พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของหยางเซียวพลันเครียดขึ้ง ขว้างถ้วยสุราที่อยู่บนโต๊ะลงบนพื้น บรรยากาศที่เดิมก็คุกรุ่นอยู่แล้ว พลันตึงเครียดและเต็มไปด้วยไอสังหารทันทีที่เสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น
เสียงชักดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เก้าในสิบองครักษ์ชุดเกราะสีดำชักดาบออกจากฝัก แล้วชี้ไปที่หยางเซียว ไม่เก็บซ่อนคมดาบอีกต่อไป
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ดึงดาบออกมา สายตาของเขาจ้องมาที่ซูหลีเงียบๆ ซูหลีหลุบตาต่ำ คาดเดาอารมณ์ในสายตาไม่ถูก แต่แผ่นหลังของนางเหยียดตรง นิ้วมือที่กำด้ามดาบตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้เริ่มซีดขาวเพราะออกแรงมากไป เห็นชัดว่านางก็ตั้งท่าพร้อมสู้ทุกเมื่อเช่นกัน
องครักษ์ของหยางเซียวรีบชักดาบออกมา แล้ววิ่งเข้าไปคุ้มกันเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างโกรธเกรี้ยว บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดสุดขีด เสมือนเส้นด้ายที่ถูกขึงจนตึง และอาจขาดผึงได้ทุกเมื่อ
ในที่สุดหลีเฟิ่งเซียนก็ลุกขึ้น แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “การตายขององค์หญิงแคว้นเปี้ยน เป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตนเอง! ชาวเปี้ยนของพวกท่านมีจิตทะเยอทะยาน ถึงขั้นร่วมมือกับจั้นอู๋จี๋วางแผนการชั่วช้า หมายจะอาศัยพิธีอภิเษกสมรสลอบสังหารขุนนางสำคัญของแคว้นเรา และแบ่งแยกแผ่นดินแคว้นเฉิงของเรา แม้นโทษตายก็ยังไม่สาสม!”
หลีเฟิ่งเซียนเดือดดาล ยากจะปกปิดความโกรธแค้น ซูหลีเห็นท่าไม่ดี นี่มันไม่ใช่การเจรจาสงบศึกแล้ว เป็นการสะสางบัญชีชัดๆ ไม่ได้การแล้ว! นางเงยหน้าสบตากับฉินเหิงแวบหนึ่ง เขาเข้าใจทันที ลอบก้าวเท้าไปใกล้ทางออกเงียบๆ
“ท่านกล่าวหาว่าเจาหวาวางแผนชั่ว มีหลักฐานหรือไม่?!” หยางเซียวโต้ตอบอย่างไม่ลดละ ความแค้นจากการสูญเสียน้องสาวยากจะลบเลือนจากใจอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจับนางได้คาหนังคาเขา ทั้งพยานและหลักฐานมีพร้อม ลูกในท้องนางก็มิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้เรา! เรื่องนี้หลางฉ่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งเห็นกับตา หลักฐานแน่นหนาดั่งขุนเขา!” หลีเฟิ่งเซียนแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ชาวแคว้นเปี้ยนของพวกท่านมีใจทะเยอทะยานและเจ้าเล่ห์ยิ่ง แผนการชั่วล้มเหลว โทษตายก็ยังไม่สาสม!”
“โทษตายก็ยังไม่สาสมเช่นนั้นหรือ! หลีเฟิ่งเซียน! ที่นี่ และเวลานี้คือวันตายของท่าน!” เพิ่งจะสิ้นประโยค เสียงผิวปากยาวๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งพลันโผล่พ้นเหนือกำแพง มือง้างธนูเล็งมาที่พวกหลีเฟิ่งเซียน นอกประตู คนผู้หนึ่งโฉบกายเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น กลับเป็นเซียวอ๋อง ‘หยางเจิ้น’!
ซูหลีตึงเครียด การเจรจาสงบศึกครั้งนี้มีกลลวงซ่อนอยู่จริงๆ! นางตวัดตามองหยางเซียวอย่างโกรธเกรี้ยว กลับเห็นเขาเงยหน้ามองเสด็จอาหยางเจิ้นคล้ายตกตะลึง
“ที่แท้ก็เป็นงานเลี้ยงประตูหงเหมิน[1]!” หลีเฟิ่งเซียนชักกระบี่เหล็กออกมา แค่นหัวเราะเย็นชา “พวกเจ้าชาวเปี้ยนล้วนเป็นคนชั่วช้าสามานย์!”
หยางเจิ้นปั้นหน้าเย็นชา โบกมือออกคำสั่ง “ตั้งแต่อดีตกาล ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร! ทหารทุกนายจงฟัง ผู้ใดจับหัวหน้าศัตรูได้ ข้าจะมอบรางวัลให้อย่างงาม!”
ครั้นสิ้นเสียงคำสั่ง ลูกธนูนับหมื่นพุ่งออกจากคันศร เสียงเข่นฆ่าดังก้องท้องฟ้า
สีหน้าของหลีเฟิ่งเซียนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย องครักษ์สิบนายที่อยู่ข้างหลังพลันรวมตัวกันเป็นวงกลม คุ้มกันเขาไว้ตรงกลาง หลีเฟิ่งเซียนคว้าตัวคนผู้หนึ่งมาคุ้มกันไว้เบื้องหลัง ตวัดดาบฟันลูกธนูขนนกที่ยิงเข้ามาให้พ้นทาง แล้วตวาดเสียงดังลั่น “ถอยทัพ!”
ทว่าคนผู้นั้นกลับมีท่าทางแน่นิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะจากไป สายตาลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองมาที่ซูหลีเขม็ง
ความโกรธกรุ่นครอบงำหัวใจซูหลี สายตานางเย็นชา เพื่อทดสอบนาง เขาถึงกับยอมเอาตนเองมาเสี่ยงอันตราย แล้วยังใช้ชีวิตของเสด็จพ่อมาบีบบังคับให้นางลงมืออีก! ส่วนนาง แม้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์ใด ทว่ากลับมิอาจทนมองเสด็จพ่อตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ทำอะไรได้
ตงฟางเจ๋อ ถือว่าท่านร้ายกาจ!
มือบางกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ ซูหลีกระโดดลอยตัวเหนืออากาศ แล้วสะบัดแขนเสื้อ กระแสปราณอันทรงพลังพุ่งออกไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน ลูกธนูมากมายดั่งห่าฝนท่ามกลางพายุพลันเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ ปักลงไปบนพื้นข้างกำแพง
อีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังครั้นเห็นเช่นนั้น ก็รีบกระโดดขึ้นไปบนกำแพง เสียงกรีดร้องของเหล่าทหารแคว้นเปี้ยนดังระงม พวกเขาถูกแย่งธนูจากมือ และถูกจู่โจมจนร่วงตกกำแพงไปตามๆ กัน สถานการณ์พลิกผัน หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี ก้าวเข้ามารั้งแขนซูหลี “ทูตนารี!”
ซูหลีหมุนกายล็อกตัวเขาไว้ข้างหน้า มีดสั้นในแขนเสื้อไถลออกมาจ่อลำคอเขา นางด่าทอด้วยเสียงเย็นชา “ต่ำช้า!”
เขากลับไม่โกรธ เพียงกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดเสียงเบา “ข้าบริสุทธิ์นะ…”
ไม่รอให้นางตอบ เขารีบปั้นหน้าเปลี่ยนอารมณ์ ตะโกนเสียงดัง “อย่าฆ่าข้า! ช่วยข้าด้วย!”
จู่ๆ คนของฝ่ายตนเองแปรพักตร์ไปเป็นฝ่ายศัตรู ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนพลันชะงักหยุด แล้วหันไปมองหยางเซียวกับซูหลีราวกับรับมือไม่ถูก
“วางอาวุธลง มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็เตรียมเก็บศพขององค์ชายสี่ได้เลย!” ซูหลีรวบรวมพลังไว้ที่ทรวงอก กำลังภายในพลุ่งพล่าน เสียงแหบพร่าทว่าแข็งแกร่งของนางดังก้องไปทั่วศาลฉีเซียง ทุกคนสะท้านไปทั้งใจ
เหล่าทหารชะงักงัน หันมามองหยางเจิ้นเป็นตาเดียว องค์ชายหยางเซียวเป็นโอรสที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรักและโปรดปรานมากที่สุด แล้วก็เป็นองค์ชายที่เหลืออยู่เพียงองค์เดียวในราชวงศ์ปัจจุบัน ถึงแม้ศัตรูตัวฉกาจจะอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ไม่กล้านำชีวิตของเขามาเดิมพันส่งเดช
หลีเฟิ่งเซียนมองนางอย่างตกตะลึง สตรีเรือนร่างบอบบางที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาแผ่ไอพิฆาตรุนแรง เสียงพูดไม่คุ้นหู แต่กลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวานนางเพิ่งช่วยพวกหยางเซียวทำลายค่ายกลของพวกเขา เหตุใดจู่ๆ วันนี้จึงหันกลับมาช่วยพวกเขาเล่า?
สายตาของหยางเจิ้นตึงเครียด เขาขมวดคิ้ว “ปล่อยองค์ชายสี่เสีย แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
ซูหลีแสยะยิ้มเย็นชา กระบี่ในมือไม่เพียงไม่คลายกลับประชิดแน่นกว่าเดิม ลำคอของหยางเซียวพลันปรากฏรอยเลือดเส้นหนึ่งทันที
หยางเซียวร้องโอดครวญ มองซูหลีด้วยสายตาขุ่นเคือง บ่นกับนางด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “โอ๊ย เจ็บ! อาหลีน้อย เจ้าใจร้ายยิ่งนัก!”
ซูหลีทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาจึงหันไปหาหยางเจิ้น ตะโกนเสียงหลง “พวกท่านรีบถอยไปเร็วเข้า! อยากเห็นข้าตายหรือไร?!” เขาดูเหมือนแตกตื่นหวาดกลัวมาก ทว่าแววตากลับดูสงบนิ่ง ซูหลีเหลือบมองเขาแล้วอดลอบหัวเราะเย็นชาไม่ได้
‘องครักษ์’ ที่อยู่ข้างหลังหลีเฟิ่งเซียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย นัยน์ตาลึกล้ำมีแววตื้นตันและยินดีพาดผ่าน บนโลกใบนี้ นอกจากนางแล้ว ยังจะมีผู้ใดจับองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนเป็นตัวประกันเพื่อหลีเฟิ่งเซียนโดยไม่สนใจผลที่จะตามมาทีหลังอีก?! เขาก้าวไปยืนข้างหลังนาง
ครั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากข้างหลัง ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย หันหลังกลับทันที สายตาดั่งกระบี่คมตวัดมองมาที่เขา เขากลับแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้าวมายืนข้างกายนางด้วยสายตาหนักแน่น ราวกับต้องทำเช่นนี้เท่านั้น เขาจึงจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทั้งคุ้นเคยและห่างเหินของนาง หัวใจของเขาจึงจะสามารถกลับมาเต้นอีกครั้ง อันตรายที่อยู่ตรงหน้าไม่อยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของหยางเจิ้นย่ำแย่อย่างยิ่ง เขาจ้องหน้าซูหลี สายตาหดหู่ สีหน้าหม่นหมองยากจะแยกแยะ ซูหลีจ้องเขาตอบตรงๆ สายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก นางไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าเพิกเฉยต่อชีวิตขององค์ชายสี่ โอรสที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรักและโปรดปรานมากที่สุด!
พวกเขาเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงัน พาให้บรรยากาศตึงเครียดเหมือนเส้นด้ายที่ถูกขึงจนตึง ผู้คนรอบข้างต่างตื่นตัวสุดขีด จะฆ่าหรือจะถอย รอเพียงคำสั่งเดียวเท่านั้น
หยางเจิ้นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็โบกมือ เหล่าทหารแคว้นเปี้ยนที่อยู่ทั้งด้านนอกและด้านในคล้ายพากันถอนหายใจโล่งอก ถอยกลับไปเหมือนกระแสน้ำที่ลดฮวบลง
ซูหลีจับตัวหยางเซียวไว้แน่น ทูตทั้งสามแห่งเฉินเหมินคุ้มกันอยู่ข้างกายนาง พาหลีเฟิ่งเซียนถอยไปทางประตูช้าๆ เพิ่งจะออกจากประตู หลีเฟิ่งเซียนก็กล่าวเสียงเบา “ม้าของพวกข้าผูกไว้ที่ประตูหลัง”
สายตาของซูหลีไหวระริก “ม้าของพวกท่าน เกรงว่าจะขี่ไม่ได้แล้ว”
หลีเฟิ่งเซียนอึ้งงัน หมายจะเอ่ยวาจา กลับเห็นฉินเหิงโฉบกายลงมาจากกำแพง ชะโงกตัวเข้ามากระซิบข้างหูซูหลีประโยคหนึ่ง สีหน้าของซูหลีพลันตึงเครียด นางตวาดเสียงเกรี้ยว “เซียวอ๋อง!”
……………………………………………
[1] งานเลี้ยงประตูหงเหมิน แปลว่า งานเลี้ยงที่มีการลอบสังหารซ่อนอยู่