“ลูกมิกล้า ลูกเพียงแต่…” เขาหมายจะพูดแต่หุบปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยพยับเมฆ
“เพียงแต่อะไร?!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเกรี้ยว “องค์หญิงร่วมหลับนอนห้องเดียวกับเจ้า เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ยามนี้องค์หญิงมีครรภ์ หมอหลวงหลายท่านล้วนวินิจฉัยเป็นเสียงเดียว หรือเจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีก?”
“ฝ่าบาทเพคะ!” ครั้นเห็นฮ่องเต้กริ้วหนัก ตำหนิตงฟางเจ๋อ หยางเสวียนคล้ายทนไม่ไหว ขอบตาแดงก่ำ รีบกล่าว “เป็นเจาหวาไม่ดีเองเพคะ ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องมีความรักอันลึกซึ้งกับท่านหญิง ทุกอย่างเป็นความผิดของเจาหวาเองเพคะ…”
เห็นนางบีบน้ำตา คล้ายน้อยเนื้อต่ำใจสุดแสน วางตนต่ำต้อย ใช่ยอมรับผิดที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังปลุกปั่น ซูหลีเงยหน้ามองนาง สายตาเย็นชา นางคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าองค์หญิงผู้นี้มีเจตนาไม่ใสสะอาด นางทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้พักกับซูหลี ที่แท้ก็มีจุดประสงค์เช่นนี้นี่เอง! ซูหลีระวังนางมาโดยตลอด แต่กลับเชื่อใจตงฟางเจ๋อมากเกินไปเช่นนั้นหรือ?
ฮ่องเต้กวาดสายตามองผ่านซูหลีคล้ายไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็หันไปกล่าวกับตงฟางเจ๋อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พวกนางล้วนเป็นสตรีที่ดี มีความรักอันลึกซึ้งต่อเจ้า เจ้าต้องดีต่อพวกนางมากๆ จึงจะถูก แต่งตั้งให้พวกนางทั้งสองเป็นชายาเอกในองค์รัชทายาท ยศเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกสูงต่ำ ภายหน้าหากเจ้าสืบทอดราชบัลลังก์ ผู้ใดให้กำเนิดโอรสองค์โตก่อน ก็แต่งตั้งผู้นั้นเป็นฮองเฮา”
ฝ่าบาทถ่ายทอดพระราชโองการไปแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
หยางเสวียนรีบลุกขึ้น กล่าวอย่างดีใจ “เจาหวาขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ไม่แบ่งแยกสูงต่ำ…ช่างยุติธรรมยิ่งนัก! ซูหลียิ้มเย็นชา นางไม่ยินดีสักนิด!
“หมิงซี เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่?” เสียงเย็นชาของฮ่องเต้ดังมา ซูหลีหยักยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “หมิงซีมิกล้าเพคะ หมิงซีเพียงอยากแสดงความยินดีกับเจิ้นหนิงอ๋อง ที่ได้รับโชคสองชั้นพร้อมกันเช่นนี้!”
น้ำเสียงเย็นชาดั่งคมมีดของนาง ทำให้ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ เขาหันมามองนางทันที แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
หัวใจของซูหลีเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างลึกซึ้ง นางกำลังรอให้เขาแก้ต่าง รอให้เขาปฏิเสธ รอให้เขานำความกล้าที่เอ่ยปากสัญญากับนางออกมาอธิบายทุกอย่างให้กระจ่าง แต่ว่า เขากลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น นางหลับตาอย่างสิ้นหวัง หัวใจเจ็บปวดดั่งถูกมีดกรีดแทง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จัดพิธีแต่งตั้งและอภิเษกชายาเอกทั้งสองพร้อมกันเลย หวังว่าองค์หญิงจะผลิดอกออกผลให้แก่แคว้นเฉิงของเราในเร็ววัน” แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านนัยน์ตาฮ่องเต้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ครั้นได้ยินคำว่า ‘ผลิดอกออกผล’ ซูหลีพลันตัวสั่น
หลังจากตงฟางจั๋วตาย ถึงแม้ฮ่องเต้จะแค้นเคืองตงฟางเจ๋ออยู่บ้าง กลับจนใจทำอะไรเขาไม่ได้ แม้จะไม่ดีอีกเพียงใด เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นให้สืบทอดราชบัลลังก์อีกแล้ว ฮ่องเต้ที่อายุมากแล้ว มีอาการป่วยเรื้อรั้ง ร่างกายเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ แทบไม่เหลือความเป็นไปได้ที่จะมีโอรสยามแก่เฒ่าอีก แต่หากต้องการอุ้มหลาน กลับสามารถเป็นไปได้จริงในไม่ช้า หยางเสวียนกับตงฟางเจ๋อลอบมีบุตรด้วยกัน เดิมทีเป็นเรื่องผิดกฎ แต่ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่ลงโทษ ยังจัดงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นทันที ส่งเสริมให้สองหญิงมีสวามีร่วมกัน ฮ่องเต้คิดทำการใดอยู่กันแน่?
ตงฟางเจ๋อที่ควรแสดงความเห็นมากที่สุด ยามนี้กลับมีท่าทีคลุมเครือ ไม่พูดอะไรสักคำ!
ฮ่องเต้เสด็จกลับตำหนัก หยางเสวียนยืนอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มมีเลศนัยแฝงไว้ด้วยแผนการบางอย่างของนาง วนเวียนอยู่ในความคิดของซูหลีไม่จางหาย
ครั้นกลับถึงจวน โม่เซียงกับหวั่นซินได้รับข่าวแล้ว สายตาเป็นห่วงของพวกนางทำให้ซูหลีหงุดหงิด จึงรีบเข้านอน แต่กลับพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับทั้งคืน ครุ่นคิดอยู่นาน ก็รู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือเช่นนี้ นางจึงตัดสินใจไปถามตงฟางเจ๋อให้ชัดเจน
ยามดึกสงัดร้างไร้ผู้คน เมฆดำลอยห่มผืนฟ้า ราวกับจะมีฝนห่าใหญ่มาเยือนในไม่ช้า
นอกห้องหนังสือของตงฟางเจ๋อ ไม่มีผู้ใดเฝ้าอยู่
ซูหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางชะลอฝีเท้าลดเสียงเดินลงโดยสัญชาตญาณ เซิ่งฉินซื่อสัตย์และปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด อยู่ข้างกายตงฟางเจ๋อไม่เคยห่างสักครั้ง เหตุใดยามนี้จึงไม่เห็นเงาเขาเล่า?
“ท่านอ๋อง!” โดยไม่รู้ตัว นางก็ก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดนอกหน้าต่างแล้ว ในห้องหนังสือ เสียงของเซิ่งฉินพลันดังขึ้น “กระหม่อมเพิ่งได้รับข่าวมา เรื่องที่หญิงนางนั้นหนีกลับมาเมืองหลวงเผาจวนท่านหญิง อาจเกี่ยวข้องกับจั้นอู๋จี๋ แต่คนที่กระหม่อมสะกดรอยตามไปถูกสังหารปิดปากแล้ว จึงหาหลักฐานไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีสะดุดใจ ยามนี้นางมีวรยุทธ์ใกล้เคียงกับหลีซูยามที่ยังมีชีวิตอยู่ คนในห้องพูดคุยกันเสียงเบามาก แต่นางก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน จั้นอู๋จี๋…ไม่ใช่คนของตงฟางเจ๋อหรอกหรือ? เหตุใดน้ำเสียงของเซิ่งฉินในยามนี้ กลับเหมือนกำลังระแวดระวังคนผู้นี้เล่า? เหตุใดจั้นอู๋จี๋จึงต้องช่วยหญิงที่ถูกเนรเทศนางนั้นกลับมาวางเพลิง?
ความสงสัยพลันบังเกิดในใจนาง นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นหายใจ แล้วเข้าใกล้หน้าต่างอย่างเงียบงัน ได้ยินเพียงตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็นชา “สามารถซ่อนตัวอยู่ในแคว้นเราได้สิบกว่าปีโดยไม่ถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง คนผู้นี้ฉลาดมาก มีความคิดรอบคอบ ทำการใดไร้ช่องโหว่ เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมไม่ปล่อยให้ถูกจับได้ง่ายๆ อยู่แล้ว”
เซิ่งฉินกล่าวอย่างแค้นเคือง “ยามนั้นสองจวนอ๋องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เขาแสร้งอาสาเสาะหาศิลาเลือดนกเพลิงมามอบให้ท่านอ๋องเป็นของขวัญแสดงความยินดี ภายนอกบอกว่าสามารถใช้ของสิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าผู้ใดเป็นโอรสสวรรค์ตัวจริงแห่งแคว้นเฉิง แท้จริงกลับปกปิดประโยชน์ชั่วร้ายของศิลาชั่วนี้ไว้ไม่ยอมบอก! เขาคิดจะยืมมือท่านอ๋องบรรลุเป้าหมายของตนเอง ชั่วช้ายิ่งนัก!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ทั้งหมดนี้เป็นแผนของจั้นอู๋จี๋เช่นนั้นหรือ?! แต่จั้นอู๋จี๋ไม่มีความแค้นกับหลีซู เหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนั้น?
ความคิดนับร้อยประดังประเดเข้ามาในสมอง ซูหลีอยากจะพุ่งตัวเข้าไปถามให้รู้เรื่อง กลับได้ยินตงฟางเจ๋อแค่นเสียงอย่างดูแคลน
เซิ่งฉินกล่าวต่ออีกว่า “โชคดีที่ท่านอ๋องปราดเปรื่อง ตรวจสอบได้ว่าศิลาชั่วนั้นครั้นอยู่ใต้แสงอาทิตย์จะสามารถดูดซับเลือดของหญิงพรหมจรรย์ได้ ใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าท่านอ๋องไม่รู้เรื่อง ลอบสืบสาวราวเรื่อง จนกระทั่งพบตัวตนที่แท้จริงของเขาในที่สุด! มิเช่นนั้น กระหม่อมไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
สายฟ้าเส้นหนึ่งที่เหมือนกับอสรพิษสีเงิน พลันพุ่งแหวกม่านฟ้ายามราตรีผ่าลงมา แสงส่องกระทบใบหน้าซีดเผือดของสตรีที่อยู่นอกหน้าต่าง ชั่วพริบตาเดียว ใบหน้านางซีดเหมือนคนตาย ไร้ซึ่งสีเลือด
เสียงอัสนีบาตที่ดังกัมปนาทมาจากเส้นขอบฟ้า ราวกับดังก้องอยู่ในสมองนาง
ชั่วเวลาหนึ่ง พายุลมกระโชกแรง เสียงหวีดหวิวดังไปทั่วทุกสารทิศใต้ผืนฟ้า
นางเบิกตากว้าง อึ้งค้างอยู่กับที่! เรือนร่างบอบบางโอนเอนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว แทบจะหยัดยืนอยู่ไม่ไหว นางรีบยกมือเกาะผนังประคองร่างเอาไว้ ยามนี้ สมองนางขาวโพลนไปหมดแล้ว!
เรื่องจริงอันเหลือเชื่อที่นางได้ยิน! ที่แท้เลือดของหญิงพรหมจรรย์ก็หายไปเช่นนี้เอง! และตงฟางเจ๋อ…ก็รู้เรื่องแต่แรกแล้ว! เพื่อไม่ให้จั้นอู๋จี๋ป้องกันตัว เขากลับใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง นำศิลามามอบให้หลีซู จนทำให้นางต้องพบกับความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน!
ตลอดมา นางเชื่อว่าคดีของหลีซูไม่เกี่ยวข้องกับเขา ฉะนั้นจึงได้ปฏิบัติกับเขาอย่างเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อใจเขา แม้แต่เรื่องหยางเสวียน นางยังคิดว่าขอเพียงเขาไม่ได้ยอมรับกับปากตนเอง นางก็จะไม่มีวันเชื่อง่ายๆ จะได้ไม่ตกหลุมพรางแผนร้ายของผู้อื่น!
นางเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ แต่เขากลับหลอกลวงนางมาโดยตลอด!
เพราะเหตุใด? ตงฟางเจ๋อ…ท่าน กล้าโกหก!
สองมือกำแน่น เล็บแหลมๆ จิกเข้าไปในผิวบอบบางทันที เลือดไหลออกจากฝ่ามือทีละหยดๆ ความเจ็บปวดที่รุนแรงจนไม่อาจทนรับไหวแผ่ปกคลุมไปทั่วหัวใจ นางกำอกเสื้อและกดหัวใจแน่นๆ ทว่ากลับไม่อาจควบคุมร่างบางที่ไถลลงนั่งกับพื้น นางตัวสั่นเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุม
บทสนทนาในห้องหนังสือยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ละคำเหมือนดั่งกระบี่คมที่กรีดแทงหัวใจนาง ทำให้มือเท้านางเย็นเฉียบ หายใจลำบากจนแทบอยากจะตายไปเสีย!
“ในเมื่อรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง?” เสียงของเซิ่งฉินยังคงชัดเจน
…………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 296 รักมาถึงทางสิ้นสุด (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment