หลินเทียนเจิ้งไม่มีเวลาพักหายใจ เขารีบตะโกนบอกอย่างร้อนใจ “ระวัง มีกับดัก!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา ไอพิฆาตขุมหนึ่งพลันพุ่งปะทะเข้ามา ทุกคนตกตะลึง ท่ามกลางพุ่มหญ้าสูงท่วมหัวคนด้านหลังหยางเจิ้น พลันมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา พวกเขาถือธนูไว้ในมือ ปลายลูกธนูแหลมคมส่องประกายสว่างวาบ ล้วนเล็งมาทางคนทั้งสี่ที่ยืนอยู่ริมสระน้ำ!
สถานการณ์เปลี่ยนผันในพริบตา เซิ่งฉินรีบชักดาบออกจากฝัก แล้วพุ่งตัวเข้ามายืนขวางด้านหน้าตงฟางเจ๋อ พร้อมกับด่าทอด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “หยางเจิ้น เจ้าไม่รักษาคำพูด ต่ำทรามยิ่งนัก!”
“เป็นพวกเจ้าที่โง่เขลา อยากรนหาที่ตายเองทำไมเล่า!” หยางเจิ้นแสยะยิ้มชั่วร้าย ครั้นหันหน้าไปอีกด้าน กลับชำเลืองเห็นนัยน์ตาลึกล้ำของตงฟางเจ๋อยังคงสงบนิ่งไม่มีท่าทีลนลาน จึงกล่าวด้วยความชิงชัง “ทำลายวรยุทธ์ของข้า แล้วคิดว่าพวกเจ้าจะเข้าออกเมืองเหลียวเฉิงแห่งนี้ได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ? ดูถูกข้าหยางเจิ้นเกินไปแล้ว! ทหาร ผู้ใดจับตงฟางเจ๋อได้ ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”
เขาออกคำสั่งเสียงดัง ธนูในมือเหล่าองครักษ์ด้านหลังถูกง้างจนเต็มวง สายธนูที่ทำจากเอ็นวัวเสียดสีกันจนเกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าด ราวกับหากเพียงธนูพุ่งออกจากคันศรในวินาทีนี้ ก็จะพุ่งเข้าสู่จุดตายของศัตรูได้อย่างแม่นยำทันที! ในขณะที่ทั้งสี่คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะหลบห่าธนูได้ ยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้น “ช้าก่อน!”
เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น กลับทำให้ใบหน้าตึงเครียดของตงฟางเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อย ปากทางเข้าหุบเขาสระน้ำแข็ง มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมอาภรณ์สีดำเรียบง่าย ร่างกายกำยำสมส่วน ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเร่งเดินทางมาด้วยความรีบร้อน เขาก็คือหนึ่งในองครักษ์ประจำกายของตงฟางเจ๋อ ‘เซิ่งเซียว’ นั่นเอง เซิ่งเซียวสาวเท้าเข้ามาหาตงฟางเจ๋ออย่างรวดเร็ว ค้อมกายแล้วกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวชื่นชมว่า “ทำดีมาก!”
ครั้นเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของตงฟางเจ๋อ หยางเจิ้นพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที แต่กลับยังคงกล่าวเสียงขรึม “มีคนเอาชีวิตมาทิ้งเพิ่มอีกคนงั้นหรือ!” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค รอยยิ้มของเขาก็พลันค้างเติ่งอยู่บนใบหน้า
เซิ่งเซียวชูมือขวาขึ้นสูง แสงสีเขียวมรกตที่ส่องประกายอยู่ระหว่างนิ้วมือดึงดูดสายตาของคนทุกผู้ในทันที นั่นคือหยกห้อยเอวสีเขียวมรกต ที่สลักรูป ‘กิเลน’ ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้อย่างงดงามราวกับมีชีวิต ปากคาบไข่มุก เท้าเหยียบเปลวไฟ ท่าทางองอาจงามสง่า ประณีตไร้ที่เปรียบ นั่นคือสมบัติล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่งที่เขาตามหาอยู่นานกว่าจะได้มา ภายหลังเขาสั่งให้ช่างฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นเปี้ยนแกะสลักอย่างสุดฝีมือ และมอบให้หยางจิ้นเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของเขา!
เหมือนดั่งสายฟ้าห้าสายฟาดลงมากลางศีรษะ หยางเจิ้นพูดอะไรไม่ออกอยู่เนิ่นนาน ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน คล้ายไม่อยากเชื่อ ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงแผนรับมือชั่วคราวของตงฟางเจ๋อ ตงฟางเจ๋อรู้แต่แรกแล้วว่าเขาอาจตามมาถึงสระน้ำแข็ง เพื่อป้องกันไว้ก่อน จึงสั่งให้คนลอบจับตัวจิ้นเอ๋อร์ เพื่อจะบีบบังคับให้เขายอมจำนนในตอนสุดท้าย!
มิน่าเล่าเมื่อกี้ตอนโดนลูกธนูเล็ง ตงฟางเจ๋อกลับไม่แตกตื่นลนลานแม้แต่น้อย ที่แท้ก็มีแผนตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลังนี่เอง! ฮ่องเต้แคว้นเฉิงช่างเป็นผู้มีความคิดรอบคอบเสียจริง! คนมีความสามารถเช่นนี้ เสียดายที่เป็นศัตรูกับเขา! ทำลายแผนการของเขาที่เขาใช้เวลาเตรียมการอย่างยากลำบากนับสิบปีจนไม่เหลือชิ้นดี ทำลายวรยุทธ์ของเขา ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…
ริมสระน้ำแข็ง ตงฟางเจ๋อยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นัยน์ตาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ราวกับไม่มีสิ่งใดในใต้หล้านี้ที่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้านได้
เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กล่าวเสียงเข้มว่า “หยางเจิ้น ส่งหญ้าหานซินคืนมา ข้ารับรองว่าหยางจิ้นจะปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน! มิเช่นนั้น…”
หยางเจิ้นถลึงตาจ้องหน้าเขาอย่างขึ้งเคียดสุดขีด ดวงตาแดงก่ำ หญ้าหานซินคือโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้เขาฟื้นคืนวรยุทธ์และหวนกลับมาตั้งตัวใหม่ได้อีกครั้ง มีหรือเขาจะยอมมอบมันให้ตงฟางเจ๋อง่ายๆ?! แต่จิ้นเอ๋อร์…ความอัปยศที่ต้องตกอยู่ในกำมือผู้อื่นรุนแรงถึงเพียงนี้! เหมือนมีอสรพิษพันรัดรอบหัวใจเขา รัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาสงบสติอารมณ์ได้ จึงค่อยๆ เดินลงจากโขดหิน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากับข้าเดิมทีไร้ความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าจึงต้องตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าเสมอ? หยางเซียวยื่นข้อเสนอใดให้เจ้ากันแน่?”
ตงฟางเจ๋อมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชาระคนดูแคลนเล็กน้อย
หยางเจิ้นกำกล่องหยกไว้แน่น รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก แต่กลับยังคงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวว่า “หากเจ้าช่วยข้า เรื่องที่หยางเซียวทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน หญ้าหานซิน ข้าขอมอบให้เจ้าด้วยใจ”
“ถ้าข้าตอบว่าไม่เล่า?”
“ข้าเองก็ทำลายหญ้าต้นนี้ได้เช่นกัน!” เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ทำได้เพียงวางเดิมพันสักครั้ง เขาเปิดฝากล่อง นิ้วมือลูบไล้ไปมาบริเวณขอบกล่องหยก
ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี ถามเสียงเย็นชา “หยางเจิ้น! เจ้าไม่อยากให้ลูกชายเจ้ารอดแล้วงั้นหรือ?”
หยางเจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “เจ้าจะลองดูก็ได้ ดูซิว่าชีวิตของจิ้นเอ๋อร์ หรือหญ้าหานซินต้นนี้ที่สำคัญกับเจ้ามากกว่ากัน?” ผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ หากยามนี้ยังมองไม่ออกว่าใจคนผูกติดอยู่กับสิ่งใด เขาก็ไม่ใช่หยางเจิ้นแล้ว! ครั้นเห็นใบหน้าตงฟางเจ๋อตึงเครียดลงหลายส่วน เขาก็อดยิ้มอย่างย่ามใจไม่ได้
พลันนั้น ความเจ็บปวดเหมือนเข็มเงินทิ่มแทงพลันแผ่ลามมาจากปลายนิ้วมือ และกระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ราวกับจะฉีกร่างกายของเขาให้ขาดเป็นชิ้นๆ รอยยิ้มของหยางเจิ้นชะงักงัน ใบหน้าซีดขาวไปทันที เขาเงยหน้าด้วยความตกใจ แล้วตวาดเสียงถามเสียงเกรี้ยว “ตงฟางเจ๋อ! เจ้าทำอะไรกับกล่องหยกใบนี้?!” ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ก็รู้สึกแน่นหน้าอก ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต!
“ท่านอ๋อง!” องครักษ์ของหยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี รีบเข้าไปประคองเขา เขากลับผลักองครักษ์ออก ชักดาบออกมา แล้วแทงลงบนพื้น เพื่อประคองร่างกายที่โอนเอนไปมา
“เสด็จน้า!” เสียงขานเรียกด้วยความร้อนใจดังขึ้น เงาร่างสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ แววร้อนใจปรากฏชัดบนคิ้วงาม กลับเป็นซูหลี!
“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อขานเรียกด้วยความตกใจ
ซูหลีกลับเหมือนไม่ได้ยิน รีบพุ่งเข้าไปประคองหยางเจิ้นด้วยความร้อนใจ “เสด็จน้า! เป็นอะไรไปเพคะ?”
หยางเจิ้นทั้งเคียดแค้นระคนประหลาดใจ ราวกับไม่อยากเชื่อ เขาพยายามกลืนเลือดที่ตีขึ้นมาบนหน้าอก ก่อนจะสะบัดมือซูหลีออก แล้วชี้หน้าตงฟางเจ๋อ พลางกัดฟันกล่าวว่า “ข้าอุตส่าห์อยากร่วมมือกับเจ้าอย่างจริงใจ แต่เจ้ากลับ…กลับทำร้ายข้า…” ยังเอ่ยไม่ทันจบ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าบิดเบี้ยว สายตาชั่วร้าย พาให้คนอกสั่นขวัญหาย
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ สายตาที่มองตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสงสัย
หัวใจของตงฟางเจ๋อหนักอึ้งสุดแสน หมายจะเปิดปากอธิบาย ก็เห็นหยางเจิ้นสั่นไปทั้งตัวด้วยความเจ็บปวด แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ กล่องหยกหลุดจากมือเขา ร่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
ตงฟางเจ๋อตกใจ เงาร่างโฉบไหว รีบเข้าไปรับกล่องหยกไว้ในมือ แล้วเปิดฝาตรวจสอบดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ครั้นเห็นว่าหญ้าหานซินยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ตำหนิ จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านอ๋อง!” เสียงขานเรียกด้วยความตกใจดังขึ้นข้างหู ตงฟางเจ๋อเงยหน้า ก็เห็นใบหน้าหยางเจิ้นม่วงคล้ำ ดวงตาเบิกโพลง สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
เจียงหยวนกับหลินเทียนเจิ้งรีบวิ่งเข้ามาประกบซ้ายขวา จับชีพจรของหยางเจิ้นโดยไม่ต้องรอคำสั่ง ทว่ากลับส่ายหน้าพร้อมกัน
หลินเทียนเจิ้งขมวดคิ้วกล่าว “นี่พิษอะไรกัน ถึงได้ร้ายแรงถึงเพียงนี้!”
เจียงหยวนเองก็ถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน”
แม้แต่หมอเทวดาที่มีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพเช่นเจียงหยวนกับหลินเทียนเจิ้งยังไร้หนทางรักษา หรือว่าอาการของเสด็จน้า…ไม่มีทางฟื้นคืนอีกแล้ว? ซูหลีใบหน้าซีดเผือด มองญาติทางสายเลือดที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายอย่างไม่อยากเชื่อ!
“หลีกไป!” หยางเจิ้นตวาดเสียงเกรี้ยว ผลักสองคนที่อยู่ใกล้ตัวออก แล้วหันมามองซูหลีช้าๆ อารมณ์มากมายพลุ่งพล่านอยู่ในดวงตาเขา มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ นึกไม่ถึงว่าวินาทีสุดท้ายในชีวิตนี้ คนที่อยู่เคียงข้างเขา กลับเป็นนาง! มองดูดวงหน้าของนางที่เหมือนกับพี่สาวทุกประการ ความรู้สึกนับร้อยประดังประเดเข้ามาในหัวใจเขา จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น
………………………
Related
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 442 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (8)
Posted by ? Views, Released on January 30, 2022
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment