พระชายาเอก…ช่างเป็นชื่อเรียกที่บาดหูยิ่งนัก! ก็ดี เข้าไปอยู่ในตำหนักต้องห้าม ไม่มีผู้ใดรบกวน บางทีอาจมีประโยชน์กับนางมากกว่า! ซูหลียิ้มหยัน ไม่มองตงฟางเจ๋ออีก หมุนกายเชิดหน้าสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป ไม่เห็นสายตาที่มองตามมาข้างหลังว่าสับสนและเจ็บปวดเพียงใด!
แววไม่พอใจพาดผ่านดวงหน้าหยางเสวียน ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นอย่างชัดเจน สายตาของเขาเย็นเฉียบ พลันโอบเอวของนาง แล้วถามเสียงเบา “เจ้าไม่พอใจหรือ?”
ท่าทางใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเขา ทำให้หยางเสวียนอึ้งงัน นางเบนสายตาหลบ เหลือบมองจั้นอู๋จี๋ที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าเย็นชาอยู่ด้านหนึ่ง เห็นเพียงเขาขมวดคิ้ว ก่อนจะหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว กลีบปากที่เม้มเล็กน้อยของตงฟางเจ๋อมีรอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้นมา ทว่าพริบตาเดียวก็จางหายไป
หยางเสวียนก้มหน้า กล่าวว่า “เจาหวามิกล้าเพคะ”
ตงฟางเจ๋อยิ้มบาง นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำยากคาดเดา นิ้วมือเรียวยาวไล้ผ่านหน้าท้องที่ยังไม่โตของนางเบาๆ หยางเสวียนตัวสั่น เขากล่าวด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ “อารมณ์ฉุนเฉียวไม่ดีต่อครรภ์ ต้องระวังหน่อย” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึมกว่าปกติ เหมือนมีความหมายแฝงอื่น ขณะเดียวกันก็เหมือนกล่าวตักเตือนไปอย่างนั้นเอง
แววสงสัยพาดผ่านดวงตาของหยางเสวียน นางรีบกล่าว “ทราบแล้วเพคะ”
พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท จบลงอย่างวุ่นวายอย่างนี้เอง
ท่านหญิงหมิงซีซูหลีถูกเปิดโปงว่าลอบขโมยความลับของแคว้นเฉิงในวันพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท ฮ่องเต้พิโรธ สั่งถอดยศท่านหญิงทันที จากนั้นนางก็ถูกองค์รัชทายาทตงฟางเจ๋อสั่งกักบริเวณในตำหนักบูรพาเพื่อรอฟังคำตัดสิน ฮ่องเต้ล้มป่วยอีกครั้งด้วยเหตุนี้ กรมพิธีการและเหล่าขุนนางประชุมหารือกัน ตงฟางเจ๋อตัดสินใจจัดพิธีอภิเษกสมรสกับองค์หญิงเจาหวาในสิบวันให้หลัง เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้ฮ่องเต้
ยามนี้ ตำหนักบูรพาคือสถานที่ที่คึกคักที่สุดในพระราชวัง ทุกคนต่างกำลังเร่งรีบจัดเตรียมพิธีอภิเษกขององค์รัชทายาท มีเพียงตำหนักต้องห้ามในสวนดอกเหมยที่เงียบงันวังเวง ไร้เงาผู้คน
ซูหลีสวมอาภรณ์ขาวใบหน้าไร้การแต่งแต้ม นั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ กิ่งไม้ที่ไหวเอนไปตามสายลมนอกหน้าต่างพัดเอาเงามืดทาบทับบนดวงหน้านาง แสงอาทิตย์ที่สว่างสลับมืดสลัว ทำให้สีหน้าของนางในยามนี้ยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ ในมือนางถือข่าวสารที่ฉินเหิงเพิ่งส่งมาให้ นางโยนมันเข้าไปในเตาไฟหลังจากกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวกระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
หวั่นซินเอ่ยเสียงเบา “ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมตามคำสั่งของคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ฉินเหิงค้นพบความผิดปกติในแม่น้ำหลานชาง อาจเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเราก็ได้นะเจ้าคะ”
ดวงหน้างามของซูหลีสงบเยือกเย็น สายตากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ฉินเหิงสืบทุกอย่างให้กระจ่างชัด ครั้งนี้เราไม่อาจทำพลาดเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ”
นัยน์ตาดำขลับทอดมองท้องฟ้าปลอดโปร่งที่ห่างไกลออกไป ไม่มีผู้ใดมองเห็นแววเหี้ยมเกรียมที่พาดผ่านดวงตานาง ซูหลีกล่าวกับตนเองในใจ ‘ผู้ใดที่ติดค้างนาง นางจะไม่มีวันปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!’
ล่วงเข้าสู่เดือนที่สาม
ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนช้ากว่าทุกปี ต้นไม้ข้างทางยังไม่ผลิดอกผลิใบ แต่พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทตงฟางเจ๋อแห่งแคว้นเฉิงกลับมาถึงแล้ว
วันจัดพิธีถูกกำหนดขึ้นอย่างกระชั้นชิด กรมพิธีการเตรียมการได้ไม่พร้อมมากนัก กอปรกับพิธีถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ฮ่องเต้ ฉะนั้นตงฟางเจ๋อจึงออกคำสั่งให้จัดการทุกอย่างอย่างเรียบง่าย ความเอิกเกริกหรูหราและฟุ้งเฟ้อหากเลี่ยงได้ก็ให้เลี่ยง
สามวันก่อนวันศารทวิษุวัต[1] ดวงอาทิตย์เข้าสู่เส้นศูนย์สูตร ตงฟางเจ๋อนำเหล่าขุนนางทำพิธีเซ่นไหว้ที่ตำหนักเทียนกง แสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิงดงาม หญ้าเถาเครืองอกงาม นกขมิ้นโบยบินขับขานเสียงใส อากาศอันอบอุ่นคล้ายลบล้างความเศร้าสร้อยและหม่นหมองในฤดูหนาวไปได้หลายส่วน
ณ ตำหนักบูรพา ในวันอภิเษกสมรส
ผ้าไหมสีแดงสัญลักษณ์แห่งความมงคลสดใสสะดุดตา นอกประตูเสียงประทัดดังอย่างต่อเนื่อง เต็มไปด้วยบรรยากาศงานมงคล เพียงแต่ท่ามกลางบรรยากาศมงคลนี้คล้ายมีความอึดอัดบางอย่างแฝงอยู่ เหล่าแขกเหรื่อที่มากันอย่างไม่ขาดสายถวายพระพรแก่องค์รัชทายาทผู้สูงส่งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
ในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ทูตจากสองแคว้นที่มาร่วมแสดงความยินดี แล้วยังมีพ่อค้าที่ร่ำรวยและมีหน้ามีตาบางคนมาร่วมงานด้วย มีเพียงผู้เดียวที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสามัญชน นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง ไม่พูดคุยกับคนรอบกาย คนผู้นั้นก็คือหมอเทวดาเจียงหยวนนั่นเอง
เขาเป็นเพียงหมอคนหนึ่งในยุทธภพ กลับได้รับคำเชิญจากองค์รัชทายาท ไม่เพียงเหล่าขุนนางเท่านั้นที่สงสัย แม้แต่ตัวเจียงหยวนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน แต่ก็ถือว่าตรงใจเขาพอดี
“หายากนักที่หมอเจียงจะให้เกียรติมาร่วมงานด้วย” ตงฟางเจ๋อสวมชุดมงคล เดินยิ้มมาทางเขา กลับเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายเขาด้วยตนเอง
“องค์รัชทายาททรงเชื้อเชิญ ผู้น้อยแซ่เจียงมีหรือจะกล้าไม่มา?!” เจียงหยวนค้อมกายเล็กน้อย สีหน้าแลดูเย็นชาหลายส่วน
ทุกคนตกตะลึง มีคนทนดูไม่ไหวหมายจะเข้ามาตำหนิเขา กลับถูกตงฟางเจ๋อห้ามไว้ก่อน เขาคล้ายไม่ใส่ใจ สายตากวาดมองรอบด้าน ที่นั่งแถวหน้าของเหล่าขุนนาง หลีเฟิ่งเซียนกำลังนั่งก้มหน้าเงียบๆ และเงยหน้าขึ้นเป็นระยะ สายตาที่ทอดมองมาหม่นหมองเศร้าสร้อย คล้ายมีเรื่องในใจ
ซูเซียงหรูใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม ทว่ากลับดูฝืดเฝื่อนยิ่งนัก เดิมทีพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท เขาสมควรเป็นคนที่เจิดจรัสที่สุดในงาน แต่ยามนี้ ซูหลีถูกลงโทษ สัญญาแต่งงานแม้ยังไม่ถูกยกเลิก แต่เขายังมีโอกาสได้เป็นพ่อตาฮ่องเต้อีกหรือไม่ กลับเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย
ที่นั่งถัดลงมาจากทั้งสอง จั้นอู๋จี๋สายตาสงบนิ่ง เหลือบมองห้องโถงด้านในเป็นระยะ คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่ง
“โอ้ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท เซี่ยงหลีมาแสดงความยินดีช้า ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู เซี่ยงหลีพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลวงที่เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา เขาประสานมือคารวะตงฟางเจ๋อ ดวงตาและคิ้วเรียวโค้ง แย้มยิ้มอย่างคนเจ้าสำราญ
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเข้ม “หายากนักที่เซี่ยงหลีคุณชายเจ้าสำราญอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่พาสาวงามเคียงกายมาด้วย!”
เซี่ยงหลีหัวเราะร่า เอ่ยว่า “มิกล้าๆ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท เซี่ยงหลีมีหรือจะกล้าเสียมารยาท?!”
“องค์รัชทายาท ทูตจากแคว้นเปี้ยนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เซิ่งเซียวเดินเข้ามารายงาน
“องค์รัชทายาทช่างโชคดียิ่งนัก มีสาวงามเคียงกายไม่ขาด แม้แต่ข้าเซี่ยงหลียังไม่อาจทัดเทียม” ในดวงตาดอกท้อของเขา พลันมีแววเย็นชาพาดผ่าน
ใบหน้าของตงฟางเจ๋อตึงเครียดเล็กน้อย ทว่ากลับไม่พูดอะไร
“กระหม่อมเผิงอิง มาร่วมแสดงความยินดีกับองค์รัชทายาทตามบัญชาของฮ่องเต้แห่งแคว้นเปี้ยนพ่ะย่ะค่ะ! ขอให้องค์รัชทายาทและองค์หญิงของเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่า! และขอให้สองแคว้นเป็นพันธมิตรที่ดีตลอดไป ร่วมสร้างเกียรติและความรุ่งโรจให้ใต้หล้าไปด้วยกัน!” ทูตจากแคว้นเปี้ยนก้าวเท้าเข้ามา ก็ค้อมกายอย่างนบนอบ กล่าวอวยพรด้วยภาษาแคว้นเฉิงได้อย่างคล่องแคล่ว
ตงฟางเจ๋อตอบกลับอย่างมีมารยาท “คำอวยพรที่ท่านทูตกล่าว คือความปรารถนาของข้าพอดี! ท่านทูตเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เซิ่งเซียว เชิญท่านทูตไปยังที่นั่งเถิด”
“เชิญใต้เท้าขอรับ”
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท” ทูตจากแคว้นเปี้ยนเดินตามเซิ่งเซียวไป ประกายเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของตงฟางเจ๋อ พริบตาเดียวก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งเสด็จ” เสียงขานร้องกังวานใสดังมาจากด้านนอก ผู้คนด้านในต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า
พิธีอภิเษกสมรสของตงฟางเจ๋อกับหยางเสวียนถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก จึงไม่ได้แจ้งข่าวให้แต่ละแคว้นทราบ แคว้นเปี้ยนนั้นเป็นองค์หญิงเจาหวาส่งสารไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทูตจึงเตรียมพร้อมและมาร่วมงานได้ทันเวลา ทว่าแคว้นติ้งตั้งอยู่ห่างไกล ถึงแม้เดินทางมาร่วมงานหลังได้รับแจ้ง ก็ไม่น่าจะมาถึงเร็วถึงเพียงนี้!
ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัย หลางฉ่างก็พาเหล่าองครักษ์ประจำกายเดินเข้ามาท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย เหล่าแขกหญิงสาวต่างชะโงกหน้าไปดู อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับรูปโฉมอันงดงามของเขา
หากบนโลกใบนี้ยังมีผู้ใดที่มีรูปลักษณ์เทียบเคียงกับตงฟางเจ๋อได้ เกรงว่าคงจะมีแต่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้นี้แล้ว! ทุกคนอุทานด้วยตวามตกตะลึง สายตาพลันเคลิบเคลิ้มหลงใหล…
เดิมหลางฉ่างมีรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่ธรรมดา มีบุคลิกโดดเด่นอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีเงิน ลวดลายมังกรตรงปกเสื้อเย็บปักด้วยด้ายสีทอง งดงามประณีต ดูสูงส่งสง่างาม ก็ยิ่งขับเน้นฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอันสูงส่งไม่มีใครเทียมของเขาให้โดดเด่น ยิ่งเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเช่นนี้ ก็ยิ่งเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ พาให้ผู้คนอดชะเง้อชะแง้มองตามไม่ได้
………………………………………………………..
[1] วันศารทวิษุวัต คือวันที่เวลากลางวันยาวเท่ากับกลางคืน ตรงกับวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคมของทุกปี