุ่นๆ ยามนี้กลับเริ่มเย็นเล็กน้อยแล้ว
ตงฟางเจ๋อหันมามองนาง “ซูซู ใต้หล้านี้ ที่แท้คนเราต้องโดดเดี่ยวไปตลอดกาล แม้จะเป็นญาติมิตร ก็ยังบาดหมางกันได้”
ซูหลีอึ้งงัน เมื่อนึกถึงอวี้หลิงหลง หัวใจก็พลันเจ็บปวด
“แม้คนทั้งโลกจะหันหลังให้ข้า ข้าก็ไม่เจ็บปวด มีเพียงเจ้า…” นิ้วมือเรียวยาวและเย็นเฉียบของเขาลูบไล้คิ้วและดวงตางามของนาง ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มแฝงไว้ด้วยความคาดหวังที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ “เจ้าจะหันหลังให้ข้าไม่ได้”
ซูหลีนิ่งอึ้ง เงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง เขา…กำลังบอกให้นางสัญญากับเขางั้นหรือ?
“พูดสิ ว่าเจ้าจะไม่ไปจากข้า” เขาก้มหน้า ภายในนัยน์ตาอ่อนโยนแฝงแววเสน่หาซ่อนความเจ็บปวดที่นางไม่คุ้นเคยเอาไว้ พาให้นางปวดใจ เขาที่เข้มแข็งและสงบนิ่งไม่เคยเปลี่ยน เคยทำสีหน้าอย่างนี้เมื่อใดกัน?
“ซูซู…” เขาขานเรียกนางเสียงเบา ดึงนางเข้ามากอด แล้วเอ่ยขึ้นคล้ายกำลังกล่อมนาง “เจ้าไม่มีวันจากข้าไปไหน”
ซูหลีพลันรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่อาจกล่าวคำพูดเพียงไม่กี่คำเหล่านั้นออกมาได้ ขณะกำลังสับสนลังเล พลันนั้น เสียงร้องอย่างดีใจของหยางเสวียนก็ดังขึ้น “ข้าหาเจอแล้ว!”
ทั้งสองราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบสาวเท้ายาวๆ เดินไปที่โต๊ะ
สายตาไม่มั่นใจของหยางเสวียน บ่งบอกถึงความตกตะลึงในใจ “ผู้นำของสำนักนี้เป็นคนรอบคอบมากดังคาด ชื่อของเจิ้นหนิงอ๋องถูกเข้ารหัสลับไว้ถึงสามชั้น มิน่าเล่าข้าถึงต้องหาอยู่ตั้งนาน”
“เป็นผู้ใดเพคะ?” ซูหลีมิอาจควบคุมความกังวลในใจ
“อวี้หลิงหลง” สายตาของหยางเสวียนเป็นประกายไหวระริก “ชื่อของผู้จ้างวานเขียนไว้อย่างชัดเจน ว่าอวี้หลิงหลงเป็นผู้ติดต่อ!”
เป็นนางจริงๆ! คำตอบที่อยู่บนสมุดลับเฉินเหมินเป็นชื่อของอวี้หลิงหลงดังคาด กอปรกับจดหมายที่อวี้หลิงหลงเขียนทิ้งไว้ด้วยตนเอง ครั้งนี้ฮองเฮาดิ้นไม่หลุดแน่นอน
ซูหลีสูดหายใจอย่างตกตะลึง หันไปมองตงฟางเจ๋อโดยสัญชาตญาณ
ใบหน้าเขาไร้อารมณ์ คล้ายเดาได้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขารีบออกคำสั่งเสียงขรึม “เซิ่งฉิน รีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในวังกัน กู้หยวนถง ครั้งนี้ข้าจะทำให้หัวของเจ้าหลุดออกจากบ่าให้ได้!”
ในค่ำคืนอันมืดมิด น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งที่หนาสามนิ้ว เย็นชาและดุดันสุดแสน ซูหลีราวกับมองเห็นการสังหารอันนองเลือดที่กำลังจะมาถึง
วันต่อมาฮ่องเต้มีราชโองการ หนึ่งปีก่อนกู้หยวนถงอดีตฮองเฮา ได้ว่าจ้างนักฆ่าจากสำนักเฉินเหมินผ่านอวี้หลิงหลง พระชายารองในเซ่อเจิ้งอ๋องให้ไปสังหารเจิ้นหนิงอ๋องตงฟางเจ๋อนับครั้งไม่ถ้วน หลักฐานและพยานมัดตัวแน่นหนา กู้หยวนถงและโอรสของนางจิ้งอันอ๋องตงฟางจั๋วพยายามถวายฎีกาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทว่าทั้งหลักฐานและพยานล้วนชัดเจน ฮ่องเต้จึงไม่หวั่นไหว ยังคงสั่งให้กรมอาญาลงโทษตามกฎหมายของแคว้นเฉิงต่อไป สุดท้ายตัดสินให้กู้หยวนถงถูกตัดหัวต่อหน้าสาธารณชนในสามวันให้หลัง โดยให้เจิ้นหนิงอ๋องเป็นผู้บั่นคอนางด้วยตนเอง
อากาศในเดือนสิบสอง สายลมหนาวโชยผ่าน ครั้นกระทบถูกผิวก็ให้รู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด ฤดูหนาวของปีนี้คล้ายหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า
พื้นศิลาอันเย็นเฉียบหน้าห้องหนังสือส่วนพระองค์เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง ไอเย็นที่หนาวจนเสียดแทงไปถึงกระดูกแผ่กำจายอยู่รอบกาย
นี่เป็นครั้งที่สองที่ตงฟางจั๋วนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เงาร่างของเขาเหยียดตรง ราวกับถูกอากาศอันหนาวยะเยือกแช่แข็งจนกลายเป็นเสาน้ำแข็งไปแล้ว
เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ปล่อยให้น้ำค้างเกาะเต็มใบหน้าและศีรษะ เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว ทว่ากลับยังคงพยายามจนถึงวินาทีสุดท้าย หวังว่าลึกๆ ในใจของบิดาเขาจะยังกรุณาเขาอยู่บ้างสักส่วน ทว่ายามนี้เวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ยามซื่อ[1]แล้ว เหลือเพียงอีกหนึ่งชั่วยามสุดท้าย มารดาของเขาก็จะถูกตัดหัวแล้ว
ประตูห้องหนังสือส่วนพระองค์ยังคงปิดสนิท บิดาที่เขาเคยเคารพและปรารถนาจะได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ไม่เคยออกมาดูดำดูดีเขาเลยสักครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ ทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่สองด้านผลัดเปลี่ยนเวรยามกันไปหลายรอบ พวกเขาต่างมองเขาด้วยสายตาเย็นชา วังหลวงอันโหดร้ายแห่งนี้ หากไม่มีมารดาของเขา ก็ไม่เหลือความรักและความอบอุ่นอีกแล้ว
ตงฟางจั๋วพลันหยัดกายยืนขึ้น ทว่าร่างกายที่ถูกแช่แข็งจนเป็นเหน็บชาคล้ายไม่ค่อยฟังคำสั่ง เขาเซจนเกือบล้มลง จ้าวสวินองครักษ์ประจำกายที่อยู่ข้างหลังรีบเข้ามาประคองเขา แต่กลับถูกเขาสะบัดออกอย่างแรง
เขากำหมัดแน่นจนข้อต่อนิ้วมือส่งเสียงดังกรอบแกรบ สุดท้ายก็มองประตูห้องหนังสือส่วนพระองค์อย่างเย็นชา ใบหน้าไร้อารมณ์ สะบัดแขนเสื้อก่อนจะหมุนกายเดินจากไป ในเมื่อขอร้องไม่ได้ผล เช่นนั้นก็เหลือเพียงทางเลือกสุดท้ายแล้ว
“จ้าวสวิน เตรียมการพร้อมแล้วหรือยัง?” หลังเดินออกจากวังหลวง เขาจึงค่อยชะงักเท้า แล้วถามขึ้น
จ้าวสวินรีบตอบ “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง เรียกรวมพลเหล่าคนสนิทที่มีฝีมือ แล้วสั่งให้พวกเขาไปซุ่มอยู่บริเวณลานประหาร รอคำสั่งจากท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หากมิใช่เวลากระชั้นชิด เขาคงไม่ถูกบีบให้จนตรอกเช่นนี้! ตงฟางจั๋วขบกรามอย่างเคียดแค้นพลางกระโดดขึ้นม้า ขณะกำลังจะตะบึงม้าออกไป กลับได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง “ท่านอ๋องจะเสด็จไปที่ลานประหารหรือเพคะ?”
เสียงเย็นชาและกังวานใสพลันดังขึ้น ราวกับเสียงหยกตกกระแทกผิวน้ำแข็ง ชวนให้สะดุ้งตกใจ
…………………………………………
[1] ยามซื่อ ช่วงเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมง