กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 456 ต้องได้พบกันอีก (ตอนจบแคว้นเปี้ยน) (2)

“เสร็จแล้ว” หยางเซียวร้องบอกอย่างดีใจ
ซูหลีลืมตา สร้อยสีแดงงดงามที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกมีจี้รูปร่างประหลาดชิ้นหนึ่ง เหมือนเป็นเขี้ยวของสัตว์ชนิดหนึ่ง โค้งงดดั่งดวงจันทร์ มีความยาวประมาณหนึ่งชุ่น นางหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ค้นพบว่ามีอักษรลับของราชวงศ์เปี้ยนสลักอยู่ด้านบนด้วย อักษรนั้นดูเลือนราง มีร่องรอยของกาลเวลาปรากฏให้เห็น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เพิ่งถูกสลัก
“นี่คือสิ่งใด?” นางประหลาดใจเล็กน้อย
“เขี้ยวเสืออ่อน”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้นางไม่ได้ชอบเพชรนิลจินดาเหมือนสตรีทั่วไป แต่เครื่องประดับที่หยาบกร้านเกินไป ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมกับนาง
“เจ้าไม่ชอบหรือ?” หยางเซียวถามอย่างระมัดระวัง
“ก็ไม่เชิง ท่านได้มาจากที่ใด?” นางไม่อยากทำให้เขาเสียน้ำใจ
“ตอนอายุเก้าขวบข้าติดตามเสด็จพ่อออกไปล่าสัตว์ ข้าล่าเสือขาวตัวผู้ได้ตัวหนึ่ง เลยนำกลับมาเลี้ยงที่วัง หากข้ามีเวลาก็จะเล่นกับมันทุกวัน” ครั้นพูดถึงเรื่องในอดีต สีหน้าของหยางเซียวดูเศร้าหมองเล็กน้อย “เสือขาวเติบโตในป่าเขา ผ่านไปไม่นาน มันก็ตายไป ตอนนั้นข้าเสียใจมาก นอนกอดมันสามวันสามคืนไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เหนื่อยจนหมดสติไป เสด็จพ่อสั่งให้คนถอดเขี้ยวของมัน แล้วนำมาทำเป็นจี้สร้อยคอให้ข้าเป็นของที่ระลึก”
ซูหลีเคยได้ยินคนพูดถึงธรรมเนียมของแคว้นเปี้ยน สิ่งที่ได้จากการล่าสัตว์ครั้งแรกของผู้ชาย เป็นดั่งสัญลักษณ์อันน่าภาคภูมิของนักรบ แล้วเสือขาวก็เป็นสัตว์หายาก ที่ชาวโลกต่างยกย่องให้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
“ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว ท่านเก็บไว้เองเถิด” เห็นแววอาลัยอาวรณ์อดีตในดวงตาเขา นางก็ยกมือหมายจะถอดสร้อยคืนให้เขา
หยางเซียวกุมมือนางพร้อมกับจี้เขี้ยวเสื้อไว้ในฝ่ามือกว้าง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สำหรับข้า มันมีความหมายมากจริงๆ เจ้าดูอักษรบนนี้สิ นี่เป็นอักษรที่ข้าสลักด้วยตนเอง มันคือยันต์ในสมัยโบราณ ที่ใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ขลังมากเชียวละ มันจะต้องปกป้องให้เจ้าปลอดภัยได้อย่างแน่นอน”
ซูหลีถอนหายใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นข้ายิ่งไม่อาจรับไว้ ถ้าให้ข้า แล้วท่านจะทำเช่นไร?”
หยางเซียวจ้องหน้านาง แล้วพลันยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาดูซุกซนและย่ามใจ เพราะวาจาที่แสดงถึงความเป็นห่วงของนางจึงทำให้เขาเบิกบานใจยิ่งนัก เขาล้วงสร้อยคอเขี้ยวเสื้อที่ลักษณะเหมือนกับของซูหลีออกมาจากสาบเสื้อ เพียงแต่อักษรที่สลักไว้บนนั้นต่างกันเล็กน้อย อักษรของเขายังดูเหมือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสลักไม่นานมานี้
ซูหลีอึ้งงัน ที่แท้ก็เป็นสร้อยคู่ ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าสร้อยคอเส้นนี้ไม่ได้เป็นสร้อยคุ้มครองธรรมดาเช่นที่เขาบอก ความคิดของนางสับสนวุ่นวาย ค้นพบว่าหยางเซียวมาอยู่ด้านหลังนางตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เขาเอื้อมแขนกอดนางไว้ในอ้อมอก
ในอดีตพวกเขาสองคนก็เคยใกล้ชิดกันบ้าง เพียงแต่ครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่กลับได้ยินเขาถอนหายใจแล้วกล่าวเสียงเบาที่ข้างหู “จี้เขี้ยวเสือเป็นของที่ข้าเก็บรักษามานาน ยามนี้มอบมันให้กับคนที่ข้าชอบที่สุด ก็ถือว่า…สมใจปรารถนา อาหลี เจ้าต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดีเล่า?”
เขาอบอุ่นถึงเพียงนี้ ซูหลีรู้สึกไม่ชิน นางลอบขมวดคิ้ว หมายจะเอ่ยปากเปลี่ยนเรื่อง
หยางเซียวแย้มยิ้ม แล้วกล่าวอีกว่า “อาหลี เจ้ารู้หรือไม่ ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้ของข้าคืออะไร?”
ซูหลีครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ทำให้แว่นแคว้นมั่นคง บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง”
หยางเซียวถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “นั่นเป็นหน้าที่ของข้า ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตข้า คือสามารถโอบกอดเจ้าไว้เช่นนี้ และไม่ปล่อยมือไปตลอดกาล” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหวานหยดย้อย
มือของเขาวางทับบนหลังมือนาง สอดนิ้วมือเข้าไปในนิ้วมือนาง แล้วค่อยๆ ยกขึ้นมาตรงหน้า “จับมือไม่ปล่อยไปจนแก่เฒ่า อาหลี มือของข้าที่จับมือเจ้าไว้ จะไม่มีวันปล่อย”
ลมหายใจของซูหลีสะดุด เขาแสดงความรักอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางไม่รู้จะตอบสนองเช่นไรดี
“หยางเซียว…” นางรู้สึกจนใจ
“ชู่ว อย่าเพิ่งพูดอะไร!” เขาใช้นิ้วมือแตะกลีบปากนางเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าได้ยินหรือไม่?”
ในห้องเงียบสงบไร้เสียง เกรงว่าแม้เข็มตกก็ยังได้ยิน ซูหลีสงสัย “ได้ยินอะไร?”
“เจ้าฟังสิ หัวใจของพวกเรา เต้นเร็วเหมือนกันเลย” เขาถอนหายใจข้างหูนางเบาๆ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ หัวสมองของนางขาวโพลน วาจากล่าวลาที่ไตร่ตรองมานับครั้งไม่ถ้วนติดอยู่ปลายลิ้น แต่ก็พูดไม่ออกสักคำ บางที นางอาจไม่มีวันพูดต่อหน้าเขาได้
“เป็นอะไรไป?” เขาประคองใบหน้านางให้หันมา นัยน์ตาเปล่งประกาย
ซูหลีได้สติ สัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์ในสายตาเขา ก็พลันตกใจ นางถอยออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างแนบเนียน แสร้งทำเป็นเดินไปรินชาอีกด้านหนึ่ง แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ดึกมาแล้ว ท่านกลับไปพักเถิด”
สายตาของหยางเซียวไหวระริกเล็กน้อย เขาชี้ไปที่กองฎีกาบนโต๊ะ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คืนนี้ข้าไม่กลับไปแล้ว ยังมีฎีกาให้อ่านอีกมากมาย เจ้าพักผ่อนเอาแรงก่อนเถิด พรุ่งนี้จะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ” เขาพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งด้านหน้าโต๊ะทำงาน และเริ่มอ่านฎีกาจริงๆ
หัวใจของซูหลีสับสนวุ่นวาย นางมองดูกองฎีกาบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าเขาต้องอ่านไปจนถึงเมื่อไร? นางหาหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่คำเดียว
หยางเซียวมองสตรีตรงหน้าที่จิตใจไม่อยู่กับตัว จู่ๆ ก็เอ่ยปากถามว่า “ได้ยินว่าเซ่อเจิ้งอ๋องแห่งแคว้นเฉิงมาเยือน เจ้าพบเขาแล้วหรือยัง?”
ซูหลีตกใจ เงยหน้ามองเขาอย่างหวาดระแวง
หยางเซียวเอ่ยพลางยิ้มขำ “เจ้ากังวลอันใดกัน ที่นี่คือเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน จู่ๆ มีบุคคลสำคัญมาเยือน หากข้าไม่รู้แม้แต่เรื่องนี้ จะเป็นประมุขแห่งแคว้นได้เช่นไรกันเล่า”
ซูหลีถอนหายใจ เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนเป็นแผ่นดินของเขา ทุกการกระทำของทุกคน ล้วนอยู่ในสายตาของเขา แน่นอนว่ารวมถึงนางและตงฟางเจ๋อด้วย นางหลุบนัยน์ตาต่ำ กล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องมาหาข้า ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
หยางเซียวยิ้มพลางกล่าวว่า “มีเจ้าอยู่ ข้าต้องคิดมากเรื่องใดกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาพาองครักษ์มาด้วยเพียงไม่กี่คน จะทำอะไรได้เล่า? อา ใช่สิ” คล้ายจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปหานาง แล้วถามว่า “หลายวันแล้วที่ไม่เห็นสี่ทูตของเจ้า พวกเขาไปไหนหรือ?”
สายตาของซูหลีไหวระริก นางตอบเสียงราบเรียบ “ข้าสั่งให้พวกเขากลับแท่นบูชาหลักไปแล้ว ด้วยฐานะของพวกเขา ไม่เหมาะสมที่จะรั้งอยู่ในวังเป็นเวลานาน”
“อ้อ…” เขาเอ่ยพลางพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ยังคงเป็นอาหลีที่รอบคอบ” เขาแย้มยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาต่อ ราวกับคำถามก่อนหน้านี้เป็นเพียงการถามโดยไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ซูหลีวางหนังสือลง จ้องมองเขาอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด นางสัมผัสได้ว่าหยางเซียวรู้เรื่องที่นางกำลังจะจากไปแล้ว จู่ๆ หยางเซียวก็กล่าวขึ้นอีกว่า “อาหลี เจ้าว่าหลางฉ่างไปที่ใดกันแน่?”
แววกังวลพาดผ่านดวงตาซูหลี “ไม่รู้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว”
“สายสืบรายงานกลับมาว่า หลางฉ่างออกเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นติ้งตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าวันก่อนแล้ว พอออกจากเขตชายแดนแคว้นติ้งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องนี้มีเงื่อนงำ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแถวๆ เมืองเหลียวเฉิงแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวจนถึงตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดปัญหาเสียแล้ว”
“ปัญหาอะไร?” ซูหลีตกใจ
“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ว่า…” จู่ๆ เขาก็ชะงักไป ซูหลีอดกังวลไม่ได้ ได้ยินเพียงเขากล่าวว่า “ด้วยความสามารถของหลางฉ่าง ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับปัญหาจริงๆ เขาก็คงมีวิธีแก้ไขได้”
………………….
Related

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset