ซูหลีเดินมายืนข้างหน้าต่าง จ้องมองประกายวิบวับที่เกิดจากแสงอาทิตย์ส่องต้องผิวน้ำ แล้วกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “เมื่อคืนเกิดปัญหาขึ้นระหว่างที่ข้าฝึกวรยุทธ์ หากมีผู้ใดลอบช่วยเหลืออย่างลับๆ เกรงว่าวรยุทธ์ของคนผู้นั้นคงสูญสิ้นไปแล้ว”
หวั่นซินตกตะลึง “ลอบช่วยเหลืออย่างลับๆ ผู้ใดกันเจ้าคะ?”
“ข้าไม่รู้ มองไม่เห็นหน้าเขา ยามเจ้าไป ไม่พบผู้ใดอยู่ในศาลาหรือ?”
หวั่นซินส่ายหน้า
ซูหลีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “มีข่าวส่งมาจากในวังหรือไม่? อาการประชวรของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเป็นเช่นไรบ้าง?”
“องค์ชายสี่ส่งข่าวมาบอกว่าอาการประชวรของฮ่องเต้ยังไม่มีเรื่องใดน่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ เพียงแต่อายุมากแล้ว จึงฟื้นตัวได้ช้าหน่อย จำต้องพักรักษาตัวสักช่วงหนึ่งเจ้าค่ะ”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่หยางเซียว เช่นนั้นในแท่นบูชาหลักแห่งนี้ ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง และมีความสามารถมากพอที่จะช่วยนางฝึกยุทธ์ได้ แต่ไม่ประสงค์แสดงตน…คือผู้ใดกัน?
“อ้อ ใช่แล้ว” หวั่นซินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เรื่องที่คุณหนูให้สืบคราวที่แล้ว ฉินเหิงไปสืบมาแล้วเจ้าค่ะ ที่ตลาดเคยมีคนขาย ‘ไข่มุกนิล’ จริงๆ เจ้าค่ะ แต่กลับเคยขายแค่เพียงครั้งเดียว ครั้งนั้นสำนักเมฆาขาวกว้านซื้อไปจนหมด หลังจากนั้นพ่อค้าแผงลอยผู้นั้นก็ไม่มาขายอีกเลย ฉินเหิงสืบพบว่าคนที่ออกไปจับจ่ายในครั้งนั้น มีชื่อว่าฉินเซิง เขาบอกว่าผู้ดูแลเซี่ยเคยกำชับว่าสิ่งที่จะใช้ในแท่นบูชาหลักจำต้องซื้อของที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
หัวใจของซูหลีเต้นรัว เซี่ยฝูอันอีกแล้วหรือ…นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “สถานการณ์ที่ชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง เขา…ยังไม่ถอยทัพกลับไปอีกหรือ?”
‘เขา’ ที่นางกล่าวถึง หมายถึงผู้ใด หวั่นซินย่อมรู้ดี นางตอบว่า “ยังเจ้าค่ะ”
ซูหลีไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้าเงียบๆ
หวั่นซินกล่าวอย่างทอดถอนใจ “บ่าวรู้สึกได้ว่าเขาต้องกำลังคิดหาทางอื่นอยู่แน่นอนเจ้าค่ะ ด้วยนิสัยของเขา เมื่อสงสัยในตัวตนของคุณหนูแล้ว หากไม่สืบสาวจนถึงที่สุด เกรงว่าจะไม่มีทางรามือง่ายๆ แน่นอนเจ้าค่ะ”
ซูหลีทอดมองท้องฟ้าสีครามนอกหน้าต่าง ก้อนเมฆสีขาวคล้อยผ่าน เคลื่อนตัวบดบังแสงอาทิตย์เจิดจ้าแยงตายามเช้าเป็นพักๆ แสงสว่างในตำหนักแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงเล็กน้อย
นึกย้อนไปถึงวันนั้น นางแทงเขาด้วยมีดสั้น แล้วยังซัดฝ่ามือใส่เขา ผลักเขาออกจากประตูหินของสำนักเขามรกต ก็เพราะต้องการดับฝันเขา ไม่ว่านางจะใช่ซูหลีหรือไม่ นางก็ไม่อาจกลับไปกับเขาได้ เขาเป็นคนใจเย็นและปราดเปรื่องมาโดยตลอด รู้จักฉลาดเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่หลังจากการพบหน้ากันในแคว้นเปี้ยนเพียงครั้งเดียว เขากลับกระทำสิ่งที่ผิดวิสัยของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่คำนึงถึงเหตุและผลแม้แต่น้อย เป็นเพราะเหตุใดกันแน่?
“ข้าน้อยรับคำสั่งจากผู้ดูแลเซี่ย ให้มาส่งอาหารเช้าให้ท่านธิดาเทพขอรับ” เสียงรายงานดังมาจากนอกประตู ดึงความคิดของนางให้กลับมา หวั่นซินเดินไปเปิดประตูตำหนัก ด้านนอก เป็นเซี่ยถงผู้ติดตามของเซี่ยฝูอันยืนอยู่ดังคาด
อาหารบนโต๊ะมีลักษณะคล้ายกับข้าวต้มและผักเครื่องเคียงของวันก่อน ดูไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย ซูหลีกินไปคำเดียวก็วางลง นางลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบเฉย “เปลี่ยนพ่อครัวอีกแล้วหรือ?”
ครั้นซูหลีถามประโยคนี้ออกมา เซี่ยถงก็สะดุ้ง รีบตอบทันที “เรียนท่านธิดาเทพ ไม่ได้เปลี่ยนพ่อครัวขอรับ หากอาหารไม่ถูกปากท่านธิดาเทพ ข้าน้อยจะสั่งให้พวกเขาทำใหม่”
เหตุใดฝีมือของพ่อครัวคนเดียวกัน กลับแตกต่างกันถึงเพียงนี้? ช่างน่าแปลกยิ่งนัก
ซูหลีวางตะเกียบลง แล้วถามคล้ายไม่ใส่ใจนัก “เหตุใดวันนี้ไม่เห็นผู้ดูแลเซี่ย?”
หลายวันมานี้ ทุกครั้งที่กินข้าว เซี่ยฝูอันจะเป็นผู้นำสำรับอาหารมาส่งด้วยตนเอง กระทั่งนางกินเสร็จเขาจึงค่อยจากไป
“เรียนท่านธิดาเทพ วันนี้ผู้ดูแลเซี่ยไม่สบาย นอนพักอยู่ที่หอซือหยวนขอรับ”
เซี่ยฝูอันไม่สบายหรือ? เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของซูหลี นางสะดุดใจเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับโยงเรื่องเมื่อคืนไปถึงตัวเขา นางถามเซี่ยถง “เรียกหมอไปตรวจแล้วหรือยัง?”
เซี่ยถงตอบ “ยังขอรับ ผู้ดูแลเซี่ยบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาพักผ่อนสักวันสองวันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“อืม” ซูหลีไม่พูดอะไรอีก เพียงสั่งให้เซี่ยถงออกไป แล้วจึงค่อยกล่าวกับหวั่นซิน “ไปเรียกเจียงหยวนมา”
ผ่านไปไม่นาน เจียงหยวนก็มาที่ตำหนักเซิ่งซิน ซูหลีกล่าวเข้าประเด็นทันที “เมื่อคืนเกิดเรื่องไม่คาดฝันระหว่างที่ข้าฝึกวรยุทธ์ มีคนยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ยามที่หวั่นซินไปถึง ในศาลามู่เยวี่ยกลับไม่มีผู้ใดอยู่แล้วนอกจากข้า ข้าจำได้ว่าก่อนหมดสติ ได้ยินเสียงเหมือนมีบางสิ่งตกน้ำ วันนี้เซี่ยฝูอันบอกว่าป่วยจึงไม่ได้มาเข้าพบ เจ้าไปดูหน่อยว่าเขาเป็นอะไร”
หวั่นซินกับเจียงหยวนมองตากัน พวกเขาต่างเข้าใจความหมายของนางทันที เจียงหยวนกล่าวเสียงเข้ม “ท่านเจ้าสำนักสงสัยว่าผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือเมื่อคืน คือเซี่ยฝูอัน?”
“ข้าไม่มั่นใจ เจ้าไปดูสถานการณ์ก่อน แล้วสั่งให้ฉินเหิงไปสืบประวัติคนผู้นี้มาด้วย” นางเคยอ่านบันทึกของลัทธิ เซี่ยฝูอันเข้าลัทธิมาตอนอายุสิบปี เป็นปีที่เสด็จแม่ของนางทรยศแล้วหนีไป คนผู้นี้ขึ้นเป็นผู้ดูแลแท่นบูชาหลักยามอายุสิบแปดปี มีความคิดรอบคอบ แต่วรยุทธ์ธรรมดา เพียงจุดนี้ นางก็รู้สึกว่าผิดปกติแล้ว วันนั้น เขาพุ่งตัวเข้ามาในศาลามู่เยวี่ยด้วยความเร็วสูง ตอบสนองอย่างรวดเร็ว แม้แต่หยางเซียวก็ยังไม่ทันตั้งตัว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!
เจียงหยวนรับคำแล้วออกไป
ทิศเหนือของตำหนักเซิ่งซิน ถัดจากตำหนักไปสามหลังก็คือที่พักของผู้ดูแลแท่นบูชาหลัก หอซือหยวน เจียงหยวนเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไป เซี่ยถงก็เดินออกมารับหน้าพอดี “ข้าน้อยคารวะทูตวิญญาณ”
“ได้ยินว่าผู้ดูแลเซี่ยไม่สบาย ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?”
“พักผ่อนอยู่ในห้องขอรับ”
เจียงหยวนเดินตามหลังเซี่ยถง เดินตรงเข้าไปในห้องนอนของเซี่ยฝูอัน
ในห้อง เซี่ยฝูอันนอนอยู่บนเตียง อากาศร้อนระอุ หน้าต่างและประตูกลับปิดทุกบาน ร่างกายเขาถูกหุ้มไว้ด้วยผ้าห่มหนาๆ เขากำลังหลับตาทำสมาธิ ครั้นได้ยินว่ามีผู้มาเยือน เขาก็รีบลืมตา เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงหยวน สายตาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นช้าๆ กล่าวเสียงเบา “ข้าน้อยไม่สบาย ไม่อาจลุกขึ้นคารวะ ทูตวิญญาณโปรดอภัย”
เจียงหยวนไม่ตอบ เดินตรงไปนั่งลงข้างเตียง แล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านธิดาเทพได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย จึงสั่งให้ข้ามาดูอาการเป็นพิเศษ เจ้าหนาวมากหรือ? ไม่สบายตรงที่ใด?”
สายตาของเซี่ยฝูอันไหวระริก เขาเหล่มองหน้าต่างที่ปิดสนิทเล็กน้อย แต่กลับกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “แค่ไม่สบายเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ขอบคุณท่านธิดาเทพที่เป็นห่วง”
เจียงหยวนจ้องเขาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ เอื้อมมือออกไป แสดงให้เห็นว่าต้องการตรวจชีพจรเขา
เซี่ยฝูอันลังเลเล็กน้อย ทว่ากลับยังคงยื่นแขนให้เขาอย่างแช่มช้า
เจียงหยวนวางปลายนิ้วลงบนจุดชีพจรของเขา สายตาที่มองเขาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเป็นหวัด”
เซี่ยฝูอันไม่พูดอะไร กลับได้ยินเสียงแหบพร่าของสตรีดังมาจากนอกประตู ซูหลีเดินเข้ามา จ้องหน้าเขาแล้วถามตรงๆ “เมื่อวานผู้ดูแลเซี่ยยังสบายดีอยู่เลย เพียงคืนเดียว เหตุใดจึงเป็นหวัดได้เล่า?”
เซี่ยฝูอันหมายจะลงจากเตียงคารวะนาง ซูหลียกมือห้ามปราม “ผู้ดูแลเซี่ยไม่สบาย ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
“ขอบคุณท่านธิดาเทพที่เป็นห่วง” เซี่ยฝูอันยกผ้าห่มคลุมตัวแล้วเอนหลังพิงหัวเตียง ผ้าห่มสีเขียวเข้มปกคลุมแนวกราม เส้นผมหล่นปรกหน้าผาก ผู้ดูแลแท่นบูชาหลักที่ยามปกติมักแต่งกายเรียบร้อย ยามนี้ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ แต่ดวงตาของเขากลับดำขลับเหมือนน้ำหมึก หน้าซีดๆ ของเขาจึงยิ่งทำให้ดวงตาดูลึกล้ำมากขึ้น เขาตะโกนสั่ง “เซี่ยถง รีบไปนำชามาถวาย”
“อ้อ ขอรับๆ” เซี่ยถงรับคำอย่างตกใจ คล้ายเพิ่งหายตกใจกับการมาเยือนของธิดาเทพ ก่อนจะรีบไปเตรียมชาอย่างรีบร้อน
เซี่ยฝูอันมองแผ่นหลังของเขาที่หายลับออกไปนอกห้อง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เด็กคนนี้แม้ฉลาดไหวพริบดี แต่อายุยังน้อยนัก จึงยังสะเพร่าอยู่บ้าง เมื่อคืนไม่ระวังทำโอ่งแตก ข้าน้อยอยู่ข้างๆ พอดี เสื้อผ้าจึงเปียกปอน ถึงจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ยังเป็นหวัดอยู่ดี” เอ่ยจบ เขาก็ยกมือปิดปากไอเบาๆ สองสามที เพียงเอ่ยปากไม่กี่ประโยค ก็เอาตัวรอดจากความสงสัยของซูหลี
เสื้อผ้าเปียกน้ำ จึงล้มป่วยนอนติดเตียงลุกไม่ไหว? บังเอิญเกินไปหรือไม่ ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ดูท่าผู้ดูแลเซี่ยสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก”
……………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 363 บุรุษลึกลับ (1)
Posted by ? Views, Released on November 24, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment