ตงฟางเจ๋อก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างอ่อนแรง พยักหน้าเบาๆ บนไหล่นาง
ยามนี้ ตงฟางจั๋วกุมบังเหียนแน่น มองดูการกระทำอันใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติของนาง ในใจพลันเจ็บแปลบ พลิกกายลงจากหลังม้า ย่างกรายเข้าไปทางพวกเขาอย่างแช่มช้า ราวกับทุกก้าวมีใบมีดวางอยู่ ยังก้าวไปไม่ถึงตัวนาง เลือดก็ไหลอาบไปทั้งตัว
คืนที่ผ่านมา เขาตามหานางจนแทบคลั่ง ในใจมีเพียงความคิดเดียว คือขออย่าให้นางเป็นอะไรไป! เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญทั้งนั้น แต่ในวินาทีนี้ เห็นนางกอดผู้อื่นไว้แน่นด้วยสีหน้าเป็นห่วงและกังวล ซึ่งแตกต่างจากท่าทีเย็นชาที่นางมีต่อตนเองอย่างสิ้นเชิง เตือนให้เขาหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่แทบทำให้เขาคลั่งตาย!
เลือดที่ไหลเวียนในกายพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาบนใบหน้า ความริษยาแผ่ซ่านออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ เขาอยากฉีกร่างบุรุษที่ขวางหูขวางตาผู้นั้นให้แหลกคามือจนแทบทนไม่ไหว แต่มือของเขายังเอื้อมไปไม่ถึงตรงหน้าตงฟางเจ๋อ ซูหลีกลับโอบกอดตงฟางเจ๋อหมุนกายหนี และหันแผ่นหลังของตนเองเผชิญกับฝ่ามือเขาแทน
ตงฟางจั๋วพลันหยุดชะงัก ซูหลีตวาดเสียงเข้ม “ตงฟางจั๋ว ท่านยังสร้างเรื่องวุ่นวายไม่พออีกหรือ?”
นางเรียกชื่อเขาตรงๆ โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ และกลัวว่าเขาจะทำร้ายตงฟางเจ๋ออีก หัวใจของตงฟางจั๋วเจ็บปวดแสนสาหัส มือที่ค้างอยู่กลางอากาศกำเข้าหากันแน่น กัดฟันเอ่ยถามนาง “เจ้าคิดว่าข้ากำลังสร้างเรื่องวุ่นวายโดยไร้เหตุผล? เรื่องเมื่อคืน เจ้ายังติดค้างคำอธิบายกับข้า!”
ครั้นใจเย็นลง เขาเองก็ไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าเรื่องเมื่อคืนอาจมีที่มาที่ไป แต่คืนที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ถึงได้ทำให้ท่าทีที่นางมีต่อตงฟางเจ๋อเปลี่ยนไปมากขนาดนี้!
ซูหลีหันกลับมามองเขา หัวเราะเย็นชากล่าวว่า “หม่อมฉันนึกว่าจิ้งอันอ๋องเป็นคนเฉลียวฉลาดเสียอีก!”
คนฉลาดควรคิดได้ว่าไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก มิเช่นนั้น เรื่องที่เขาซัดตงฟางเจ๋อตกจากเขาด้วยมือตนเองก็จะไปถึงหูฮ่องเต้ ถึงยามนั้นเขาจะอธิบายอย่างไร? หากฮ่องเต้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับตงฟางเจ๋อในคืนที่ผ่านมา กลัวว่าพิธีคัดเลือกพระสวามีก็คงไม่ต้องจัดอีกแล้ว
เรื่องเหล่านี้ตงฟางจั๋วมีหรือจะไม่รู้! แต่เขาก็ยังอยากได้คำอธิบาย ถึงแม้เป็นการหลอกตัวเองก็ยังดี เอื้อมมือไปหมายจะคว้าตัวนาง ตงฟางเจ๋อเงยหน้าเล็กน้อย ประกายคมปลาบพาดผ่านส่วนลึกในดวงตา เขาไม่ได้ทำอะไร ตงฟางจั๋วเองก็ไม่ได้มองเขา เพียงคว้าข้อมือซูหลี เอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าลืม เจ้าคือพระชายาในอนาคตที่ข้าเลือกไว้แล้ว!”
ซูหลีกลับสะบัดมือเขาออก กล่าวว่า “เกรงว่าจิ้งอันอ๋องคงลืมไปแล้ว พิธีเลือกพระสวามีที่ทอดเวลาออกไปสามเดือนยังไม่ได้เริ่มขึ้น สวามีของหม่อมฉันจะเป็นผู้ใด ก็ยังไม่รู้ สุดท้ายหม่อมฉันจะเลือกผู้ใด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านอ๋องจะตัดสินใจได้เช่นกัน”
“เจ้า!!!” ตงฟางจั๋วโกรธจนตัวสั่น คำรามเสียงดังลั่น ท่าทางราวกับจะจับนางกลืนลงไปทั้งเป็น! ทว่า… ครั้นสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน เป่าชายกระโปรงของซูหลีจนเปิดออกเล็กน้อย รอยเลือดกระดำกระด่างบนนั้น ทำให้เพลิงโทสะที่ลุกท่วมอย่างรวดเร็วของชายหนุ่มจางหายไปในพริบตา
ตงฟางจั๋วหัวใจบีบรัด พลันนึกขึ้นได้ว่านางพลัดตกลงมาจากเนินเขาที่ชันถึงเพียงนั้น…
“เจ้าบาดเจ็บหรือ? เจ็บที่ใด? ให้ข้าดูเร็วเข้า!” สาวเท้าเข้าไปตรงหน้านางเร็วๆ สีหน้ากังวลอย่างปิดไม่มิด ต้องการตรวจอาการบาดเจ็บของนาง ลืมไปจนสิ้นว่าเมื่อครู่เขาคับแค้นใจถึงเพียงใด
ซูหลีกลับผลักเขาออกอย่างเย็นชา กล่าวว่า “ไม่รบกวนท่านอ๋องให้ต้องเป็นห่วงเพคะ!”
ซูหลีไม่สนใจสีหน้าผิดหวังของบุรุษตรงหน้า นางประคองตงฟางเจ๋อเดินเฉียดไหล่เขาไป ราวกับเขาเป็นอากาศก็ไม่ปาน
ยามนี้มีองครักษ์หลายคนวิ่งเข้ามา ผู้ที่มาถึงคนแรกคือเซิ่งฉิน ครั้นเห็นตงฟางเจ๋อบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ใจพลันสะท้าน ซูหลีรีบเอ่ย “รีบพาท่านอ๋องกลับบ้านพักตากอากาศเร็วเข้า ส่วนพวกเจ้า ลงเขาไปเชิญหมอที่เก่งที่สุดมาที่นี่ รีบไปเร็วเข้า”
ทหารในบ้านพักตากอากาศรีบรับคำก่อนจากไป ซูหลีจึงค่อยผ่อนลมหายใจเบาๆ
คนกลุ่มหนึ่งหายลับไป ณ สุดสายถนน ตงฟางจั๋วกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาเหม่อมองแผ่นหลังของนางที่ห่างออกไปไกลแล้ว ในใจกลับถามตนเองซ้ำไปซ้ำมา ทำไมระหว่างพวกเขามักเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสมอ?
ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี ใบไม้เสียดสีดังสวบสาบ
ยามนี้ตงฟางจั๋วไม่อาจทำความเข้าใจความรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจตนเอง หากเขาเกลียดนาง…เช่นนั้นทำไมยามเห็นนางพลัดตกจากเขา เขาจึงบังเกิดความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับซูหลี และนางก็จะหายไปจากชีวิตเขาตลอดกาลเช่นเดียวกับหลีซู!
ความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจเช่นนั้น กลัวว่าเขาจะทนรับได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
ครั้นเข้าใจความคิดในใจตนเอง ตงฟางจั๋วพลันขยับตัวกระโดดขึ้นหลังม้า ควบม้าตามร่างอรชรที่อยู่เบื้องหน้าไปติดๆ
ตงฟางเจ๋อประสบกับเหตุการณ์อันตรายอย่างไม่คาดฝัน ทำให้บรรยากาศในบ้านพักตากอากาศเต็มไปด้วยความแตกตื่นและชุลมุนวุ่นวาย ธนูลูกนั้นแม้ไม่ได้ทำร้ายถึงอวัยวะภายใน แต่เนื่องจากเดิมทีอาการบาดเจ็บภายในของเขาสาหัสมากอยู่ก่อนแล้ว อากาศก็ยังร้อนอีก บาดแผลก็ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้เกิดอาการอักเสบ ส่งผลให้เขามีไข้สูง
หมอที่เชิญมาจากข้างล่างภูเขาอับจนหนทาง ซูหลีร้อนใจ ครั้นจะให้คนเชิญหมอหลวงมา จู่ๆ อาการของเขาก็ทรงตัวขึ้น
ซูชิ่นนั่งอยู่หน้าเตียงตงฟางเจ๋อ มองดูบาดแผลของเขา ราวกับเจ็บปวดถึงหัวใจตนเอง ร้องไห้จนดวงตานางบวมเป่งเหมือนลูกท้อ หลีเหยาเอ่ยปลอบโยนเสียงอ่อนหวานอยู่หลายประโยค นางจึงยอมจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ในที่สุด ก่อนไปยังไม่ลืมถลึงตาจ้องซูหลีแรงๆ หากไม่ใช่เพราะนาง เจิ้นหนิงอ๋องจะบาดเจ็บเช่นนี้หรือ?
ไข้ของตงฟางเจ๋อบรรเทาลง นอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด แต่มุมปากกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ เมื่อซูชิ่นออกไป จึงค่อยลืมตา เห็นซูหลีนั่งอยู่ข้างโต๊ะ กุมหน้าผากด้วยมือข้างหนึ่ง สีหน้าปกปิดความเหนื่อยล้าไว้ไม่มิด หัวใจของเขาก็พลันสั่นไหว
“ซูซู…” เขาเรียกเสียงเบา
“หืม? ท่านอ๋องฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ?” ซูหลีรีบขยับไปข้างเตียง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
ตงฟางเจ๋อกระดกกลีบปากยิ้ม รู้สึกพึงพอใจต่อความเป็นห่วงที่นางแสดงออกมาอย่างจริงใจ ดวงตาที่เดิมก็ดำขลับและเปล่งประกายอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งดึงดูดใจกว่าเดิม เขาค่อยๆ ดึงมือนางไปกุมไว้ตรงหน้าอก นวดคลึงอย่างอ่อนโยน ยิ้มบางเอ่ยว่า “วางใจเถิด ข้าไม่เป็นไร เจ้าเองก็เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ไม่ต้องสนใจข้า รีบกลับไปพักเถิด”
ซูหลีพยักหน้า นางลำบากมาทั้งคืน อดทนมาจนถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ สีหน้านางพลันสะดุด คล้ายนึกเรื่องใดขึ้นมาได้ เอ่ยเสียงเบา “เรื่องนั้น…”
ตงฟางเจ๋อรู้ดีแก่ใจ ส่งสายตาห้ามปรามนาง พลางเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนั้นทำตามที่หารือกันไว้ก็พอ หากมีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือ เจ้าสั่งเซิ่งฉินได้เลย เขาจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่”
“อืม เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน ท่านอ๋องพักผ่อนเถิดเพคะ ยามค่ำหม่อมฉันจะมาดูอีก”
“ดี”
ซูหลีออกจากห้องไป และปิดประตูเบาๆ เมื่อหมุนกาย กลับชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง อาภรณ์ผ้าไหมรัดเกล้าหยก ตงฟางจั๋วนั่นเอง
ซูหลีสายตาเย็นชา หลังจากที่โต้เถียงกันหลายประโยคบนภูเขา นางก็ไม่เห็นเงาร่างเขาตั้งแต่นั้นมา เดิมทีนึกว่าโกรธจนไม่สนใจนางแล้ว ใครจะนึกว่ากลับรออยู่ที่นี่
นางเอ่ยเสียงเรียบ “จิ้งอันอ๋องหาซูหลีมีเรื่องใดหรือเพคะ?”
ตงฟางจั๋วสีหน้าไร้อารมณ์ กระชากข้อมือนางแรงๆ ก่อนจะเดินจ้ำออกจากเรือนของตงฟางเจ๋ออย่างรวดเร็ว
เขาก้าวเดินอย่างรวดเร็วและร้อนใจ ซูหลีสาวเท้าตามเขาแทบไม่ทัน พยายามดึงแขนเขาพร้อมกับร้องเสียงดัง “ตงฟางจั๋ว ท่านปล่อยเดี๋ยวนี้!”
……………………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 104 ความริษยาของชายหนุ่ม (2)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment