ซูหลีตกใจ รีบถามหวั่นซิน “เกิดเรื่องใดขึ้น?”
หวั่นซินตอบว่า “เมื่อคืนมีชายชุดดำสามคนบุกเข้าไปลอบสังหารทูตจากแคว้นเฉิง สุดท้ายก็จุดไฟเผาโรงเตี๊ยมจนไหม้หมดเลยเจ้าค่ะ!”
ซูหลีตกตะลึง “มีคนบาดเจ็บล้มตายหรือไม่?”
หวั่นซินขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ยังไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ได้ยินว่าเมื่อคืนจางฝู่เดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันทีเลยเจ้าค่ะ”
ซูหลีตึงเครียด ผู้ใดกันบังอาจลอบสังหารทูตจากแคว้นเฉิงเช่นนี้? เฉิงเปี้ยนเพิ่งจะเจรจาสงบศึก พฤติกรรมเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสายสัมพันธ์ที่เพิ่งผ่อนคลายลงของทั้งสองแคว้นอย่างเห็นได้ชัด หรือว่า…มีคนรู้ตัวตนของเขาแล้ว?
ซูหลีใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงขรึม “บอกให้ฉินเหิงไปสืบมาให้ชัดเจน นอกเหนือจากนี้…ส่งคนไปจับตาดูคณะทูตเพิ่ม และให้เคลื่อนไหวตามสถานการณ์”
หวั่นซินชะงักเล็กน้อย “จับตาดูคณะทูตหรือเจ้าคะ?”
ซูหลีกล่าวอย่างจนใจ “เขามาด้วย”
หวั่นซินเข้าใจประเด็นสำคัญของสถานการณ์ในยามนี้ทันที นางรีบพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”
“อาหลีน้อย!” หวั่นซินเพิ่งออกไปได้ไม่นาน หยางเซียวก็พรวดพราดเข้ามา คิ้วที่ขมวดกันแน่นพลันคลายออกเมื่อเห็นหน้าซูหลี เขายิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่? ข้าคิดถึงเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”
“ท่านมาได้อย่างไร?” ซูหลีตกใจเล็กน้อย
“ข้ามาเยี่ยมเจ้าน่ะสิ!” หยางเซียวฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูหลียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าสบายดี อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
หญิงงามเป็นฝ่ายแสดงความเป็นห่วงก่อน หัวใจของหยางเซียวพลันแจ่มใสเบิกบาน รีบฉวยโอกาสซบหัวลงบนไหล่นางอย่างออดอ้อน แล้วพึมพำเสียงเบาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “สี่สิบไม้เชียวนะ! จะหายดีเร็วปานนั้นได้เช่นไรกัน! สองวันก่อนเพิ่งจะลุกจากเตียงได้ ไม่ได้เจอเจ้าหนึ่งเดือน ข้าคิดถึงจนทนไม่ไหว ฉวยโอกาสตอนเสด็จพ่อมัวแต่ยุ่งกับการต้อนรับทูต ข้าเลยแอบย่องออกมา”
ซูหลีผลักเขาออก แล้วถามคล้ายไม่ใส่ใจ “ทูต? ทูตอันใดหรือ?”
“ทูตจากแคว้นเฉิงอย่างไรเล่า? เจ้าไม่รู้หรือ” หยางเซียวหยักยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแฝงความหมาย
ซูหลีกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ข้าอยู่ที่นี่จะรับรู้เรื่องราวข้างนอกได้อย่างไรกัน?”
“นั่นก็จริงอยู่หรอก” หยางเซียวทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่กี่วันก่อนทูตจากแคว้นเฉิงเดินทางมาลงนามสัญญาสงบศึก นึกไม่ถึงจู่ๆ ก็เกิดการลอบสังหารขึ้นที่โรงเตี๊ยม เปลวไฟแผดเผาทุกอย่างจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก! โชคดีที่คณะทูตไม่มีคนบาดเจ็บหรือล้มตาย มิเช่นนั้น…ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน” เขาพูดพลางชำเลืองมองซูหลี คล้ายกำลังสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของนาง
ไม่มีใครบาดเจ็บหรือล้มตาย เช่นนั้นตงฟางเจ๋อย่อมปลอดภัย ซูหลีคลายใจลงเล็กน้อย แต่ภายนอกกลับกล่าวด้วยใบหน้าตกใจ “ผู้ใดกันบังอาจถึงเพียงนี้! ฝ่าบาทมีรับสั่งเช่นไรบ้าง?”
“เสด็จพ่อรับสั่งให้ข้าตรวจสอบเรื่องนี้ และต้องจับตัวคนร้ายให้ได้ เพื่อให้คำอธิบายแก่ทูตจากแคว้นเฉิง แต่มีเรื่องหนึ่ง…ที่ทำให้ข้าแปลกใจมาก” พูดมาถึงตรงนี้ หยางเซียวพลันเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง เขามองหน้าซูหลีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ในดวงตามีแววหยั่งเชิง
ซูหลีเหลือบมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “แปลกใจอะไรหรือ? เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้พูดจามีลับลมคมในนักเล่า?”
หยางเซียวยิ้มเบาๆ แล้วกล่าวว่า “โรงเตี๊ยมถูกเผา เดิมเสด็จพ่อหมายจะจัดที่พักให้พวกเขาในวัง เพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิต นึกไม่ถึงว่าทูตจางฝู่ผู้นั้นกลับปฏิเสธทันควัน ยืนยันจะมาพักที่วัดหวงผู่ให้ได้ ข้าคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ไม่ยอมพักอย่างสะดวกสบายในวังหลวง แต่กลับดึงดันจะมาพักในวัดกันดารเช่นนี้”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ทูตยืนยันจะมาพักที่นี่…หรือว่าการลอบสังหารครั้งนี้เป็นอุบายของตงฟางเจ๋อ? ไม่ เขารู้แล้วว่านางอยู่ที่นี่ แล้วยังสามารถฝ่าด่านค่ายกลเจ็ดดาวเหนือเข้ามาได้ อยากมาเมื่อใดก็มาได้ แล้วจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร? นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะถามหยางเซียวมากนัก ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฮ่องเต้ให้ท่านสืบเรื่องนี้ ท่านพบเบาะแสใดบ้างหรือยัง?”
ใบหน้าหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาแสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ในโรงเตี๊ยมยังไม่มีเบาะแสใด แต่ข้าพอจะเดาได้แล้วว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลัง!”
ซูหลีประหลาดใจเล็กน้อย “ใครหรือ?”
หยางเซียวค่อยๆ เงยหน้า สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เสด็จอา”
เสด็จน้างั้นหรือ? ซูหลีถาม “เหตุใดจึงคิดเช่นนี้?”
หยางเซียวกล่าวเสียงเย็น “ไม่กี่วันก่อนเสด็จพ่อมีพระประสงค์เรียกคืนอำนาจทางทหารบางส่วนในมือเขา เสด็จอาพยายามบ่ายเบี่ยงทุกวิถีทาง ประวิงเวลาไม่ยอมคืนอำนาจเสียที ยามนี้สัญญาเพิ่งจะถูกลงนามเสร็จสิ้น ก็มีคนลอบสังหารคณะทูต เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น”
ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตนเองถูกต้อง อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเคียดแค้นต่ออีกว่า “ทันทีที่ความสัมพันธ์ของสองแคว้นแย่ลง การเจรจาสงบศึกล้มเหลว จะต้องเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งแน่นอน และเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม เสด็จพ่อก็ทำได้เพียงล้มเลิกการเรียกคืนอำนาจทางทหารเท่านั้น!”
“ท่านกล่าวมีเหตุผลไม่น้อย” ซูหลีนึกถึงเรื่องที่หยางเจิ้นมาหานางก่อนหน้านี้ เขาพูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนต้องการลดทอนอำนาจทางทหารในมือเขาจริงๆ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวตักเตือนเขาอย่างใจเย็น “แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของท่าน ยังไม่มีหลักฐานมัดตัว”
“หลักฐานหรือ? การที่เขาคิดจะฆ่าข้าเพราะความแค้นในอดีตก็คือหลักฐานที่ดีที่สุดแล้ว! เรื่องนี้เจ้าเองก็เห็นกับตา! เขาคิดแต่จะแก้แค้น!” หยางเซียวตะโกนออกมาอย่างลืมตัว น้ำเสียงแฝงแววปวดใจ และไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้ามักจะไม่เชื่อคำพูดของข้าเสมอ?”
“หยางเซียว ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อท่าน” ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องใช้หลักฐาน เรื่องครั้งก่อน เสด็จน้าไม่อาจหลุดพ้นจากความน่าสงสัยได้จริงๆ เรื่องนี้ข้าไม่เคยปฏิเสธ แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่มีหลักฐาน ข้าเข้าใจความรู้สึกท่าน แต่จะลงโทษผู้ใดมิอาจใช้เพียงการสันนิษฐาน ก่อนที่จะสืบเรื่องจริงให้กระจ่างชัด ไม่ว่าใครก็มิอาจตัดสินส่งเดชได้”
หยางเซียวจ้องหน้านางด้วยสายตาแน่วแน่ “หากหาหลักฐานได้เจ้าจะเชื่อใช่หรือไม่?!”
“ข้าบอกแล้ว ต้องมีหลักฐานจึงจะตัดสินโทษได้” นางกล่าวเสียงขรึม
หยางเซียวลุกขึ้นยืน แล้วพูดเสียงดัง “ข้าจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้เจ้าเห็นให้ได้!” เขาเดินสาวเท้ายาวๆ พรวดพราดออกไปเหมือนตอนเข้ามาไม่มีผิด ทว่าครั้นเดินไปถึงหน้าประตูกลับหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วหันกลับมามองซูหลีด้วยสีหน้าสับสน และอ้างว้างอย่างปิดไม่มิด “ข้าคิดมาโดยตลอด หากวันนั้นมาถึงจริงๆ เจ้าจะยืนอยู่ข้างข้าหรือไม่?”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางไม่เอ่ยคำใด เพราะนางเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน
ความเงียบของนางไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นที่มุมปากของเขา หยางเซียวหันกลับไป แล้วเดินออกจากสวนเซียนจวี้ไปโดยไม่ชะงักหยุดอีก
ยามพลบค่ำ ฉินเหิงส่งข่าวมา คณะทูตจากแคว้นเฉิงเดินทางกลับมายังวัดหวงผู่ในยามเซิน[1]หนึ่งเค่อ[2] แล้วเข้าพักในเรือนรับรองแขกที่อยู่ทางทิศตะวันตกของวัด สัญชาตญาณบอกซูหลีว่าตงฟางเจ๋อจะต้องมาหานางในคืนนี้อย่างแน่นอน ตามคาด ใกล้ยามซวี[3] บานประตูถูกเปิดออกเสียงเบา เงาดำสายหนึ่งโฉบเข้ามาอย่างไร้ซุ่มเสียง
ซูหลีทำราวกับไม่รับรู้ ยังคงจดจ้องอยู่กับหนังสือในมือ เขาเดินตรงมาด้านหลังนาง แล้วโน้มกายเข้ามาใกล้ “จริงจังถึงเพียงนี้ กำลังอ่านสิ่งใดอยู่หรือ?”
ซูหลีไม่สนใจเขา เขาเองก็ไม่โกรธ เดินไปนั่งลงด้านข้าง แล้วยิ้มมองนางอยู่อย่างนั้น กระทั่งนางพลิกหนังสือหมดไปหนึ่งเล่ม เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็ถูกเขากุมมือไว้แน่น
“ปล่อยข้า” ประกายโกรธเกรี้ยวอัดอั้นอยู่ในดวงตานาง
เขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่กลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าอุตส่าห์มาทั้งที ซูซูต้อนรับแขกเช่นนี้หรือ?”
“ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีฐานะสูงส่ง ซูหลีไม่มีปัญญาต้อนรับขับสู้ เชิญเถิดเพคะ” นางออกแรงดึงมือกลับ แล้วเดินไปนั่งลงตรงขอบเตียง
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ “ข้าทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้พักใกล้เจ้า นึกไม่ถึง…”
ซูหลีลุกขึ้นยืน สายตาที่ตวัดมองเขาแฝงแววเย็นชา “ฝ่าบาทพอพระทัยในเรือนรับรองของวัดหวงผู่หรือไม่เล่าเพคะ?”
…………………………………………
[1] ยามเซิน หมายถึงช่วงบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น
[2] เค่อ หน่วยเวลาของจีน โดยหนึ่งเค่อ เท่ากับ สิบห้านาที
[3] ยามซวี หมายถึงช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม