ยามนั้นเสวียนฟงทำชั่วไม่สำเร็จ พลาดท่าถูกจับ เพราะเห็นพู่หยกชิ้นนั้นจึงได้รับโทษทั้งหมดไว้ด้วยตนเอง เป็นดังที่เขาบอก เขาทำไปเพื่อลูกชายเขา แต่เหตุใดเสวียนฟงในวันนี้ จึงดูไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย?
เสวียนฟงกล่าวด้วยความเกลียดแค้น “หยางเจิ้น เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พู่หยกมาข่มขู่ข้าอีกแล้ว!”
หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี แต่กลับไม่พูดอะไร
เสวียนฟงเอ่ยเสียงดัง “ทุกท่าน! พู่หยกที่อยู่ในมือหยางเจิ้น เป็นของติดตัวของลูกชายข้า หลายปีมานี้ เขาใช้สิ่งนี้มาข่มขู่ข้า ทำให้ข้าจำเป็นต้องฟังคำสั่งของเขา!”
หยางเจิ้นกำพู่หยกแน่น แน่นจนมันแทบแหลกคามือ นัยน์ตาของเขาคมปลาบ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ในเมื่อเจ้าพูดเองกับปากว่าข้าใช้พู่หยกชิ้นนี้ข่มขู่เจ้า แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าจึงไม่กลัวเลยเล่า? หรือเจ้าไม่กลัวลูกชายตนเองตาย?”
“ฮ่าๆ” จู่ๆ เสวียนฟงก็หัวเราะเสียงดัง ชี้หน้าเขา แล้วกล่าวว่า “หยางเจิ้น! มาจนถึงป่านนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าจะหลอกข้าได้อีกหรือ? ลูกชายข้าถูกเจ้าจับตัวไปจริงๆ แต่เขาหนีจากเงื้อมมือปีศาจของเจ้าไปได้ตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว! เจ้ามันคนต่ำทราม ใช้พู่หยกชิ้นนี้หลอกให้ข้าเสี่ยงตายเพื่อเจ้ามาตั้งหลายปี!” ประโยคสุดท้าย เขาปลดปล่อยความเคียดแค้นออกมาทางดวงตาอย่างไม่ปิดบัง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าชิงชังคนผู้นี้ถึงขีดสุด!
หลินเทียนเจิ้งเดินไปหาเขา ตบไหล่เขาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม
เสวียนฟงสะท้านเล็กน้อย หันไปมองหลินเทียนเจิ้ง ใบหน้าของเสวียนฟงอ่อนโยนลง สายตาอบอุ่นรักใคร่ ยังมีแววละอายใจและสำนึกผิดปนอยู่ด้วย
ซูหลีสะดุดใจ หรือว่าหลินเทียนเจิ้ง…
“เจ้าเดาถูกต้องแล้ว หลินเทียนเจิ้งคือบุตรชายของเสวียนฟงจริงๆ” เสียงทุ้มต่ำของตงฟางเจ๋อดังขึ้นข้างหู
สายตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเห็นเหี้ยมเกรียม สีหน้าสับสน ไม่ว่าเขาจะคิดคำนวณเช่นไร ก็ไม่มีทางคาดคิดว่าเสวียนฟงจะหาตัวลูกชายของเขาเจอ!
“เซียวอ๋อง ท่านยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” สายตาของฉีมู่เอ่อร์แฝงแววเจ็บปวด “ฮ่องเต้เหรินเจินทรงพระปรีชาสามารถและมีเมตตาธรรม ได้รับการยกย่องเลื่อมใสมาตลอดชีวิต ท่านในฐานะทายาทของฮ่องเต้เหรินเจิน ได้รับพระมหากรุณาอันล้นพ้นจากฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน มียศเป็นถึงอ๋องขั้นหนึ่ง มีอำนาจในราชสำนัก แต่กลับทำเรื่องเลวร้ายเช่นการทำร้ายลูกหลาน และลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้เช่นนี้ได้เยี่ยงไร?!”
หยางเจิ้นกล่าวเสียงเย็นเยียบ “แค่คำพูดของเสวียนฟงเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีหลักฐาน เป็นการใส่ร้ายป้ายสีชัดๆ”
“แต่คุณชายท่านนี้เป็นพยานได้!”
“พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน อาจสมคบคิดกันก็ได้ ผู้ใดจะไปรู้!”
“เช่นนั้น แม่นางผู้นั้นเล่า?” ฉีมู่เอ่อร์หันมามองซูหลี สายตาจดจ้องใบหน้าของนางที่ดูคล้ายหยางเจิ้นหลายส่วน “ข้าขอเสียมารยาทถามสักคำ แม่นางใช่พระธิดาขององค์หญิงหรงซีหรือไม่?”
ซูหลีลอบตึงเครียด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางคงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนอีก จึงพยักหน้าตอบ
แม้คำตอบจะอยู่ในความคาดหมาย แต่ฉีมู่เอ่อร์กลับชะงักงัน ก่อนจะประสานมือทำความเคารพนาง
ซูหลีตกใจเล็กน้อย เดินเข้าไปประคองเขา “ท่านอัครเสนาบดีเหตุใดต้องทำเช่นนี้?”
“เดิมทีแม่นางเป็นหลานสาวของเซียวอ๋อง แต่เมื่อครู่กลับมอบพระราชโองการสละราชบัลลังก์ให้องค์ชายสี่ เห็นได้ว่าแม่นางมีคุณธรรมสูงส่ง รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี! ข้าขอถามแม่นางสักคำ คำพูดของผู้อาวุโสเสวียนฟงเป็นจริงหรือไม่?”
สายตาของทุกคนจับจ้องมองมาที่นางทันที
นัยน์ตาของหยางเจิ้นเหี้ยมเกรียม เขาจ้องนางไม่วางตา แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
หัวใจของซูหลีหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินกดทับ นางไม่พูดอะไร นางรู้ดีว่ายามนี้หากนางเอ่ยปาก เสด็จน้าจะต้องพบกับจุดจบอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน! นางอดเงยหน้ามองหยางเจิ้นไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นเหมือนเสด็จแม่เหลือเกิน ยามนี้ เจ้าของของมันเปิดเผยเพลิงโทสะที่ออกมาจากใจอย่างไม่คิดปิดบัง
ในอดีต เสด็จแม่เสียสละทุกอย่าง เพียงเพื่อปกป้องชีวิตเขา ให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข
ทว่ายามนี้ เขาต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ จนสูญเสียตัวตนไป
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น คลื่นที่โหมซัดสาดในใจรุนแรงจนยากจะสงบ
ทุกคนล้วนกำลังรอคำตอบของนาง
ใบหน้าของหยางเจิ้นเย็นชา ไอสังหารรุนแรงพาดผ่านดวงตาอย่างรวดเร็ว เขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว หากไม่หนียามนี้แล้วจะหนียามใด? ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่ซูหลี นิ้วมือทั้งห้าขดงอเหมือนตะขอ ก่อนจะพุ่งตรงไปที่หยางเซียว
กระบวนท่าพิฆาตที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว หยางเจิ้นใช้ความเร็วเต็มรูปแบบในกระบวนท่านี้ ด้านหลังของหยางเซียวคือเตียงมังกร เขาไม่มีพื้นที่ให้หลบหลีก ทุกคนตกใจจนหลุดร้องเสียงหลง พริบตาเดียวหยางเจิ้นก็พุ่งตัวเข้ามาถึงตรงหน้าหยางเซียวแล้ว อีกไม่กี่วินาทีก็จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด!
หยางเซียวพลันพาร่างกายโฉบขึ้นด้านบน เหินทะยานผ่านเหนือศีรษะของหยางเจิ้นเหมือนดั่งนกเหยี่ยวที่แล่นลอยไปตามสายลม
สายตาของหยางเจิ้นไหวระริก เหตุการณ์เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะคว้าศพของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่อยู่บนเตียงมังกรขึ้นมาขวางไว้ตรงหน้า แล้วตะโกนเสียงเกรี้ยว “ทุกคนออกไปจากตำหนักให้หมด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่เรื่องในอดีต” เขาออกแรงบีบ เสียงกระดูกข้อต่อของศพดังลั่นทันใด
หยางเซียวตกใจและเจ็บปวดสุดแสน เขาพุ่งตัวเข้าไปหลายก้าวแต่ก็ข่มใจให้หยุด ก่อนจะตะโกนด้วยความเคียดแค้น “หยางเจิ้น เจ้ากล้าทำร้ายเสด็จพ่อของข้าหรือ!”
หยางเจิ้นหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม “ปล่อยข้าไป ข้าย่อมคืนเสด็จพ่อของเจ้าให้เจ้า”
หยางเซียวกำหมัดอย่างโกรธแค้น กัดฟันแล้วตะโกนสั่ง “ทุกคน ถอยไป!”
หยางเจิ้นค่อยๆ ก้าวเดินออกไปนอกห้องบรรทม ทุกคนถอยห่างไปยังสองข้างทาง แหวกเปิดทางเดินตรงกลางหนึ่งสาย องครักษ์จวนเซียวอ๋องกรูกันเข้ามาห้อมล้อมหยางเจิ้นไว้ตรงกลาง นัยน์ตาของหยางเจิ้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาสะบัดแขนทั้งสองข้าง เหวี่ยงศพของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนออกไปอย่างแรง!
หยางเซียวคำรามด้วยความเคียดแค้น โฉบกายขึ้นไปรับร่างของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกลางอากาศ พลางตวาดเสียงเกรี้ยว “จับตัวเขาไว้!”
ราตรีมืดมิด เหมือนตาข่ายสีดำอันไร้จุดสิ้นสุดที่แผ่ปกคลุมหัวใจของทุกคน
หยางเจิ้นหนีไปทางประตูวัง แต่กลับถูกองครักษ์กลุ่มหนึ่งขวางทางไว้ องครักษ์จวนเซียวอ๋องสู้สุดตัว จนเปิดเส้นทางเลือดได้
หยางเซียวนำองครักษ์ไล่ตามมา เขาง้างธนูในมือ ปลายธนูแหลมคมเล็งไปที่หยางเจิ้น เสียงสายธนูดังเสียดสี เห็นได้ชัดว่าดึงจนสุดสายแล้ว ราวกับในเสี้ยววินาทีถัดไป ลูกธนูก็จะพุ่งทะลุสิ่งกีดขวางทุกอย่างไปหาเป้าหมายอย่างแม่นยำ!
พลันนั้น คนผู้หนึ่งโผล่มายืนขวางหน้า ครั้นเห็นใบหน้าคนผู้นั้นชัดเจน หยางเซียวตกใจจนเหงื่ออาบท่วมตัว รีบลดธนูในมือลงทันที
“อาหลี?!”
สายตาของซูหลีสะท้อนแววอ้อนวอนเล็กน้อย “หยางเซียว…”
หยางเซียวกระจ่างทันที สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาตัดบทนาง “อาหลี เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”
ซูหลียังคงไม่ขยับ มือของเขาที่ถือธนูไว้กำเข้าหากันแน่น
“เขาฆ่าเสด็จพ่อของข้า! ข้าปล่อยเขาไปไม่ได้!” หยางเซียวคำรามเสียงต่ำ ความเจ็บปวดและความเคียดแค้นครอบครองสติทั้งหมดของเขา
ซูหลีรีบกล่าว “หยางเซียว ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าปล่อยเขาไป เพียงขอให้ไว้ชีวิตเขาสักครั้ง!”
การกระทำของหยางเจิ้นในวันนี้ถือเป็นการหาเรื่องใส่ตัวก็จริง แต่ไม่ว่าเรื่องใดย่อมมีเหตุจึงมีผลตามมา ที่เขาจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเจออะไรมามาก เรื่องราวในอดีตยากจะแยกแยะถูกผิด ยิ่งไปกว่านั้นหากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ บางทีพวกเขาอาจไม่ลงเอยเช่นนี้ก็ได้!
ถึงอย่างไรเสด็จแม่ก็ปกป้องน้องชายแท้ๆ ของนางด้วยทุกอย่างที่มี เขาเป็นเสด็จน้าของนาง ความยุติธรรมในใจย่อมเอนเอียงอย่างช่วยไม่ได้
……………………………
Related
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 419 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (10)
Posted by ? Views, Released on January 8, 2022
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment