“เจ้ารู้แล้วหรือ?” ตงฟางเจ๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง ลอบพิจารณาสีหน้าเย็นชาของนาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนทำ?”
หัวใจซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย นางจ้องหน้าเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร
“ข้ายอมรับ ว่าเรื่องที่ยืนยันจะมาพักที่วัดหวงผู่เป็นความคิดของข้า นั่นเพราะข้าอยากอยู่ใกล้เจ้า แต่เรื่องการลอบสังหาร ข้าเพียงแต่…ช่วยวางเพลิงนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่านั้น”
นางตกใจเล็กน้อย ถามว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นมือสังหารพุ่งเป้าไปที่ท่าน? หรือมีเป้าหมายอื่น?”
ตงฟางเจ๋อเดินไปนั่งข้างๆ นาง “พวกเขามากันสามคน วางยาสลบในอาหารเย็น แล้วลงมือหลังจากตกดึก เป้าหมายของพวกเขาคือจางฝู่ น่าจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า สองคนถูกจับกุม แต่กินยาพิษฆ่าตัวตาย อีกหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บแต่หนีไปได้ คนที่หนีไปมีวรยุทธ์ไม่เลว น่าจะเป็นหัวหน้าของสองคนนั้น วรยุทธ์ของคนผู้นั้นแข็งแกร่งทรงพลัง ไม่ค่อยเหมือนนักฆ่ามืออาชีพในยุทธจักร ต่อมาข้าสั่งให้คนวางเพลิง และส่งจางฝู่ไปพบฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน”
“พบเบาะแสอะไรจากสองคนที่ฆ่าตัวตายหรือไม่?”
“ไม่พบอะไรเลย สะอาดหมดจดมาก”
ซูหลีจมสู่ห้วงความคิด ไม่มีเบาะแส เช่นนั้นหากจะสืบเรื่องนี้ก็คงยาก มือสังหารไม่รู้ตัวตนของตงฟางเจ๋อ คล้ายทำไปเพราะต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น หรือจะเป็นอย่างที่หยางเซียวบอก เป็นฝีมือของเสด็จน้าจริงๆ?
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดเรื่องในใจ ตงฟางเจ๋อเห็นนางวิตกกังวล ก็อดถอนหายใจไม่ได้ เขาถามนาง “เจ้าต้องการตามหาผู้บงการเบื้องหลังหรือ?”
ซูหลีมองเขาแวบหนึ่ง นึกได้ว่าเขาเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ ก็อดถามไม่ได้ “ท่านคิดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด?”
ตงฟางเจ๋อยิ้มบางๆ “คิดว่าเป็นผู้ใดแล้วอย่างไรเล่า? เรื่องนี้มีคนตามสืบอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้ข้าเป็นห่วง”
นางจ้องหน้าเขา ถามด้วยความสงสัย “ท่านไม่กังวลหรือ? ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการทำลายแผนการใหญ่ของท่าน ท่านไม่อยากรู้สักนิดเลยหรือว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”
เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักงันไปเล็กน้อย “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับเซียวอ๋องขัดแย้งกันมาเนิ่นนาน เซียวอ๋องมีกำลังทหารสำคัญอยู่ในมือ ซ้ำยังมีกองทัพรุ่ยเฟิงอยู่ใต้อำนาจอีกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะไม่หวาดระแวง และอยากกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด ข้ามาเจรจาสงบศึก ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจึงมีโอกาสลดทอนอำนาจทหารในมือเซียวอ๋อง ตามหลักแล้ว…”
“ท่านเองก็สงสัยว่าเป็นฝีมือของเซียวอ๋องหยางเจิ้น?” สายตาของซูหลีหม่นลงเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเบา “เขามีความน่าสงสัยและมีแรงจูงใจมากที่สุด แต่ไม่มีหลักฐาน เรื่องนี้ยังไม่อาจตัดสิน ซูซู” เขาขยับเข้ามาโอบนางไว้หลวมๆ “เจ้าเป็นห่วงเซียวอ๋องหรือ?”
นางเงียบงันไม่ยอมตอบ เขาอดถอนใจไม่ได้ “ไม่ว่าจะเป็นใคร การต่อสู้ภายในราชวงศ์ก็ไม่เป็นผลดีต่อแคว้นเปี้ยน เจ้าอยู่ตรงกลาง ยิ่งลำบากใจ อย่าได้บีบคั้นตนเองมากไป รอฟังผลการตรวจสอบจากหยางเซียวอย่างใจเย็น แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีเถิด”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน เหตุใดเขามักอ่านใจนางได้อย่างทะลุปรุโปร่งเสมอ? นางหมุนกายหนีไม่มองหน้าเขา แล้วกล่าวเสียงแข็ง “ดึกมากแล้ว ข้าจะเข้านอนแล้ว”
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างไกลออกไปท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด
หลายคืนหลังจากนั้น ตงฟางเจ๋อจะมาหานางในยามซวี และจากไปในยามไฮ่[1]เสมอ ส่วนมากนางจะทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน จดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ สนทนาสัพเพเหระกับเขาด้วยท่าทีเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์บ้างเป็นบางครั้ง พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย เขากลับมีความอดทนสูงมาก ราวกับเพียงได้นั่งมองนางเงียบๆ เขาก็พอใจมากแล้ว
พลบค่ำของวันนี้ แสงอาทิตย์ยามอัสดงงดงามมาก หลังอาหารเย็นซูหลีออกมาเดินเล่นนอกสวนเซียนจวี้ ด้านหน้าวิหารไท่อัน สายลมอ่อนๆ พัดพาเอาอากาศเย็นสดชื่นในป่าโชยมา ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
พลันนั้น เสียงร้อง ‘อ๊าก’ อย่างโหยหวนก็ดังมาจากด้านหน้า ทำลายความเงียบสงบอันผ่อนคลายลงในพริบตา ซูหลีได้ยินเสียงก็เดินไปดู ค้นพบว่าจุดที่เสียงนั้นดังมา เป็นตำแหน่งของค่ายกลเจ็ดดาวเหนือที่อยู่ในป่าผืนเล็กนอกวัดหลวงพอดี!
มีคนบุกเข้ามาในค่ายกล!
ซูหลีรีบพุ่งตัวเข้าไปสังเกตการณ์ด้านนอกค่ายกลเจ็ดดาวเหนือทันที แต่กลับไม่กล้าเข้าไปใกล้มากกว่านั้น ไม่นานเสียงบุรุษอันคุ้นหูก็ดังตามมาติดๆ “รนหาที่ตายนัก! ดูซิเจ้าจะหนีไปที่ใดได้อีก! บอกมา! ผู้ใดส่งเจ้ามา?”
เป็นหยางเซียว! หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน นางตะโกนถามทันที “หยางเซียว! เกิดเรื่องใดขึ้น?!”
หยางเซียวลิงโลด รีบตะโกนเรียกนางทันที “อาหลีรีบมาช่วยข้าเร็ว! เดินเข้ามาในค่ายกลยี่สิบก้าว แล้วเลี้ยวไปทางซ้ายสิบห้าก้าว!”
ซูหลีเดินเข้าไปในป่าผืนนั้นทันที รอบกายเต็มไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดฟ้า ใต้เท้าไร้เส้นทางให้เดินต่อ นางเดินหน้าตามที่เขาบอกอย่างระมัดระวัง สายตาไม่วอกแวก ยามนางเดินเข้าไปจนเกือบชนต้นไม้สูงใหญ่เหล่านั้น พวกมันอันตรธานหายไปทันที ทั้งหมดนี้เป็นภาพลวงตาจริงๆ ด้วย!
ยามซูหลีก้าวเท้าก้าวสุดท้าย เบื้องหน้าพลันปรากฏทุ่งหญ้าเล็กๆ ผืนหนึ่ง ตรงกลางทุ่งหญ้ามีพระภิกษุห่มจีวรสีเทารูปหนึ่งนอนล้มอยู่ หยางเซียวนั่งอยู่ข้างกายเขา ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงยหน้ามองมา แล้วกล่าวเสียงร้อนใจ “รีบมาช่วยข้าเร็ว!”
ซูหลีรีบสาวเท้าเดินเข้าไป เห็นเพียงพระภิกษุรูปนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เลือดไหลออกจากมุมปาก หายใจรวยริน สายตากลับเหี้ยมเกรียมอำมหิต
กลิ่นคาวเลือดโชยมา ซูหลีตั้งใจดมอย่างละเอียด แล้วกล่าวเสียงเข้ม “เขากินยาพิษสลายวิญญาณ ไม่มีทางรอดแล้ว”
พิษสลายวิญญาณเป็นยาพิษชนิดร้ายแรง กลืนลงท้องเมื่อใดก็ไร้โอกาสรอดชีวิต หยางเซียวตกใจ กระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาตะคอกถาม “บอกมาเดี๋ยวนี้ ผู้ใดสั่งให้เจ้าลอบสังหารกันแน่?”
พระรูปนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง โลหิตทะลักออกจากปากเขา ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นหลายส่วน เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “เลิกเพ้อฝันเถิด แม้ตายข้าก็ไม่มีวัน…บอกเจ้า…” เอ่ยจบ ศีรษะของเขาพลันเอียงตกไปอีกทาง สิ้นใจไปทั้งอย่างนั้น
หยางเซียวลุกขึ้นยืน เตะเขาอย่างเดือดดาล แล้วคำรามอย่างเจ็บใจ “ใกล้จะได้เรื่องแล้วแท้ๆ สมควรตายยิ่งนัก!”
“เขาเป็นใคร? เหตุใดจึงบุกเข้ามาในค่ายกล?”
หยางเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ “หลายวันมานี้ข้าตามหามือสังหารที่หนีไปทั่วเมือง แต่ก็ไม่เจอตัวสักที ประจวบเหมาะวันนี้ข้าได้รับบัญชาจากเสด็จพ่อให้มาเยี่ยมทูตจากแคว้นเฉิง แล้วบังเอิญเห็นเขาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่นอกเรือนรับรองพอดี องครักษ์ของข้าเห็นว่าเขาน่าสงสัย จึงเดินเข้าไปถามไถ่ นึกไม่ถึงยิ่งถามยิ่งน่าสงสัย! เขาเผยพิรุธ จึงหนีขึ้นมาบนเขา สุดท้ายไร้ทางหนี เลยบุกเข้ามาในค่ายกลนี้! น่าเสียดาย ข้าหมายจะจับตัวเขาเพื่อถามว่าใครคือผู้บงการแท้ๆ!”
ซูหลีเอ่ยเสียงขรึม “สำรวจดูให้ละเอียด บางทีอาจเจอเบาะแสอะไร” นางสำรวจอย่างใกล้ชิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาพลันตึงเครียด รีบดึงสาบเสื้อเขาออก แล้วลูบคลำตรงลำคอเขา “เขาแปลงโฉมมา!” ขณะกล่าว มือเรียวบางก็กระชากหน้ากากหนังคนออกทันที เผยให้เห็นใบหน้าที่เริ่มดำคล้ำซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หยางเซียวถามด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาแปลงโฉม?”
ซูหลีกางหน้ากากออก แสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยเห็นใครที่ถูกพิษสลายวิญญาณแล้วสีหน้ายังเป็นปกติอยู่!”
หยางเซียวจ้องหน้าคนผู้นั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหตุใดคนผู้นี้จึงดูคุ้นตานัก? ชั่วช้ายิ่งนัก ถึงขั้นกล้าปลอมตัวเป็นพระ ทั้งที่ไม่ได้มีจิตใจเมตตาปรานีแม้แต่น้อย!” ว่าพลางหยางเซียวก็เตะเขาด้วยความแค้นอีกหนึ่งครั้ง ศพกลิ้งไถลไปกับพื้น ลูกประคำบนคอของพระรูปนั้นกระแทกกับพื้นดัง ‘ตึง’
ซูหลีกับหยางเซียวมองหน้ากัน พลันบังเกิดความสงสัย ลูกประคำทำจากไม้ ถึงแม้จะมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่ยามตกกระแทกพื้นไม่มีทางส่งเสียงเช่นนี้แน่นอน
ซูหลีถอดสร้อยลูกประคำออกมาแล้วชั่งน้ำหนักด้วยมือ พลันรู้สึกถึงความผิดปกติทันที หลังจากตรวจสอบดูทีละเม็ด ค้นพบว่าลูกประคำเม็ดหนึ่งในนั้นมีน้ำหนักมากกว่าลูกประคำเม็ดอื่น ครั้นเพ่งมองอย่างละเอียด กลับพบว่ามีรอยแตกเล็กน้อย ซูหลีฉงนฉงาย จึงขว้างสร้อยลูกประคำลงกับพื้นอย่างแรง เมื่อกระแทกกับพื้น ลูกประคำพลันแตกออกเป็นสองส่วน วัตถุสีทองเหลืองชิ้นหนึ่งพลันร่วงออกมาจากข้างใน
…………………………………………
[1] ยามไฮ่ หมายถึงช่วงสามทุ่มถึงห้าทุ่ม