“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้สองนางรับคำ อาหารบำรุงร่างกายจานใหม่ถูกนำมาถวายอย่างรวดเร็ว ตงฟางเจ๋อกุมมือนางเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ซูซูใส่ใจเช่นนี้ ข้าช่างซาบซึ้งยิ่งนัก”
ซูหลีดึงมือกลับอย่างแนบเนียน “หม่อมฉันเป็นเจ้าบ้าน จะกล้าละเลยแขกได้อย่างไรเพคะ? ใช่แล้ว บ่าวรับใช้เหล่านี้ปรนนิบัติท่านอ๋องดีหรือไม่เพคะ?”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบิกบาน “ดีสิ ไม่มีคนไหนไม่ดีเลย โดยเฉพาะ…ฟางเอ๋อร์! น้ำพุร้อนแห่งนั้น ฟางเอ๋อร์เป็นคนแนะนำข้า แล้วก็ไม่เลวดังคาด!”
ฟางเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ รีบเอ่ย “บ่าวปรนนิบัติท่านอ๋องอย่างเต็มที่เป็นสิ่งสมควรเพคะ”
“ฟางเอ๋อร์ เจ้าใส่ใจเช่นนี้ อาหารจานเมื่อกี้ที่เพิ่งเก็บไป ถือเป็นรางวัลให้เจ้าในคืนนี้” ซูหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฟางเอ๋อร์ดีใจเป็นการใหญ่ อาหารที่ใช้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์ในบ้านพักตากอากาศ ไม่มีจานใดไม่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ยามปกติแม้เห็นบ่อย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลอง รีบคุกเข่าแสดงความขอบคุณ “ฟางเอ๋อร์ขอบคุณคุณหนูที่ตบรางวัลเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปกินข้าวเถิด ที่นี่มีข้าคนเดียวก็เพียงพอ” ความอ่อนโยนและรอยยิ้มของซูหลีทำให้ฟางเอ๋อร์ชื่นมื่นยิ่งนัก รีบก้มคำนับ ก่อนจะไปกินข้าวที่เรือนเล็ก
ตงฟางเจ๋อคลี่ยิ้ม “เจ้าให้บ่าวรับใช้ออกไป แล้วใครจะปรนนิบัติข้ายามกินข้าว?”
ซูหลีหยิบตะเกียบคีบอาหารให้เขา เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านอ๋องอยากเสวยสิ่งใดเพียงบอกหม่อมฉัน มีซูหลีอยู่ ย่อมไม่กล้าละเลยท่านอ๋อง”
ตงฟางเจ๋อจึงไม่เกรงใจ เพียงขยับปากไม่ขยับมือ กินอาหารอย่างเบิกบานใจ ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่รอยยิ้มในดวงตาเขาอบอุ่นดั่งสายน้ำ ซูหลีใจเต้นแรง ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดตายในคืนที่ผ่านมา หัวใจนางที่มีต่อเขาก็ไม่ได้สงบนิ่งดังแต่ก่อนอีกแล้ว
ข้าวมื้อหนึ่งกลับใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม หลังกินข้าวเสร็จฟางเอ๋อร์ก็มาขอบคุณอีกครั้ง ตงฟางเจ๋อลูบไปที่เอวตนเอง พลันขมวดคิ้วกล่าวว่า “หยกแขวนของข้าหายไปไหนแล้ว?”
ซูหลีใบหน้าตึงเครียด “ฟางเอ๋อร์!”
ฟางเอ๋อร์ตกใจรีบทิ้งตัวคุกเข่า “บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ! วันนี้ตอนที่ท่านอ๋องกลับมา บ่าวก็ไม่เห็นท่านอ๋องพกหยกแขวนเลยนะเจ้าคะ!”
ตงฟางเจ๋อโบกมือ “ไม่โทษนาง เมื่อคืนข้าอาจทำหล่นในสระน้ำพุร้อน”
ซูหลีกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้ารีบไปตามหา หากตามหาไม่เจอก็ไปขอรับโทษจากพ่อบ้านเสีย!”
ฟางเอ๋อร์หน้าซีด รีบโขกศีรษะ แล้วหมุนกายวิ่งออกไปทันที ซูหลีเห็นนางวิ่งออกจากเรือนมุ่งหน้าไปหลังเขา สีหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน
ตงฟางเจ๋อกล่าว “ดี ซูซูช่างปราดเปรื่องเกินผู้ใด เช่นนั้นให้ข้าช่วยอีกสักแรง!” เขาเรียกเซิ่งฉินเข้ามากระซิบเบาๆ หลายประโยค
ซูหลีเอ่ยเสียงเย็น “นางกล้าล่อลวงท่านไปที่สระน้ำพุร้อน จะต้องมีคนช่วยแน่นอน ให้นางใช้ร่างกายพิสูจน์ด้วยตนเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วเพคะ”
ตงฟางเจ๋อหัวเราะเบาๆ “แสงจันทร์นอกหน้าต่างงดงามยิ่งนัก มิสู้พวกเราไปนั่งเล่นใต้ต้นไม้สักครู่ ข้านำยอดชาอ่อนชั้นดีมาด้วย จะได้ให้ซูซูลองชิมและพูดคุยกัน”
ซูหลีไม่ได้ปฏิเสธ กำชับให้บ่าวรับใช้นำโต๊ะเก้าอี้ไปวางในสวน ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่กับนางด้านหนึ่ง เพียงคุยสัพเพเหระกับนางดังที่กล่าวจริงๆ ซูหลีลอบถอนใจ ตงฟางเจ๋อผู้นี้เป็นองค์ชายไม่ต่างจากตงฟางจั๋ว แต่คนหนึ่งเยือกเย็นสงบนิ่ง คนหนึ่งกลับใจร้อนวู่วาม ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เซิ่งฉินย้อนกลับมา ตงฟางเจ๋อสายตาขรึมลงเล็กน้อย ทว่ายังคงยิ้ม “เป็นอย่างไร?”
เซิ่งฉินเอ่ยรายงานเสียงเบา “ทุกอย่างเป็นอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้พ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อคลี่ยิ้มเย็นชา “ดี คนเล่า?”
“กระหม่อมพานางกลับไปที่เรือนบ่าวรับใช้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์ของเขาหันไปทางซูหลี รอยยิ้มยังคงไม่จางไป “ซูซู ฟางเอ๋อร์เป็นคนในจวนอัครเสนาบดี เรื่องนี้…ให้เจ้าจัดการดีกว่ากระมัง”
ซูหลีลุกขึ้นกล่าว “ขอบพระทัยท่านอ๋อง ซูหลีจะต้องตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจนแน่นอนเพคะ”
หลังบ่ายของวันที่สอง ซูหลีเอนกายงีบหลับอยู่บนตั่งนิ่ม อาจเพราะเหนื่อยล้ามาสองวันติด นางนอนหลับมาทั้งคืนก็ยังไม่หายเพลีย หลังมื้อเที่ยงจึงหลับไปอย่างสะลึมสะลือ แสงตะวันเจิดจ้าดั่งเปลวไฟ สาดส่องจนผิวกายร้อนรุ่ม คิ้วงามของซูหลีขมวดเบาๆ บนร่างกายมีเหงื่อผุดพรายบางๆ หนึ่งชั้น เปียกชุ่มเหนอะหนะ ไม่สบายตัวอย่างยิ่ง
ข้างกายมีเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามานั่ง ผ่านไปไม่นานสายลมเย็นสบายระลอกหนึ่งก็พัดมาเบาๆ ทั้งเบาบางและนิ่มนวล จังหวะสม่ำเสมอ ซูหลีถอนหายใจอย่างสบายตัว ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง โม่เซียง เด็กคนนี้นับวันยิ่งฉลาดและรู้จักเอาใจใส่มากขึ้นเรื่อยๆ
สายลมนั้นคลายความร้อนให้นาง ซูหลีจึงตะแคงกายหันไปด้านนอกอย่างไม่รู้ตัว สาบเสื้อบางๆ พลันหลุดเปิดออก เผยให้เห็นผิวเนียนขาวที่โผล่พ้นร่มผ้าออกมา
กลิ่นหอมจางๆ ของอำพันทะเลลอยโชยมาจากผ้าเช็ดหน้านิ่มๆ ที่กำลังซับเหงื่อบนหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นภาพเย้ายวนเช่นนั้น มือนั้นก็พลันชะงัก
ซูหลีพลันได้สติ กลิ่นหอมนี้ไม่ใช่กลิ่นตัวของโม่เซียงแน่นอน! นางลืมตาทันที สายตาคมปลาบตวัดมองไปยังคนที่ช่วยนางพัดวีซับเหงื่ออยู่ตรงหน้า
“เหตุใดจึงเป็นท่าน?!”
ตงฟางจั๋ว! เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด?! นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย!
สีหน้าของตงฟางจั๋วถมึงทึงสุดขีด เขากัดริมฝีปากแรงๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจ้องเขม็งไปยังทรวงอกของซูหลี คล้ายกำลังพยายามข่มกลั้นความโกรธที่ใกล้ปะทุเต็มที
ซูหลีไม่เข้าใจ ก้มมองตนเองตามสายตาเขา มองเห็นเพียงเนินอกขาวเนียนที่โผล่พ้นร่มผ้าของตนเองเต็มไปด้วยจุดสีแดงมากมาย แก้มของนางแดงผ่าว พลันได้สติ นี่คือรอยจูบที่ตงฟางเจ๋อประทับทิ้งไว้ยามที่นางกับเขาบังเกิดแรงปรารถนาร้อนแรงที่สระน้ำพุร้อนในคืนก่อน!
ซูหลีรีบกระชับสาบเสื้อปกปิดทัศนียภาพอันน่าหลงใหล ปัดมือเขาที่ยังค้างอยู่บนหน้าผากตนเองออก ลุกขึ้นนั่งและถอยกรูดไปข้างหลัง นางเบิกดวงตาคู่งามกว้าง จ้องหน้าตงฟางจั๋วอย่างโกรธเกรี้ยว เอ่ยอย่างข่มกลั้นอารมณ์ “ท่านอ๋องเข้ามาในห้องหม่อมฉัน เหตุใดไม่ให้คนรายงานเพคะ? ซูหลีจะได้ต้อนรับท่านอ๋องให้ดี!”
ตงฟางจั๋วสีหน้าเหม่อลอย ราวกับสูญเสียซึ่งการรับรู้ ปล่อยให้นางปัดมือตนเองตกข้างลำตัว ดวงตาแดงก่ำสะท้อนความเจ็บปวดสิ้นหวังอย่างบรรยายไม่ถูก รอยแดงมากมายเหล่านั้นยังคงปรากฏชัดในความคิด ราวกับพวกมันได้กลายเป็นเข็มเหล็กนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงหัวใจของเขานับครั้งไม่ถ้วน!
คืนก่อนหน้านี้ที่ข้างสระน้ำพุร้อน เขาเห็นทั้งสองคนนอนจูบกันอยู่ใต้สระในสภาพที่แทบจะเปลือยเปล่า จากนั้นก็พุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ เขาก็ยังยากจะรับไหวแล้ว! นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงว่าตงฟางเจ๋อจะใกล้ชิดกับนางจนถึงขั้นนี้!
สายตาระแวดระวังป้องกันตัวของซูหลี ทำให้จิตใจของเขาดำดิ่งราวกับตกลงไปในบ่อน้ำลึก ตงฟางจั๋วหลับตาลงอย่างเจ็บปวด สูดหายใจลึกๆ อยากจะวิ่งออกไปฆ่าตงฟางเจ๋อให้ตายเสียเดี๋ยวนี้! ทว่าสติที่เหลืออยู่น้อยนิดกลับเตือนเขาว่า หากเขาทำอย่างนั้น ซูหลีคงไม่มีทางยกโทษให้เขาไปตลอดกาล! เส้นเอ็นตรงขมับปูดโปน โลหิตในกายป่วนพล่านดั่งทำนบเขื่อนแตก
ชั่วขณะหนึ่ง ในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของเขาที่ดังสะท้อนอยู่
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ตงฟางจั๋วจึงค่อยฝืนข่มกลั้นความบ้าคลั่งและความริษยาที่มีอยู่เต็มอกได้สำเร็จ เขาอ้าปากเล็กน้อย “ข้า…” ครั้นวาจาออกจากปาก เสียงของเขาทำให้ซูหลีขมวดคิ้วทันที
เมื่อวานก็รู้สึกแล้วว่าเสียงของเขาไม่ปกติ ยามนี้ยิ่งฟังดูแหบแห้ง เปล่งเสียงยากลำบาก
ตงฟางจั๋วกลับไม่สนใจสักนิด ราวกับไม่รู้ตัว เพียงเอ่ยต่อด้วยเสียงแหบพร่า “ข้ามา เพื่ออยากจะบอกเจ้า เมื่อวาน…ประโยคนั้นที่เจ้าเอ่ยกับข้า ข้าเดินครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน…จึงค่อยกระจ่าง”
ซูหลีหลุบตามอง ชายอาภรณ์หรูหราของตงฟางจั๋วมีคราบสกปรกติดอยู่มากมาย ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเหนื่อยล้าเต็มที่ นี่เขาเดินครุ่นคิดไปจนถึงที่ใดกัน?
……………………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 106 แผนการของฮูหยิน (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment