กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 274 ใครเจ็บปวดกว่าใคร? (3)

สังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของนาง ตงฟางจั๋วยิ้มแล้วกล่าวว่า “เขาไม่ได้ชักจูงง่ายขนาดนั้น แต่คนของข้าค้นพบความลับของเขาเข้าโดยบังเอิญ”
ซูหลีอึ้งงัน รีบถาม “เขาจะมีความลับอะไรได้?”
ตงฟางจั๋วอ้าปาก ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เรื่องราวใหญ่โต พูดแล้วยาว อีกหน่อยข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง”
ซูหลีตึงเครียด ดูเหมือนเขาจะยังไม่เชื่อในตัวนางอย่างสนิทใจ นางจึงปิดปากไม่พูดอะไร เพียงนั่งใช้ความคิดเงียบๆ ครั้งนี้ เห็นชัดว่าเขาไม่ได้กระทำไปเพราะความวู่วาม แต่เตรียมการมาอย่างดีทุกด้านแล้ว สำหรับเขา การขึ้นครองราชย์ครั้งนี้ มีความเป็นไปได้ถึงเก้าในสิบ
“ท่านอ๋อง ด้านหน้าล้วนเตรียมการไว้หมดแล้ว เชิญท่านอ๋องเสด็จไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ” เกาจื๋อพาขันทีน้อยสองคนเข้ามาในห้อง สองคนนั้นถือกล่องผ้าต่วนไว้ในมือ ฝากล่องเปิดออก อาภรณ์มังกรสีเหลืองทองใหม่เอี่ยม รวมถึงมงกุฎฮ่องเต้อันล้ำค่า แสงสีทองส่องระยิบระยับจับตาเหลือเกิน
ซูหลีนัยน์ตาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แม้แต่สิ่งนี้เขาก็เตรียมไว้แล้ว!
ตงฟางจั๋วรีบลุกขึ้นกางแขนออก เกาจื๋อสวมอาภรณ์มังกรและมงกุฎให้เขา เดิมเขาก็มีรูปร่างสูงใหญ่สมส่วนอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อสวมใส่อาภรณ์ของฮ่องเต้ ราศีน่าเกรงขามพลันแผ่กำจาย ถึงขั้นทำให้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ
“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” หลังจากทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ เขาก็จากไปพร้อมกับเกาจื๋อ เพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักด้านหน้า แต่ขันทีน้อยสองคนที่เกาจื๋อพามากลับรั้งอยู่ที่นี่ต่อ พวกเขายืนเฝ้าอยู่สองฝั่งด้านนอกของฉากกั้นลม สายตาหลุบต่ำจ้องมองหลังเท้าของตนเอง แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังเพ่งความสนใจมาที่ซูหลีกับหวั่นซิน
ในตำหนักด้านหน้าบรรยากาศกดดันและตึงเครียด ตงฟางเจ๋อยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น สายตาจดจ้องสิ่งที่อยู่ในมือ นั่นเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้หญิงที่เขาใช้เวลาและความตั้งใจมากกว่าจะแกะสลักออกมาได้ จำได้ว่าคืนนั้นยามมอบมันให้กับนาง นางชอบมาก ความดีใจนั้นเรียบง่ายเป็นธรรมชาติและจริงใจ ตอนนี้ นางกลับรีบร้อนคืนให้เขา สัญญาสองปีถูกยกเลิกกลางคัน…หรือว่า…
เขายกมือขึ้นเล็กน้อย เครื่องหน้าทั้งห้าอันงดงามของสตรีอยู่ตรงหน้า สีหน้าเด็ดขาดปรากฏเด่นชัดในสมอง เหตุใดพระบรมราชโองการทั้งสองฉบับจึงต้องให้นางเป็นผู้ประกาศ? เดาว่าคงเป็นเพราะต้องการบั่นทอนความรู้สึกของเขากระมัง!
ตอนนั้นเอง ผงสีขาวที่ปลายนิ้วพลันปรากฏในครรลองสายตา เขาอึ้งไปเล็กน้อย รีบพลิกตุ๊กตาไม้ในมืออย่างรวดเร็ว ด้านหลังตุ๊กตาไม้สีเข้ม ไม่รู้เหตุใดจึงมีผงสีขาวติดอยู่ เขารีบยกขึ้นมาดูอย่างละเอียด แล้วยกขึ้นดมเบาๆ หัวใจพลันสะท้าน
ยาแก้พิษสลายวิญญาณ?! หรือว่า…
หัวใจที่บีบรัดพลันผ่อนคลาย ความปีติยินดีพรั่งพรูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลีบปากของเขา พลันเผยรอยยิ้ม ที่แท้ เขาไม่ได้มองนางผิดไป นางก็ไม่ได้เข้าใจเขาผิดเช่นกัน! วินาทีนี้เขาอยากหัวเราะออกมาดังๆ ทว่าครั้นมองเห็นคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก ก็จำต้องข่มกลั้นความยินดีเอาไว้ก่อน
“ท่านอ๋อง!” เซิ่งฉินสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก โน้มกายกระซิบข้างหู “คนที่ท่านอ๋องรับสั่งให้ตามหา กระหม่อมตามพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นดังที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ไม่ผิด”
สีหน้าตงฟางเจ๋อพลันเย็นชา เก็บตุ๊กตาไม้ในอกเสื้อ แล้วจึงค่อยถามเสียงเบา “ยามนี้คนอยู่ที่ใด? เป็นหรือตาย?”
เซิ่งฉินรีบกล่าว “โชคดีที่เซิ่งเซียวไปทันเวลา เขาไม่ได้เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี” ตงฟางเจ๋อทอดมองไปนอกตำหนัก ดวงตาคมเข้มหรี่เล็ก “อีกเดี๋ยวพาตัวมา ระวังอย่าให้ถูกเห็นเข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักข้างมีผู้ใดเฝ้าอยู่?”
“คนของรองหัวหน้าองครักษ์ฝ่ายขวาหยวนเซี่ยงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเบาๆ สีหน้ายากคาดเดา โบกมือเบาๆ เซิ่งฉินรีบเดินออกจากตำหนักใหญ่ ทุกคนเห็นเพียงเหลียงสือชูเดินเข้ามาขานเรียก “ท่านอ๋อง”
ตงฟางเจ๋อรู้ว่าเขาจะพูดอะไร จึงยกมือปราม หมุนกายเดินไปทางหลีเฟิ่งเซียนที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา
หลีเฟิ่งเซียนนึกว่าเขาต้องการถามเรื่องในห้องบรรทมฮ่องเต้ จึงก้มหน้า แสดงท่าทีไม่อยากสนทนาด้วย แต่ตงฟางเจ๋อกลับแย้มยิ้มแล้วถามว่า “วันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องสีหน้าไม่ดี ใช่ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่?”
หลีเฟิ่งเซียนเงยหน้ามองเขา แววตาสงสัยปรากฏ เขาอยู่ในตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋อง ฝ่าฟันอยู่ในวังวนสนามรบและราชสำนักมานานหลายปี เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการสังหารนองเลือดมาก็มาก มีน้อยคนมากที่จะสามารถปั้นหน้าเฉยชาแม้ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้าได้อย่างแท้จริง! แต่ท่านอ๋องที่ยังเยาว์วัยตรงหน้าเขาผู้นี้มีความเยือกเย็นและสุขุมเหนือคนทั่วไปมากจริงๆ ถึงแม้บัลลังก์หลุดมือ ถูกว่าที่พระชายาหักหลัง ในเวลาอย่างนี้เขากลับยังยิ้มออก!
“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณเจิ้นหนิงอ๋องที่เป็นห่วง” หลีเฟิ่งเซียนประสานมือคารวะผ่านๆ ยิ้มบางตอบหนึ่งประโยค สีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ตงฟางเจ๋อไม่ถือสา ยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็วางใจ”
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวอย่างแปลกใจ “เจิ้นหนิงอ๋องมีเรื่องใดให้ไม่วางใจ? แทนที่จะเป็นห่วงข้า มิสู้เป็นห่วงตนเองก่อน”
ตงฟางเจ๋อกลับมองเขา พลันแย้มยิ้ม กล่าวเสียงเบา “ข้าไม่ได้ก่อกบฏ ไม่ได้วางแผนช่วงชิงอำนาจ มีเรื่องใดให้ต้องเป็นห่วง?”
หลีเฟิ่งเซียนสะท้านใจเล็กน้อย วางแผนช่วงชิงอำนาจหรือ…
“กลับเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องมากกว่า นำทัพปราบปรามข้าศึก ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามเลื่องลือไปทั่วฟ้า แล้วยังเคยสำเร็จราชการแทนเสด็จพ่อหลายปี ส่งเสริมราชสำนักให้รุ่งเรื่อง เหนื่อยยากลำบาก ใต้ฟ้าล้วนเคารพเลื่อมใส ครานี้เสด็จพ่อโรคเก่ากำเริบ เหล่าขุนนางไม่มีผู้ใดได้เข้าพบ แม้แต่ข้า…ก็ยังถูกกันอยู่นอกห้อง! มีเพียงพี่รองที่ได้รับพระกรุณาให้เข้าเฝ้า แล้วยังเชิญเซ่อเจิ้งอ๋องเข้าไปหารือ คงเป็นเรื่องสำคัญมากกระมัง?” ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างแช่มช้า น้ำเสียงปกติ ไร้ซึ่งเจตนาสอดแนม ตรงกันข้ามกลับคล้ายเป็นการส่งสัญญาณเตือนเสียมากกว่า
หลีเฟิ่งเซียนหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาหม่นไหวระริกเล็กน้อย กลับไม่เอ่ยวาจา
ควบม้าทำศึกมาครึ่งชีวิต ผลงานโดดเด่นเหนือผู้เป็นนาย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง ความรุ่งโรจน์ที่สกุลหลีได้รับ ไม่ว่าขุนนางบู๊บุ๋นคนใดในราชสำนักก็ไม่อาจเทียบเคียง แต่เขา…เมื่อถึงยามนี้ ชื่อเสียงยังคงอยู่ ทว่าหัวใจกลับเต็มไปด้วยความชอกช้ำ สตรีที่รักที่สุดในชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว บุตรสาวที่ทะนุถนอมที่สุดก็สิ้นลม แม้แต่นางอวี้พระชายารองที่รักเขาแต่เพียงผู้เดียวก็ตายไปแล้วเช่นกัน…ยามนี้ความอบอุ่นมลายสิ้น อำนาจทางทหารถูกลิดรอน สิ่งที่เขาเหลืออยู่ มีเพียงชื่อเสียงจอมปลอมที่ข้างในกลวงโบ๋เท่านั้น แต่หากยามใดไม่ระวังตัว แม้แต่ชื่อเสียงที่เหลือแต่เปลือกนอกนี้ หรือกระทั่งสุสานบรรพบุรุษที่ถือเป็นเกียรติแห่งวงศ์ตระกูลหลี ก็อาจสูญสิ้นไปด้วย
หลีเฟิ่งเซียนก้มหน้า ไม่นานก็ถอนหายใจ
พรมสีแดงชาดถูกปูยาวไปทางตำหนักใหญ่ ดูโดดเด่นสะดุดตา เหล่านางกำนัลและขันทีมากมายต่างพากันวิ่งเข้าวิ่งออก เตรียมตัวกันให้วุ่นสำหรับพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ที่กำลังจะมีขึ้นในไม่ช้า ทว่าด้านนอกตำหนัก กลับมีทหารถูกจัดวางกำลังป้องกันอย่างหนาแน่น ทุกสามก้าวจะมีทหารหนึ่งนาย เฉาจิ้นเหลียงนำคนเดินตรวจตราด้วยตนเอง มือข้างหนึ่งกำด้ามกระบี่ตรงเอวไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะชักกระบี่ตลอดเวลา…
“จิ้งอันอ๋องและเซ่อเจิ้งอ๋องมีสายสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด หลังคดีหลีซูถูกรื้อ เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เคยระบายความแค้นกับเขา ความภักดีนี้เห็นได้ชัดเจน ข้าเองก็เลื่อมใสยิ่งนัก…” ตงฟางเจ๋อหยุดกล่าวครู่หนึ่ง สายตาที่มองเขาไหวระริกเล็กน้อย “ความซื่อสัตย์ภักดีของสกุลหลี ได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จพ่อมาโดยตลอด ถึงแม้อวี้หลิงหลงเป็นนักโทษในคดีมีความผิดใหญ่หลวง เสด็จพ่อก็ไม่มีใจคิดโทษท่านแม้แต่น้อย มีบารมีของท่านอ๋องอยู่ ถือเป็นโชคดีของแคว้นเฉิงเรายิ่งนัก”
หลีเฟิ่งเซียนมีสีหน้าหวั่นไหว เงยหน้ามองเขา แต่ยังคงไม่กล่าววาจา
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ท่านอ๋องเป็นเสาหลักของแคว้นเฉิงเรา ราชสำนักจะมั่นคงราบรื่นได้หรือไม่ บ้านเมืองจะสงบสุขรุ่งเรืองได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับบารมีของท่านอ๋อง”
หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจหนักหน่วง พูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจความหมายของเขา ยามนี้ตงฟางจั๋วกำลังจะขึ้นครองราชย์ ด้วยความปราดเปรื่องของตงฟางเจ๋อ มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? เจิ้นหนิงอ๋องถนัดวางแผน วางแผนเมื่อใดสำเร็จเสมอ ก่อนหน้านี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ แม้เข้าคุกมืดแล้วก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของคนผู้นี้ล้ำหน้าทุกเล่ห์เหลี่ยมบนโลกนี้ไปนานแล้ว! ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนผันไปมา กลัวก็แต่คนที่เคยอยู่บนตำแหน่งสูงสุดมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนชั้นต่ำในวินาทีถัดมา ก้าวผิดเพียงก้าว ล้มเหลวหรือสำเร็จ ล้วนขึ้นอยู่กับเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
……………………………………………….

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset