กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 409 ก่อนพายุฝนจะมาเยือน (6)

“ผ่านไปเพียงหนึ่งปี องค์ชายสี่จำกระหม่อมหลินเทียนเจิ้ง ผู้ที่เคยทำนายชะตาให้พระองค์มิได้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มบางเบา เขาชำเลืองมองซูหลีเล็กน้อย คล้ายไม่ได้ตั้งใจ
สายตาของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหวานละมุน ลมหายใจของซูหลีสะดุดกึก กลับไม่กล้าสบตาเขา รู้สึกเพียงหัวใจของตนเองเต้นเร็ว จนแทบกระเด็นออกมานอกทรวงอก
หยางเซียวอึ้งไปเล็กน้อย ภาพตรงหน้าเสียดแทงหัวใจเขาอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าเขาสับสนแปรปรวน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเผยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น “ใต้เท้าหลินสามารถดูดาวทำนายชะตาได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติ ข้าย่อมจำท่านได้อย่างแม่นยำ จะลืมได้เช่นไรเล่า ไม่แน่ภายหน้า ข้าอาจมีเรื่อง…ให้ใต้เท้าหลินช่วยเหลือ” เขาพูดพลางเงยหน้าเล็กน้อย จ้องตงฟางเจ๋อด้วยสายตาซับซ้อน
ซูหลีแปลกใจ หยางเซียวกลับไม่เปิดโปงตัวตนเขา? นางลอบคลายใจอย่างไม่รู้ตัว พลันนึกขึ้นได้ ตงฟางเจ๋อกับหยางเซียวเคยสนทนากันอย่างลับๆ ในรถม้า จากนั้นหยางเซียวจึงได้ตัดสินใจปล่อยเขาออกจากเมือง และยามนี้หยางเซียวยังเอ่ยวาจาแฝงความนัยอีก
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจ้องมองบุรุษที่ยืนอยู่กลางตำหนัก เขามองพิจารณาอยู่นาน ตอนที่สองแคว้นลงนามในสัญญาสงบศึก จางฝู่เป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่าง เขากลับไม่เคยสังเกตเห็นคนที่โดดเด่นถึงเพียงนี้อยู่ในคณะทูตเลยสักนิด
“ฝ่าบาท” ตงฟางเจ๋อเก็บงำสีหน้า สายตาของเขาคมปลาบ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ดูท่าแล้ว แคว้นของพระองค์มิได้มีความจริงใจที่จะเจรจาสงบศึกกับแคว้นเฉิงของเราเท่าใดนัก เรื่องนี้ กระหม่อมจำต้องทูลฝ่าบาทของเราอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้พระองค์ทรงพิจารณาเงื่อนไขในการเจรจาสงบศึกใหม่อีกครั้ง!”
“การเจรจาเสร็จสิ้นไปแล้ว จะกลับไปกลับมาได้เยี่ยงไรกัน?” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหน้าเปลี่ยนสี เห็นชัดว่าตกตะลึงไม่น้อย
จางฝู่กล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ผู้ที่กลับไปกลับมาเป็นฝ่ายพระองค์มากกว่ากระมัง! การเจรจาสงบศึกคราที่แล้วในหมู่บ้านตังอวี๋ฝ่ายพระองค์ก็กระทำตนไร้ความน่าเชื่อถือ ลอบซุ่มสังหาร ฝ่าบาทของเรามองการณ์ไกล น้ำพระทัยกว้างขวาง ไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีต เจรจากับฝ่ายพระองค์ด้วยความจริงใจ นึกไม่ถึงว่าจะลงเอยแบบนี้อีก!”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนปวดแปลบที่หน้าอก เขาสูดหายใจลึกๆ พยายามอธิบาย “เรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ ข้าจะสั่งให้คนเร่งสืบหาความจริงโดยเร็ว จะต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่พวกท่านอย่างแน่นอน ส่วนสัญญาสงบศึก…”
ตงฟางเจ๋อกล่าวแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เนื้อหาในสัญญาสงบศึก รอให้กลับไปทูลฝ่าบาทของเราก่อน แล้วค่อยกลับมาหารือกับพระองค์อีกครั้ง พวกกระหม่อมทูลลา” เอ่ยจบ เขาก็เดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับพวกจางฝู่
ครั้นแผ่นหลังของคณะทูตจากแคว้นเฉิงค่อยๆ ห่างไกลออกไป ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจึงค่อยละสายตากลับมา แล้วหันไปถมึงตาจ้องหยางเจิ้น เขาโกรธเกรี้ยวสุดแสน ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้! ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธ
หยางเจิ้นหรี่ตา แสยะยิ้มชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า “คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เงื่อนไขในการเจรจาครั้งนี้มากพอที่จะหักล้างภาษีของแคว้นเปี้ยนได้ถึงสามปี ยามนี้…สถานการณ์กลับย่ำแย่ลง”
แววเหน็บแนมในวาจาของเขาชัดเจนอย่างไม่คิดปิดบัง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ทว่ากลับถลึงตาจ้องหยางเจิ้นไม่วางตา พยายามคุมสติที่เหลืออยู่น้อยนิด แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “หยางเจิ้น…เจ้าลบหลู่เบื้องสูง ข้าขอสั่งให้ถอดยศอ๋องขั้นสูงสุด ยึดคืนอำนาจทางทหาร ลดขั้นเป็นอ๋องขั้นรอง และให้ส่งมอบตรากองทัพคืนภายในสามวัน กลับจวน…ปิดประตูทบทวนความผิด!”
สายตาของหยางเจิ้นที่มองฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจากที่ไกลๆ เหมือนดั่งบ่อน้ำแข็งในฤดูหนาว ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย หยางเจิ้นมองหน้าเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะเย็นชา จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ตำหนักฉินเจิ้งเงียบงันไร้เสียง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรสักคำ
ซูหลีลอบถอนหายใจเบาๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้นางตื่นตกใจไม่น้อย อีกนิดเดียว สถานการณ์ก็จะดำเนินไปถึงขั้นที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว ตงฟางเจ๋อปรากฏตัวได้ทันเวลา เพียงวาจาสองสามประโยคก็ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างอยู่หมัด เจรจาเงื่อนไขกันใหม่ ถือเป็นข่าวร้ายที่สุดสำหรับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน เขาเข้าใจเป็นอย่างดี ปัญหาภายนอกยังไม่ทันคลี่คลาย หากสร้างปัญหาภายในขึ้นมาอีก สถานการณ์จะต้องปั่นป่วนอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย! ฉะนั้นจึงจำต้องข่มกลั้นความโกรธ และปล่อยเสด็จน้าไปก่อน
นางลอบถอนหายใจเงียบๆ พลันนั้นเสียง ‘โครม’ ดังมาจากทางบันไดสู่บัลลังก์ นางตกใจ รีบเงยหน้า เห็นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนใบหน้าซีดขาว ล้มอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงาน
“เสด็จพ่อ!” หยางเซียวตกใจหน้าถอดสี รีบพุ่งตัวเข้าไปทันที
แคว้นเปี้ยนและแคว้นเฉิงเจรจาต่อรองเฉพาะกิจหลายครั้ง เงื่อนไขในสัญญาเจรจาสงบศึกถูกวางขึ้นใหม่ จำนวนเงินที่แคว้นเฉิงจ่ายชดเชยลดลงไปมาก แคว้นเปี้ยนเสียหายอย่างหนัก ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกลัดกลุ้มใจ ฉะนั้นจึงล้มป่วยนอนติดเตียง
หยางเซียวได้รับพระบัญชาให้ว่าราชการแทน ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสะสางราชกิจทั้งวัน ทุกเช้าเย็นจะต้องไปเยี่ยมฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างสม่ำเสมอ ส่วนคดีที่ทูตจากแคว้นเฉิงถูกลอบสังหาร กรมอาญาสืบไม่พบเบาะแสใหม่ ทำได้เพียงหยุดสืบไปก่อนชั่วคราว
ในเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน พายุฝนคล้ายเริ่มตั้งเค้า
ระหว่างนี้ หยางเจิ้นส่งคนมาเชิญซูหลีให้ไปเยี่ยมเยียนหยางเหยียนอยู่บ่อยๆ ครั้นนึกถึงเด็กหน้าตาน่ารักคนนั้น ซูหลีก็ปฏิเสธไม่ลง มีเวลาเมื่อใดก็ไปเล่นกับหยางเหยียนนานกว่าครึ่งค่อนวัน แม้หยางเหยียนจะยังเด็ก แต่กลับฉลาดมาก เขาสนิทสนมกับซูหลีมาก เพียงไม่กี่วัน นางก็ชอบเด็กคนนี้จากใจจริง และเห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ
ยามบ่ายของวันนี้ ซูหลีมีเวลาว่าง จึงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนเซียวอ๋อง เพิ่งจะเข้าเมือง ก็ถูกคนขวางทาง
หวั่นซินหมายจะตวาดถาม องครักษ์ชุดเขียวผู้หนึ่งก็สาวเท้าเร็วๆ มาหยุดหน้ารถม้าของซูหลี แล้วก้มศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่านของข้าเชิญแม่นางไปนั่งรถม้า และร่วมเดินทางไปด้วยกันขอรับ”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ได้ยินหวั่นซินถาม “นายท่านของเจ้าคือผู้ใด?”
องครักษ์ผู้นั้นไม่ตอบ เพียงยื่นถุงผ้าหอมฝีมือประณีตงดงามใบหนึ่งให้อย่างนอบน้อม หวั่นซินเปิดออกดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบนำเข้าไปมอบให้ซูหลีในรถม้า
มันคือตราประทับหยกสีใส ที่นอนส่องแสงอ่อนๆ อยู่กลางฝ่ามือซูหลี และอักษรงดงามที่สลักอยู่บนตราประทับก็ได้สลักลึกลงในความทรงจำของนางนานแล้ว
นางแหวกม่านรถขึ้น หน้าต่างรถกึ่งโปร่งแสงของรถม้าคันที่อยู่ข้างหน้าสะท้อนเงาร่างเลือนรางของคนผู้หนึ่ง หนึ่งปีก่อน ตอนที่เขาถูกขังในคุกมืด เคยฝากฝังตราประทับนี้รวมถึงทุกอย่างในจวนไว้ในมือนาง ยามนี้ก็สั่งให้คนนำตราประทับนี้มาเชิญนางให้นั่งร่วมทางไปด้วยกันอีก หมายความว่าเช่นไรกัน?
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายซูหลีก็ขึ้นรถคันนั้น ม่านรถเพิ่งถูกแหวกเปิด มือข้างหนึ่งก็ยื่นมากุมมือนางแน่นๆ หัวใจของนางสั่นไหว ยามนี้อยู่ในฤดูใบไม้ร่วง กลางวันอากาศไม่ได้หนาวเหน็บ แต่มือของเขากลับเย็นเฉียบเล็กน้อย
นางเงยหน้า สบเข้ากับสายตาอันเปล่งประกายลึกล้ำของเขา แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ยิ่งขับเน้นให้ดูหล่อเหลาไร้ที่ติ
ซูหลีดึงมือออกจากมือเขา เขาชะงักไปเล็กน้อย คล้ายปวดใจ แต่กลับไม่พูดอะไร
ม่านรถถูกปล่อยลง แสงสว่างถูกปิดกั้นไว้ด้านนอก ด้านในรถมืดสลัวเล็กน้อย แต่พวกเขาต่างมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ซูหลีส่งตราประทับหยกคืนให้เขา ทำให้สัมผัสถูกปลายนิ้วมือของเขาอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ หัวใจพลันเจ็บแปลบ นางรีบหดมือกลับ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “ได้ยินว่าเรือนรับรองแขกซ่อมแซมเสร็จแล้ว”
ตงฟางเจ๋อหลุบตา สายตาจดจ้องมองตราประทับหยกนั้น แล้วรับคำอย่างใจลอย “ใช่” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็กระแอมไอออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
บนโต๊ะในรถม้ามีชาร้อนวางอยู่หนึ่งถ้วย ซูหลีหยิบให้เขาโดยสัญชาตญาณ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านควรกลับไปพักที่เรือนรับรอง”
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาอ่อนโยน นัยน์ตาแฝงรอยยิ้มรางๆ ความรักอันหวานละมุนนั้นราวกับไม่มีทางเลือนหายไป
ซูหลีเบนหน้าหนี แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์ริมถนนนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “มีเรื่องใด?”
……………………………
Related

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset