“อาหลี” หยางเซียวขานเรียกนางเสียงเบา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปย่อกายนั่งลงด้านหน้านาง จับมือทั้งสองข้างของนางมากุมเอาไว้ในฝ่ามือใหญ่ ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย ก็สบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความร้อนรุ่มของเขา นางชะงักงันไปทันที
ดวงตาดำขลับใสระริกของเขากลอกหมุนไปมา คล้ายนึกอะไรดีๆ ออก เขาเสนออย่างตื่นเต้น “มิสู้เจ้าย้ายมาอยู่ในวัง อยากพักที่ใดล้วนได้ทั้งนั้น พวกเราสองคนอยู่เป็นสหายกัน ดีหรือไม่?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ดึงมือออกจากฝ่ามือเขาอย่างแนบเนียน “วังหลวงย่อมมีกฎเกณฑ์ของวังหลวง ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ จะกระทำตามอำเภอใจดังเช่นแต่ก่อนได้อย่างไรกัน”
หยางเซียวหน้างอ มองนางด้วยสายตาน่าสงสาร ซูหลีจึงทำได้เพียงกล่าวต่ออีกว่า “ทุกคนในราชสำนักล้วนรู้แล้วว่าข้าเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิธิดาเทพ หากเข้าวังจริงๆ รังแต่จะส่งผลเสียต่อท่าน”
“ฐานะไม่ใช่ปัญหา!” ดวงตาที่เดิมหม่นหมองกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง เขารีบกล่าวต่อทันที “ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นท่านหญิง เพื่อให้เจ้าเข้าไปพักในตำหนักเฟิ่งสี่ได้อย่างสง่าผ่าเผย”
ตำหนักเฟิ่งสี่?!
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ตำหนักของฮองเฮาแห่งแคว้นเปี้ยนในทุกยุคทุกสมัย? นางตระหนักได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของหยางเซียวทันที รีบลุกขึ้นยืน แล้วตำหนิเสียงขรึม “เลอะเลือน!”
เขามองหน้านางตาไม่กะพริบ “ข้ามิได้เลอะเลือน! ข้าพูดจริงๆ!”
นัยน์ตาที่มักมีรอยยิ้มยียวน ยามนี้กลับมองไม่เห็นแววหยอกเย้าแม้แต่น้อย ซูหลีตะลึงงัน สายตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเขา หัวใจหนักอึ้งอย่างไม่อาจควบคุม
หยางเซียวคล้ายสัมผัสได้ เขาโพล่งหัวเราะขึ้นมาอย่างซุกซน “ฮ่าๆ ข้าทำให้เจ้าตกใจเสียแล้ว!” เขาหัวเราะเบิกบาน เหมือนเช่นทุกครั้งที่หยอกเย้านางสำเร็จ แต่ซูหลีกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มของเขามิได้สดใสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่มีความอ้างว้างและความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูกซ่อนอยู่ลึกๆ
“หยางเซียว” ซูหลีถอนหายใจ ดวงตากลับฉายแววหนักแน่น “ข้าเคยชินที่จะอยู่อย่างอิสระแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ชอบอยู่ในวัง”
หยางเซียวยังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้น ลึกๆ ในใจกลับหนักอึ้ง เขาเอ่ยคล้ายไม่ได้ใส่ใจนัก “เช่นนั้นหรือ? ข้าก็นึกว่า…เป็นเพราะใครบางคนเสียอีก…”
คำถามที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ถามออกไปอย่างทนไม่ไหว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงได้ทำให้นางกลายเป็นคนเย็นชาถึงเพียงนี้? เย็นชาจนถึงขั้นที่คนแข็งกร้าวเช่นตงฟางเจ๋อยังต้องยินยอมอดทน ยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะเอาชนะใจนางให้ได้อีกครั้ง?
“หยางเซียว!” ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี ความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังทันที
“อาหลี เหตุใดเจ้าจึงต้องกลัวการเอ่ยถึงเขาถึงเพียงนี้? หรือแท้จริงแล้วหัวใจของเจ้า ไม่เคยตัดขาดจากเขาได้เลยสักครั้ง!” สายตาของเขาร้อนรน ในที่สุดก็กล่าววาจาที่ซ่อนอยู่ในใจออกไป
ซูหลีหันหลังทันที นางกล่าวเสียงแข็ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน!”
“การหลีกหนีไม่เคยแก้ปัญหาใดได้ หรือเจ้าจะปล่อยให้ปมในใจนี้คงอยู่ไปตลอดชีวิต? หรือว่าเจ้าหลบหน้าเขาไปได้ตลอด จากนี้ไปจะไม่พบหน้าเขาอีก?” หยางเซียวรู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งนัก เหตุใดถึงแม้ผ่านความยากลำบากและร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หัวใจของนาง ก็ยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่เขายากจะเข้าใกล้เสมอ
ซูหลีแค่นยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ข้าจะหลบหน้าเขาไปทำไม? ยามนี้เขาจากไปแล้ว”
“เขาจากไปแล้ว? เมื่อใดกัน?” หยางเซียวตะลึงงัน
ซูหลีถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ท่านไม่รู้หรือ?”
หยางเซียวเห็นท่าไม่ดี เขานึกไม่ถึงว่าตงฟางเจ๋อจะออกเดินทางเร็วถึงเพียงนี้? แย่แล้ว หากนางรู้เข้า…เขาหลบสายตานาง แล้วรีบกล่าวว่า “อ้อ รู้สิๆ ข้าลืมไป”
ซูหลีเห็นสีหน้าผิดปกติของเขา แต่กลับไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
หยางเซียวเดินเข้ามาหานาง แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ต่อไปข้าจะไม่ถามแล้วก็ได้” เขาถอนหายใจ แล้วกล่าวเสียงเบาอีกว่า “อาหลี ข้าพูดไปมากมายถึงเพียงนี้ เพียงเพราะไม่อยากเห็นเจ้าไม่มีความสุข”
ดวงตาของเขาดำขลับเปล่งประกาย จริงใจไร้เสแสร้ง ไม่มีความรู้สึกอื่นเจือปน
ซูหลีอดใจอ่อนไม่ได้ “ข้ารับรู้ถึงความหวังดีของท่านแล้ว เรื่องของข้า ข้าย่อมรู้ดี” เอ่ยจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ากล่าวอีกว่า “แล้วข้าก็ไม่อยากเป็นท่านหญิงอะไรอีกแล้ว ข้าในตอนนี้ สบายดีมาก ท่านอยากพบข้า ก็ออกจากวังมาหาข้าได้ตลอดเวลา”
หัวใจของหยางเซียวเศร้าหมอง ยามนี้ฐานะของเขาไม่เหมือนแต่ก่อน ช่วงเวลาที่สามารถกระทำได้ตามใจชอบได้ผ่านเลยไปและไม่มีวันย้อนกลับมาอีกแล้ว จู่ๆ ก็นึกถึงช่วงเวลาคับขันในวันนั้น หากฮูเอ่อร์ตูกลับมาไม่ทันเวลา เขาจะเลือกหนีไปกับนาง และใช้ชีวิตนับจากนั้นจับมือกับนาง ท่องยุทธภพและชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามในใต้หล้านี้ไปด้วยกันตลอดชีวิตหรือไม่?
อดีตที่ผ่านไปแล้วไม่มีวันย้อนคืน ส่วนอนาคตก็มักเต็มไปด้วยเรื่องที่ยากจะคาดเดาอยู่เสมอ
แววสับสนวุ่นวายยากจะอธิบายพาดผ่านดวงตาของหยางเซียว เขาพึมพำเหมือนกำลังละเมอ “ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ามักรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่งข้างหน้า…ยามที่ข้ามาหาเจ้าอีกครั้ง ที่นี่จะไม่มีผู้ใดอยู่อีกต่อไป”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย เขารู้สึกได้แล้วหรือว่านางคิดจะไปจากที่นี่? หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น? ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววเจ็บปวด พาให้นางรู้สึกทุกข์ใจอยู่ลึกๆ แต่กลับทำได้เพียงเงียบงัน
ดวงตาดำขลับของหยางเซียวจ้องตรงเข้าไปในดวงตานาง “อาหลี รับปากข้า หากวันใดเจ้าคิดจะไปจากที่นี่จริงๆ เจ้าต้องบอกข้า อย่าได้จากไปโดยไม่กล่าวลา”
ซูหลีตะลึงงัน แต่กลับไม่พูดอะไร
หยางเซียวเดินเข้าไปกุมมือนาง สีหน้าดูร้อนรนระคนอ้อนวอน “รับปากข้า”
ซูหลีถอนหายใจยาวๆ “ได้”
“เจ้ารับปากแล้ว? ห้ามกลับกลอกเล่า!” นัยน์ตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า รอยยิ้มผุดพรายบนกลีบปาก ท่าทางดีอกดีใจของเขาทำให้ซูหลีอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน นางแสร้งกล่าวคล้ายไม่พอใจ “ข้ารับปากท่าน หากคิดจะจากไป ก็ต้องบอกลาท่านก่อน”
หยางเซียวยิ้มกว้าง “ดี พูดคำไหนคำนั้น! นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าจะกลับวังละ” เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้ายาวๆ เดินออกไป ฝีเท้าดูเร่งรีบและรวดเร็วมาก คล้ายกลัวว่านางจะพูดอะไรอีก
หลังจากมองส่งรถม้าหายลับไปจากมุมถนน จนมองไม่เห็นอีก สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยน นางกำชับเสียงขรึม “หวั่นซิน รีบสั่งให้ฉินเหิงไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ว่าตงฟางเจ๋อไปที่ใดกันแน่!”
ท่ามกลางผืนฟ้ายามราตรีอันมืดมิด ดวงจันทร์กระจ่างลอยเด่นกลางนภา พลันนั้นพยับเมฆก้อนหนึ่งลอยมาบดบังแสงจันทร์อันสวยงาม ประเดี๋ยวสว่างสดใส ประเดี๋ยวมืดมิดอับแสง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด ซูหลีเงยหน้าขึ้นช้าๆ แววกลัดกลุ้มพาดผ่านนัยน์ตางดงาม หัวใจหนักอึ้งขึ้นทุกที ท่าทางผิดปกติของหยางเซียว ทำให้นางรู้สึกว่าการจากไปของตงฟางเจ๋อมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
เวลาพลบค่ำของวันต่อมา ฉินเหิงเดินทางกลับมาอย่างเร่งด่วน เขามาพบซูหลีโดยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย
ซูหลีเห็นเขาทำหน้าหนักใจ ลางสังหรณ์บางอย่างพลันแผ่ลามในใจ “เป็นเช่นไรบ้าง?”
ฉินเหิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเบา “จากข่าวที่สายสืบรายงานมา เป้าหมายในการเดินทางในครั้งนี้ของพวกเขาน่าจะเป็น…เมืองเหลียวเฉิง!”
เหลียวเฉิง!
ซูหลีพูดไม่ออก ที่แท้…นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เขาไปโดยไม่ลา! ใบหน้านางซีดเผือด ความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นในใจ ชั่วขณะหนึ่ง นางแทบไม่กล้าคิดหาความจริงที่ซ่อนอยู่! นางลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ ออกจากห้อง แล้วออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เตรียมม้า มุ่งหน้าไปยังเมืองเหลียวเฉิงทันที!”
ณ ยอดเขาเสวี่ยหลง[1] ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเหลียวเฉิง แนวเขาสูงต่ำสลับสล้าง ยอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ไร้เงาผู้คนสัญจร สมกับชื่อของมัน หากทอดมองออกไปไกลๆ จากตีนเขา ยอดเขาที่มีหิมะขาวปกคลุมสูงตระหง่านยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกับเมฆหมอกที่ลอยเคลียเคล้า ดูเหมือนแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์
……………………………………………
[1] เสวี่ยหลง แปลว่า มังกรหิมะ
Related
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 438 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (4)
Posted by ? Views, Released on January 30, 2022
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment