“เรื่องในวังครั้งก่อน ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับเซียวอ๋องได้ปะทะกันซึ่งหน้าแล้ว ความสงบในยามนี้เกรงว่าจะคงอยู่ไปได้อีกไม่นาน ทั้งสองฝ่ายจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแน่นอน เจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
เขาลงทุนทำเรื่องให้ยุ่งยากซับซ้อน เพียงเพื่อจะมาเตือนนางเรื่องนี้? ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย เงียบงันไม่พูดจา
ถึงแม้รู้ว่านางมีแผนการในใจ และรู้จักเอาตัวรอดอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวอีกว่า “เจ้าดูแลลัทธิธิดาเทพ แต่กลับใกล้ชิดกับเซียวอ๋อง ย่อมมีคนไม่ไว้ใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
“ท่านคิดว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะทำอะไรข้างั้นหรือ?” นางมองเขาอย่างใจเย็น
สายตาอ่อนโยนของตงฟางเจ๋อพลันเคร่งขรึม กล่าวเสียงเรียบราบ “มีหรือเขาจะไม่กล้า”
ฟังจากน้ำเสียงของเขา เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อยู่อีกมากมาย? คดีทูตถูกลอบสังหาร จนถึงตอนนี้ก็ยังสืบไม่ได้ความ บางทีนี่อาจเป็นผลดีสำหรับเขา เพราะพูดกันตามจริงแล้ว สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์จากคดีลอบสังหารทูตมากที่สุด มีเพียงเขา
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผ่านถนนอันพลุกพล่าน พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่อยู่สองข้างทางตะโกนขายของ ทำให้บรรยากาศภายในรถดูเงียบงันยิ่งกว่าเดิม
ซูหลีครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น “ท่านไปพบฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมาหรือ?”
เขาเข้าใจสิ่งที่นางต้องการสื่อ จึงแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องไปพบคนที่ใกล้จะตายเช่นนั้น”
“ท่านหมายความว่าเช่นไร?” ซูหลีตกตะลึงเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างแฝงความนัย “เสือสองตัวปะทะกัน ย่อมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ”
ซูหลีย่อมกระจ่างดีแก่ใจ เพียงแต่ นางไม่อยากเห็นสถานการณ์โหดร้ายเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วจริงๆ แต่นางรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด การต่อสู้ในครั้งนี้ยากจะจบลงอย่างสงบสุขได้
“ท่าน…คิดว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ?”
ตงฟางเจ๋อมองหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าอยากให้ผู้ใดชนะ?”
วาจานี้ถามได้ประหลาดยิ่งนัก หากนางต้องการให้ผู้ใดชนะ คนผู้นั้นก็จะชนะงั้นหรือ? ซูหลีหนักใจเล็กน้อย เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รั้งอยู่ในแคว้นเปี้ยนต่อ เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงเพื่อได้พบนางมากขึ้น
“ท่านดูใส่ใจต่อการต่อสู้ครั้งนี้มาก?” ถึงแม้นางจะกำลังถามเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับดูมั่นใจ
ในอดีตฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนนั่งมองราชวงศ์เฉิงแย่งชิงอำนาจกัน ทว่ายามนี้สถานการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เช่นนั้น…ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชวงศ์เปี้ยน เขาซึ่งเป็นประมุขแห่งแคว้นเฉิงจะแสดงบทบาทเช่นใด?
“ในสายตาข้า พวกเขาล้วนเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า” สายตาเย็นชาโหดเหี้ยมพาดผ่านใบหน้าของตงฟางเจ๋อ
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเจิ้นต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง สำหรับเขาก็เป็นเพียงละครน้ำดีฉากหนึ่งเท่านั้น เดิมทีเขาจะทำเหมือนหยางเสวียนก็ได้ ที่เพียงนั่งมองเสือสองตัวกัดกัน แล้วเฝ้ารอโอกาสดีๆ เพื่อซ้ำเติมอีกฝ่ายให้ถึงแก่ชีวิต แต่ยามนี้ นางอยู่ในสถานการณ์ด้วย ทุกอย่างจึงแตกต่างออกไป
สำหรับเขา ไม่มีผู้ใดหรือเรื่องใด ที่สำคัญไปกว่านางแล้ว!
“นายท่าน มาถึงจวนเซียวอ๋องแล้วขอรับ” รถม้าพลันหยุดวิ่ง เสียงรายงานอย่างนอบน้อมขององครักษ์ดังเข้ามาจากนอกรถ ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ โดยไม่รู้ตัว รถม้าได้เคลื่อนตัวผ่านเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนมากว่าครึ่งเมืองแล้ว และช่วงเวลาที่เขากับนางได้อยู่ด้วยกัน ก็คล้ายจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปก่อนแล้ว” ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบประโยคหนึ่ง จากนั้นนางก็กระโดดลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในจวนเซียวอ๋องโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์กล่าวเตือนเสียงแผ่วเบา
ตงฟางเจ๋อรับคำเสียงเรียบ ครั้นยาเข้าปาก รสขมฝาดก็แผ่กระจายไปทั่วปาก เขากลับไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงฝืนกลืนยาลงไป
องครักษ์ยื่นน้ำให้เขาอย่างใส่ใจ “ใต้เท้าหลินบอกว่ายานี้ขมมาก ฝ่าบาททรงดื่มน้ำตามหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็น” ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า เอนหลังหลับตาทำสมาธิในรถ ความขมขื่นกลับพรั่งพรูในหัวใจ แม้ยาจะขมอีกเพียงใด จะขมขื่นสู้หัวใจเขาในยามนี้ได้เช่นไร?
ดวงอาทิตย์ยามอัสดงใกล้จะหายลับไปจากเส้นขอบฟ้า จวนเซียวอ๋องในยามพลบค่ำถูกอาบไปด้วยแสงสายัณห์ที่พร่างพราว ภายในจวนยังไม่ทันได้จุดโคมไฟ ซูหลีก็เดินเข้าไปในสวนหลัก ภายในสวนหลักไร้เงาผู้คน เงียบงันจนพาให้รู้สึกประหลาดใจ
‘กา กา!’ เสียงอีการ้องพลันดังมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะ เต็มไปด้วยลางร้าย
หัวใจของซูหลีเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ นางสาวเท้าไปที่ห้องหนังสือของหยางเจิ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเดินไปถึงลานหน้าเรือน ไอสังหารขุมหนึ่งก็ลอยปะทะใบหน้า! บุรุษชุดดำปิดบังใบหน้าหลายคนกระโดดลงมาจากหลังคา แต่ละคนเคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า ไอสังหารแผ่ปกคลุมรอบกายนางในพริบตา
สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางตวาดเสียงเกรี้ยว “ผู้ใดกันใจกล้าถึงเพียงนี้ บังอาจบุกรุกเข้ามาในจวนเซียวอ๋อง?”
บุรุษกลุ่มนั้นเพียงยืนมองนางอยู่กลางลานบ้าน ไม่พูดอะไร และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
สายลมในฤดูใบไม้ผลิก่อตัว กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยโชยมากับสายลม ซูหลีตึงเครียด ขณะคิดจะบุกเข้าไปข้างใน เสียง ‘โครม’ กลับดังสนั่น ประตูห้องหนังสือถูกพลังขุมหนึ่งซัดจนแตกกระเจิงไปทั่วทิศ
หยางเจิ้นพุ่งตัวออกมาจากวงล้อม ท่ามกลางเศษไม้และฝุ่นควัน ครั้นเห็นซูหลี ก็ตะโกนอย่างร้อนใจ “อาหลีหนีไปเร็ว!” เสื้อบนไหล่ซ้ายของเขาถูกดาบแหลมคมฟันจนเป็นรอยขาด รอยแผลถูกฟันปรากฏชัดบนแขน เลือดสีแดงสดไหลออกจากแผล ย้อมแขนเสื้อสีเทาเงินให้กลายเป็นสีแดงไปทั้งแถบ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจอีกครั้ง วรยุทธ์ของเสด็จน้านางเคยเห็นมากับตาตนเอง ผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น! คนเหล่านี้เป็นใครกันแน่?
สถานการณ์คับขัน นางไม่มีเวลาคิดมากอีก รีบรวบรวมชี่แท้กลางฝ่ามือ แล้วซัดออกไปยังบุรุษชุดดำที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า ขุมพลังแข็งแกร่งเหมือนดั่งก้อนหินขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกดทับลงมาจากเหนือศีรษะ คนผู้นั้นตกตะลึง รีบโฉบกายหลบหลีก ซูหลีฉวยโอกาสพาร่างกายตนเองเหินทะยานขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งไปหาหยางเจิ้นทันที กล่าวอย่างเป็นห่วง “เสด็จน้า อาการบาดเจ็บของท่าน…”
“ไม่เป็นไร! อาหลี เจ้าไม่ต้องสนใจน้า รีบหนีไปเร็ว!” นัยน์ตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขาตวัดสายตาหันกลับไป บุรุษชุดดำอีกหลายคนวิ่งตามออกมาจากห้องหนังสือติดๆ
สีหน้าซูหลีเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำ ไร้วี่แววแห่งความกลัว นางกล่าวเสียงขรึม “อาหลีไม่มีวันทิ้งเสด็จน้าไว้เพียงผู้เดียว!” นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค บุรุษชุดดำเบื้องหน้าก็พุ่งตัวเข้ามา สายตานางคมปลาบ เงาร่างโฉบไหว ยืนขวางด้านหน้าหยางเจิ้นทันใด มือบางพลันโบกสะบัดกลางอากาศ
พลังขุมนั้นน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ บุรุษชุดดำผู้นั้นเห็นท่าไม่ดี รีบผงะถอยหลัง ทว่าจู่ๆ กลับรู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือ เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ดาบคมในมือเขาตกกระทบพื้น!
ถูกอีกฝ่ายจู่โจมจุดอ่อนอย่างง่ายดายเช่นนี้ สำหรับยอดฝีมือที่เคยผ่านศึกมานับร้อยนับพัน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้! บุรุษชุดดำเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มองสตรีอายุน้อยรูปโฉมงดงามที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ
บุรุษชุดดำอีกหลายคนที่เหลือตวัดดาบกรูเข้ามาล้อมซูหลีไว้ทันที ชั่วขณะหนึ่ง แสงดาบเงากระบี่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ใบไม้อันเหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายทั่วท้องฟ้า
นี่เป็นการสังหารหมู่ครั้งแรกหลังจากที่ซูหลีฝึกวรยุทธ์สำเร็จ กระบวนท่าอันแปลกประหลาดของนางล้วนพุ่งจู่โจมจุดตายของเหล่าบุรุษชุดดำ เคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว โฉบซ้ายสลับขวาจนมิอาจแยกแยะ เหล่าบุรุษชุดดำต่างอกสั่นขวัญหาย ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสตรีอายุน้อยนางนี้ที่กำลังเผชิญหน้ากับฝูงศัตรูเพียงลำพัง จะมีพลังอันน่าตกตะลึงเช่นนี้!
เหล่าบุรุษชุดดำต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขามองหน้ากัน ครั้นมีคนก้าวถอยด้วยความลังเล ไม่นานก็มีคนที่สองก้าวถอยตามไป บุรุษชุดดำที่เป็นผู้นำชำเลืองมองหยางเจิ้นแวบหนึ่ง คล้ายตัดสินใจจะถอยทัพแล้ว
ขณะที่ลังเลอยู่นี้เอง นอกกำแพงสวน ไอสังหารขุมหนึ่งพลันลอยพุ่งเข้ามา ดั่งตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่งที่แผ่ปกคลุมลงมา ซูหลีเงยหน้า หัวใจพลันหนักอึ้ง กลับมีบุรุษชุดดำอีกหลายคนกระโดดเข้ามาในสวน แล้วพุ่งตัวมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
คล้ายนึกไม่ถึงว่าจะมีคนอยู่ในลานบ้านมากขนาดนี้ บุรุษชุดดำกลุ่มใหม่ชะงักไปเล็กน้อย แต่กลับไม่มีท่าทีลังเล คนที่เป็นหัวหน้าชักกระบี่ออกมา แล้วพุ่งเข้ามาทางหยางเจิ้นทันที กระบวนท่ารุนแรง ไร้ซึ่งความปรานี
……………………………
Related
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 410 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (1)
Posted by ? Views, Released on January 2, 2022
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment