มือคู่ที่คุ้นเคยตรงหน้าเต็มไปด้วยพลังที่ทำให้อุ่นใจ แต่ซูหลีกลับเลื่อนสายตามองไปทางประตูเมืองทิศเหนือ “ข้าไม่มีวันไปกับท่าน”
แววผิดหวังพาดผ่านดวงตาของเขา เขาอดถามไม่ได้ “หยางเซียวสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ? เจ้ารู้หรือไม่สถานการณ์ในยามนี้เลวร้ายเพียงใด กองทัพของหยางเจิ้นอาจบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ! เมื่อใดที่เมืองแตก เจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย!”
“มาจนถึงป่านนี้ ข้าไม่กลัวตายตั้งนานแล้ว” นางตอบด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบนิ่ง
ตงฟางเจ๋อได้ยินเช่นนั้นหน้าพลันเปลี่ยนสี นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำฉายแววเจ็บปวดระคนโกรธเคือง คำรามเสียงต่ำ “เจ้าไม่กลัว แต่มีคนกลัว! เจ้าลืมเซ่อเจิ้งอ๋องไปแล้วหรือ? ยามนี้เขาเหลือเจ้าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว เจ้าทนเห็นเขาเดียวดายไปจนแก่ ไม่มีวันสัมผัสความสุขจากการมีครอบครัวได้อีกแม้แต่น้อยงั้นหรือ?”
เสด็จพ่อ…หัวใจของซูหลีพลันเจ็บปวด นางเงยหน้า กล่าวด้วยสายตาหนักแน่น “ถึงแม้เขาจะโทษข้า ข้าก็จะยังคงทำเช่นนี้อยู่ดี ท่าน…ไปเสียเถิด” นางไม่หันกลับมาอีก เพียงเดินตรงขึ้นรถม้าไป
ล้อรถหมุนเคลื่อน ส่งเสียงดังครืดคราด เสียงนั้นราวกับบดทับหัวใจเขาทีละนิดๆ ความเจ็บปวดอันขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่วกาย เขาหลับตาลงเบาๆ ต้องทำเช่นไร จึงจะสามารถย้อนกลับไปในตอนแรกได้? หรือว่า…ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าใด ก็มิอาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว?
“ฝ่าบาท ยังมีเรื่องต้องทำอีก เชิญเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หลินเทียนเจิ้งอดกล่าวเตือนไม่ได้
ตงฟางเจ๋อสะดุ้งเล็กน้อย สีหน้ากลับมาเป็นปกติ กล่าวว่า “ถึงไหนแล้ว?”
“พระราชวังถูกปิดอย่างแน่นหนา มิอาจรับข่าวสารจากภายนอกได้ชั่วคราว หากไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างมากหนึ่งวันก็ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า “เซิ่งเซียว! ไปคุ้มกันนาง อย่าปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับนางเด็ดขาด!”
เซิ่งเซียวรับคำแล้วจากไป เงาร่างคล่องแคล่วแข็งแรงหายลับไปจากสุดปลายสายถนนอย่างรวดเร็ว
เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนในยามนี้ คล้ายถูกโลหิตย้อมจนแดงฉานไปทั้งผืน นอกเมืองเลือดไหลเป็นสายน้ำ ศพกองพะเนินเป็นภูเขา ลมหายใจของซูหลีสะดุด นางเพิ่งเคยเห็นสนามรบที่โหดร้ายถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก หัวใจดวงเล็กบีบรัด หยางเซียวเขา…จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ไม่รู้ทำไม ยามนี้นางกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา! เงาร่างบอบบางเหินทะยานขึ้นไปบนป้อมประตูเมือง นางสอดส่ายสายตาไปทั่วทิศ เพื่อมองหาชุดเกราะสีทองของเขา
เสียงตะโกนของคนผู้หนึ่งดังมาจากข้างหน้า “ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
เท้าของซูหลีหยุดชะงัก เห็นเพียงประกายดาบพาดผ่าน เสียง ‘ฉึก’ ดังลั่น เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วทิศ
สุดปลายป้อมประตูเมือง ทหารกบฏคนหนึ่งค่อยๆ ล้มลงไป เผยให้เห็นดวงตาแดงก่ำของหยางเซียว เขาหอบหายใจหนักหน่วง ดาบล้ำค่าในมือยันอยู่กับพื้น จึงสามารถฝืนทรงร่างกายที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ยืนต่อไปได้
ซูหลีกลั้นหายใจ ชุดเกราะบนตัวเขาถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงสด แทบมองไม่เห็นสีทองซึ่งเป็นสีเดิมของมันแล้ว!
หยางเซียวเงยหน้า เห็นนางยืนอยู่ไม่ไกล ก็พลันตกใจ รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วถามเสียงดัง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? รีบกลับไป!” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว แต่กลับปิดบังความร้อนใจกับความเป็นห่วงไว้ไม่มิด
บนป้อมประตูเมืองเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย เสียงที่ดังเข้าหูล้วนเป็นเสียงกระทบกันของอาวุธ เสียงกรีดร้องของเหล่าทหาร รวมถึงเสียงเลือดสาด ทหารรักษาเมืองค่อยๆ ล้มตาย ศพคนตายมากกว่าร่างคนเป็น สถานการณ์สงครามด้านล่างกำแพงเมืองยังคงรุนแรงไม่เสื่อมคลาย ไกลออกไป ยังคงมองไม่เห็นเงากองทัพหนุน ทั้งในและนอกเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และกลิ่นอายแห่งความตาย ซูหลีรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ นางพูดไม่ออกสักคำ
หยางเซียวเห็นนางยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ก็พลันร้อนใจ รีบดึงมือนางวิ่งลงจากป้อมประตูเมืองทันที ซูหลีร้องด้วยความตกใจ “หยางเซียว! ท่านจะทำอะไร?!”
หยางเซียวเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลงจากป้อมประตูเมือง ครั้นลงมาถึงด้านล่างจึงค่อยหยุดฝีเท้า หันกลับมามองหน้าซูหลี แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “อาหลี ฟังข้า เมืองแห่งนี้ใกล้แตกเต็มทีแล้ว เจ้าไปหาเขาที่เรือนรับรอง แล้วรีบไปจากเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนผ่านทางลับในตำหนักจิ้งซินเสีย ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี!”
“ท่าน…” ซูหลีอึ้งงัน ไม่กี่วันก่อนเขายังขอให้นางอย่าจากตนเองไปไหน ยามนี้กลับบอกให้นางหนีไปกับตงฟางเจ๋อ?!
“หยางเจิ้นเป็นน้าแท้ๆ ของเจ้า แต่เจ้าเลือกที่จะยืนอยู่ข้างข้า ถึงแม้เขาไม่ฆ่าเจ้า แต่เจ้าหยางจินไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่นอน!” เขาไม่เปิดโอกาสให้นางพูดแม้แต่น้อย สถานการณ์ในยามนี้อันตรายขนาดไหน เขารู้ดียิ่งกว่าใคร ทันทีที่เมืองแตก เขาไม่เพียงรักษาตนเองไว้ไม่ได้ แต่จะยิ่งปกป้องนางให้ปลอดภัยไม่ได้!
“อาหลี” เขากุมมือนางแน่น สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง กวาดมองเครื่องหน้าทั้งห้าอันงดงามของนางซ้ำๆ ไม่กล้าพลาดไปแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสุดจะหักห้ามใจไม่ให้อาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก
เขากับนางพบกันครั้งแรก ก็ขานเรียกกันว่าสามีภรรยาแล้ว ในพิธีคัดเลือกพระสวามีเขาแสร้งหยอกล้อด้วยสารพัดวิธี แต่กลับถูกความงามของนางดึงดูดโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะเยาะเย้ยถากถางโลกใบนี้เพียงใด ก็มิกล้าทำตัวบ้าบิ่นต่อหน้านาง ได้พบกับนางในแคว้นเปี้ยนอีกครั้ง เขาดีใจจนแทบบ้า แม้ต้องผิดใจกับเสด็จพ่อ ก็จะต้องปกป้องนางให้ปลอดภัย
เขาทำตัวเลื่อนลอยไร้แก่นสารมาตลอดชีวิต ไม่ว่าเรื่องใดล้วนผ่อนปรนได้ แต่กลับมิอาจปล่อยนางไปได้ ทุกคืนวันคะนึงหา ปรารถนาจะอยู่เคียงข้างนางไปจนแก่เฒ่า แต่ ณ วินาทีนี้ ครั้นความตายมาเยือน เขากลับจำต้องผลักนางสู่อ้อมแขนของบุรุษอื่น! ความเจ็บปวดป่วนพล่านในหัวใจ มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย แต่กลับฝืนยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ถ้าหาก ภายหน้าเรามิอาจพบกันอีก เจ้าจะต้อง จะต้องไม่ลืมข้านะ”
หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน ลำคอแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก
หยางเซียวกอดนางแน่น ก้มหน้าประทับจูบนางอย่างลึกซึ้ง แต่กลับไม่อยากผละออก ราวกับต้องการสลักความอบอุ่นของนางลึกเข้าไปในหัวใจ ไม่ให้ลืมเลือนไปตลอดชีวิต
“ไป!” เขาผลักนางแรงๆ นัยน์ตาที่แดงเรื่อมีไอน้ำเคลือบหนึ่งชั้น
เสียงโจมตีประตูเมืองอันหนักหน่วงและรุนแรงดังอย่างต่อเนื่อง ซูหลีตกตะลึง พลิกฝ่ามือกุมมือเขาไว้ สีหน้าหนักแน่น “พวกเราไปด้วยกัน!”
รอยยิ้มของหยางเซียวชะงักงัน เขาหันหน้ากลับไปมองดูเหล่าทหารที่สู้สุดชีวิตอยู่บนกำแพงเมือง แล้วกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าในฐานะประมุขแห่งแคว้น จะทอดทิ้งปวงชนของตนเองแล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้เช่นไร? หากตายไป ข้าจะสู้หน้าเสด็จพ่อได้เช่นไรเล่า?!”
ซูหลีทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่กลับเห็นทหารคนหนึ่งวิ่งลงมาจากป้อมประตูเมือง แล้วกล่าวเสียงร้อนใจ “ฝ่าบาท! ทหารข้าศึกบุกขึ้นมาบนกำแพงเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะถวายชีวิตปกป้องพระองค์ ทรงรีบหนีไปจากที่นี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี รีบเงยหน้ามองขึ้นไป บนกำแพงเมืองมีทหารข้าศึกอยู่จำนวนมากดังคาด ศัตรูมีมากกว่า ครั้นเห็นว่าใกล้เสียเมือง เขาก็ดึงเอาความฮึกเหิมไม่กลัวตายออกมา ชูดาบในมือขึ้นสูง คำรามเสียงดังลั่น “ฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก!”
เขาวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมือง กวัดแกว่งดาบปะทะศัตรู โลหิตสาดกระเซ็น แต่ยังคงมิอาจต้านทานการรุกรานที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ของกองทัพกบฏ ทหารข้าศึกบุกขึ้นมาบนกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ซูหลีวิ่งตามขึ้นไป ตวัดแขนเสื้อ ซัดทหารข้าศึกที่บุกเข้ามาร่วงกราวหลายคน ครั้นเห็นหยางเจิ้นที่นั่งมองอย่างสงบใจอยู่บนหลังม้า นางก็ชะงักงัน
หยางเจิ้นเองก็เห็นนางเช่นกัน ดวงตาเย็นชาคมปลาบมีแววสับสนพาดผ่าน ในอดีตพวกเขาก็เคยปกป้องกันและกันด้วยชีวิต ยามนี้กลับกลายเป็นศัตรูที่หมายเอาชีวิตของอีกฝ่าย!
ครั้นเห็นว่าเมืองใกล้ล่มสลาย ซูหลีไม่มีเวลาคิดมากอีก นางรวบรวมชี่แท้ทั้งหมดในร่างกาย แล้วถ่ายเทไปยังฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ซัดไปออกไปยังทิศที่มีทหารข้าศึกมากที่สุด
เสียงระเบิดดังสนั่น กำลังภายในอันแข็งแกร่งซัดเอาร่างทหารข้าศึกจำนวนมากปลิวออกไปกระแทกกับค่ายของฝ่ายตรงข้าม เสียงดังเลื่อนลั่น ฝุ่นควันคละคลุ้ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง! คล้ายลืมไปว่าอยู่ในสนามรบ ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างชะงักการต่อสู้ แล้วหันมามองเรือนร่างอันบอบบางที่ยืนสง่าอยู่บนกำแพงเมืองเป็นตาเดียว ไม่น่าเชื่อ สตรีเรือนร่างบอบบางเช่นนั้น กลับมีพลังที่น่าทึ่งถึงเพียงนั้น!
…………………
Related
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 431 ชีวิตมักต้องตัดสินใจเลือกเสมอ (9)
Posted by ? Views, Released on January 30, 2022
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment