“เจ้าบอกว่า โอกาสไม่ใช่สิ่งที่รอผู้อื่นหยิบยื่นให้ ต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง ฉะนั้น ข้าจึงมาหาเจ้าเพื่อที่จะดูว่าตนเองพอมี…โอกาสบ้างไหม เจ้ากำลังหลับสบาย ข้านั่งอยู่ตรงนี้นานมาก เจ้าก็ยังไม่รู้สึกตัว ดูท่าคงเหนื่อยมาก” ตงฟางจั๋วไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงจ้องมองนางเงียบๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวเศร้าสร้อย
ซูหลีประหลาดใจ นี่เขากำลังแสดงความเป็นห่วงนางอย่างนั้นหรือ? พฤติกรรมเอาใจใส่เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่มีทางเชื่อว่าเป็นการกระทำของจิ้งอันอ๋องผู้สูงส่งและหยิ่งยโสเหนือผู้ใดกระมัง? นางนึกไปว่าเป็นโม่เซียง จึงไม่ได้ขยับตัว
ตงฟางจั๋วในมุมนี้ นางไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย นางเคยชินกับความดื้อรั้นปากแข็ง ความเกรี้ยวโกรธ และความโอหังของเขามากกว่า ไม่เคยเห็นเขาลดตัวลงมาทำดีเช่นนี้มาก่อน! แต่ถึงอย่างนั้นแล้วอย่างไรเล่า?
ซูหลีเบนสายตาหนี แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง ทำเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพคะ”
ตงฟางจั๋วขยับปากหมายจะเอ่ยวาจา ทว่ากลับไม่พูดอะไร เมื่อครู่ยามเขาก้าวเข้ามาในห้อง ก็ถูกภาพซูหลีกำลังหลับอย่างสงบสุขตรึงเท้าให้หยุดอยู่กับที่ นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำที่นางไม่หลบหน้าเขา ไม่มีท่าทีระแวดระวัง เขามองนางใกล้ๆ อย่างหลงใหล รู้สึกเพียงว่ามองเท่าไรก็ไม่พอ
บรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้เป็นเหมือนดั่งสมบัติล้ำค่าที่สวรรค์หยิบยื่นให้ นางเพียงแสดงท่าทีไม่สบายตัวเล็กน้อย เขาก็รีบหยิบพัดขึ้นมาพัดให้ทันที ด้วยกลัวว่านางจะตื่น แล้วช่วงเวลาอันงดงามนี้จะจบลง ไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่านี่จะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
“ข้า…เดิมทีไม่อยากทำให้เจ้าตื่น อยากให้เจ้านอนพักดีๆ สักครู่ แต่สุดท้ายก็ยัง…” สายตาของตงฟางจั๋วหยุดนิ่งอยู่ที่ข้อมือของซูหลี
ผ้าโปร่งสีเขียวเรียบง่ายและสวยงาม ทว่าเนื้อผ้าบางเบาจนมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง แนบติดกับผิวขาวดั่งหิมะของนาง ปกปิดรอยเขียวช้ำหลายรอยไว้ไม่มิด ตงฟางจั๋วหัวใจบีบรัด รีบยื่นมือไปรั้งมือนาง เขาเปิดแขนเสื้อนางขึ้นเบาๆ ไล้นิ้วมือไปตามรอยเขียวเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง พลางเอ่ยเสียงแหบพร่าอย่างปวดใจ “นี่…เป็นรอยที่ข้าทำเมื่อวานหรือ?”
คำตอบเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ซูหลีหลุบตา เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
“เป็นข้าไม่ดีเอง…ซูเอ๋อร์…” แววสำนึกผิดพาดผ่านในดวงตาตงฟางจั๋ว เขาพึมพำกับตนเอง ยกมือของนางขึ้นมาใกล้ๆ ริมฝีปากอย่างไม่อาจหักห้ามอารมณ์ คล้ายต้องการจูบรอยช้ำที่เคยถูกเขาทำร้าย
ซูหลีตกใจ พลันบังเกิดความรู้สึกรังเกียจ รีบชักมือกลับ ดึงแขนเสื้อปิดรอยฟกช้ำเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบนหน้าหนีอย่างไม่พอใจ นางไม่อาจทนรับสัมผัสใกล้ชิดจากเขาได้จริงๆ
ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันเปลี่ยน เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงที่เดิม แล้วกล่าวอย่างผิดหวัง “หรือว่าในใจซูเอ๋อร์ยังคงนึกโทษข้าอยู่?” ยามนี้ ความโกรธแค้นและชิงชังที่เขามีต่อตงฟางเจ๋อได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ทว่ากลับทำได้เพียงฝืนกล้ำกลืนความแค้นนี้เอาไว้
ซูหลีตอบกลับเสียงเรียบ “ท่านอ๋องเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ วันนี้หม่อมฉันยังไม่ได้อาบน้ำ เกรงจะทำให้พระวรกายอันสูงส่งของท่านอ๋องแปดเปื้อน” พูดไป นางก็ถือโอกาสลุกจากตั่ง เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล
ตงฟางจั๋วเจ็บปวดหัวใจ วาจาของนางฟังดูดีไม่มีที่ติ ทว่าการกระทำของนางกลับทำให้เขาเจ็บปวดและสิ้นหวังยิ่งนัก ในใจพลันบังเกิดความคิด กล่าวขึ้นอย่างมีความหวัง “เจ้าไม่ปฏิเสธความใกล้ชิดจากเขา เพราะเขาบาดเจ็บจากการช่วยเจ้า?”
ได้ยินประโยคนี้ ซูหลีลอบแสยะยิ้มเย็นชาในใจ ตงฟางจั๋ว ท่านยังคงเข้าใจผู้อื่นตามที่ตนเองต้องการเช่นนี้เสมอมา แต่กลับโทษผู้อื่นว่าไม่ให้โอกาสท่าน นางเงยหน้าเล็กน้อย จ้องหน้าเขาและเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ คืนก่อนนั้นหากไม่ได้เจิ้นหนิงอ๋องเสี่ยงตายช่วยไว้ เกรงว่าซูหลีคงตกภูเขาตายไปนานแล้ว”
นางตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว แต่ละคำเหมือนค้อนที่ทุบลงบนใจเขาแรงๆ
ตงฟางจั๋วสีหน้าซีดขาว ลุกพรวดเดินไปตรงหน้านาง พลันง้างแขนขึ้นกลางอากาศ
ซูหลีตกใจ รีบตั้งท่าระวังตัว ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอีก
ตงฟางจั๋วลดแขนที่ง้างขึ้นลง โต๊ะน้ำชาตัวเล็กข้างกายนางพลันถูกฟาดจนแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาจ้องซูหลีตาไม่กะพริบพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “นับจากนี้ต่อไป ข้าจะไม่มีวันทำเรื่องที่เป็นการทำร้ายเจ้าแม้แต่เรื่องเดียว หากผิดวาจา ขอให้กลายเป็นเหมือนสิ่งนี้!” ยังไม่ทันสิ้นประโยค ก็ได้ยินเสียง ‘ติ๋งๆ’ ดังติดกันหลายครั้ง โลหิตสีแดงสดหลายสายพลันไหลลงมาตามนิ้วมือเรียวยาวของเขา หยดลงบนพื้นข้างเท้าเขาจนกลายเป็นกองเลือดขนาดย่อมอย่างรวดเร็ว
เขากลับไม่ใช้กำลังภายใน เพียงใช้เรี่ยวแรงมหาศาลทุบโต๊ะน้ำชาตัวนี้จนแตกละเอียด!
ตงฟางจั๋วสีหน้าหนักแน่นขึงขัง ไม่ได้มีท่าทีทำอย่างขอไปทีแม้แต่น้อย ไม่รอให้นางเอ่ยคำใด เขารีบเอ่ยวาจารับรองด้วยเสียงแหบแห้ง “สิ่งที่เขาทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!” เอ่ยจบ ก็มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วหมุนกายสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป
ตงฟางจั๋วบ้าไปแล้วจริงๆ! ซูหลีนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไร้คำพูด นอกประตูเสียงถวายบังคมของโม่เซียงพลันดังเข้ามา “บ่าวถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋องเพคะ” นางพลันได้สติ พี่น้องคู่นี้ราวกับนัดแนะกันมา คนหนึ่งเพิ่งไป อีกคนหนึ่งก็มาแล้ว
เงาร่างสูงใหญ่พาดผ่าน ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าดีขึ้นกว่าสองวันก่อนมาก เขายิ้มแล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “ซูซู”
ซูหลีรีบลุกขึ้นถวายบังคม พลางเอ่ยเสียงเบา “ซูหลีถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องออกมาเดินเล่นเช่นนี้ พระวรกายคงดีขึ้นมากแล้ว?”
ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาหลายก้าว ประคองนางลุกขึ้น และยิ้มให้นางอย่างสนิทสนม “ซูซูเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” เขามองเห็นสภาพวุ่นวายในห้องตั้งแต่แวบแรก ครั้นเหลือบไปเห็นกองเลือดเล็กๆ บนพื้น นัยน์ตาพลันเคร่งขรึม
ซูหลีถอยตัวออกจากการประคองอันอบอุ่นของเขาอย่างแนบเนียน ยิ้มบางกล่าวว่า “ท่านอ๋องเชิญนั่งเพคะ โม่เซียง นำชามาถวาย”
ตงฟางเจ๋อยกมือขึ้นห้าม “ไม่ต้อง ข้าเพียงมาบอกลาเจ้าเท่านั้น”
ซูหลีเอ่ยอย่างตกใจ “ท่านอ๋องเสด็จกลับเร็วเช่นนี้เลยหรือเพคะ? หรือเมืองหลวงเกิดเรื่องใด?”
ตงฟางเจ๋อโน้มตัวเข้าไปหานาง หัวเราะเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างมีความหมายแฝง “ทำไม? ซูซูไม่อยากให้ข้าไปหรือ?” นัยน์ตาของเขาสุกใสดั่งสายน้ำ จ้องมองนางนิ่ง แฝงแววค้นหาอยู่หลายส่วน
ซูหลีหัวใจเต้นแรง ถอยห่างหลายก้าว หลุบตายิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงล้อเล่นอีกแล้ว”
ตงฟางเจ๋อก้าวตามมาติดๆ ยืนชิดกายนางไม่ยอมห่าง แสร้งถอนใจเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยล้อเล่น อุตส่าห์มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับซูซู ข้า…ไม่อยากจากไปเลยจริงๆ เพียงแต่มีราชการติดพัน จึงจำต้องจากไป” เขากระซิบกระซาบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล คล้ายมีความเสน่ห์หาผสมอยู่ด้วย ทำเอาผู้คนยากจะแยกแยะว่ามีความจริงกี่ส่วน ความเท็จกี่ส่วน
ซูหลีจิตใจว้าวุ่นอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามยิ้มอย่างใจเย็น กล่าวว่า “ซูหลีขอบพระทัยในความโปรดปรานที่ท่านอ๋องทรงมอบให้เพคะ นี่ก็สายมากแล้ว อย่างไรท่านอ๋องควรรีบเดินทางดีกว่าเพคะ”
“ซูซูกล่าวถูกต้อง” ตงฟางเจ๋อนึกถึงสายข่าวจากเมืองหลวง สายตาพลันไหวระริก ทว่าพริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ก่อนเอ่ยกำชับนาง “ข้าไม่อยู่ข้างกาย เจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
ซูหลีพลันอุ่นใจเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ ตงฟางเจ๋อไม่เอ่ยมากความอีก เพียงกล่าวลาและจากไป
ออกจากจวนมาครานี้เป้าหมายก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ปรากฏว่ากลับมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากกว่าเดิม ยามนี้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในสระน้ำพุร้อนชัดแจ้ง รั้งอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ซูหลีจึงให้คนถ่ายทอดคำสั่งลงไป บอกว่าตนเองมีเรื่องด่วน ต้องเดินทางกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น จิ้งอันอ๋องและคุณหนูทั้งสองจะรั้งอยู่หรือจากไปก็แล้วแต่อัธยาศัย ซูชิ่นทราบเรื่องก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทว่าครั้นได้ยินว่าตงฟางเจ๋อกลับไปแล้ว ก็พลันรู้สึกว่าไม่มีเรื่องน่าสนใจอีก จึงตกลงกับหลีเหยาว่าจะกลับไปพร้อมกัน มีเพียงตงฟางจั๋วผู้เดียวที่ไม่มีคำตอบชัดเจน
รุ่งสางของวันที่สอง ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางอยู่หน้าประตูบ้านพักตากอากาศ ตงฟางจั๋วพลันปรากฏกาย เขาสาวเท้าเดินไปด้านหน้ารถม้าของซูหลีเร็วๆ แล้วยื่นดอกไม้สวยสดงดงามช่อหนึ่งให้นาง สีสันหลากหลาย ชนิดพรรณแตกต่าง ล้วนเป็นพรรณที่หาดูได้ยากยิ่ง ดอกไม้ทุกดอกยังมีน้ำค้างยามเช้าเกาะอยู่ สะท้อนประกายวิบวับต้องตาผู้คน เห็นชัดว่าเพิ่งถูกเด็ดลงมาจากบนภูเขา!”
……………………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 107 แผนการของฮูหยิน (2)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment