กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 120 พร้อมแล้วหรือยัง? (3)

สายตาเรียบเฉยของฮองเฮาเลื่อนมองมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เหตุใดวันนี้เจิ้นหนิงอ๋องจึงมาพร้อมกับท่านหญิงหมิงซีได้เล่า?”
ตงฟางเจ๋อตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ลูกเพิ่งไปถวายพระพรเสด็จพ่อมา เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงที่เมื่อวานเสด็จแม่ไม่สบาย จึงให้ลูกมาถามไถ่ บังเอิญพบท่านหญิงหน้าตำหนัก จึงมาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮายิ้ม “เมื่อวานข้าเพียงอ่อนเพลียจึงเข้านอนเร็ว เสด็จพ่อของเจ้าก็คิดมากไป เจ้านั่งเถิด ไม่กี่วันมานี้ข้าได้ยินมาว่าเจ้าปราบปรามสำนักเฉินเหมินได้ สร้างผลงานใหญ่หลวง คงเหนื่อยแย่กระมัง”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “ช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาภาระได้ เป็นหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เจ้ามีความสามารถมาโดยตลอด ฝ่าบาททรงเอ่ยชมเจ้าไม่น้อย เช่นนั้นคนในสำหนักเฉินเหมินถูกสังหารหมดแล้วหรือ? ข้าได้ยินว่าเฉินเหมินเป็นกองกำลังโหดร้ายที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ขอเพียงมีเงิน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนฆ่าได้ทั้งนั้น กองกำลังชั่วร้ายเช่นนี้เหตุใดจึงก่อตั้งอยู่ในแคว้นของเราได้? เจิ้นหนิงอ๋องต้องระวังตัวให้มาก อย่าปล่อยให้ภัยแฝงหลุดรอดไปได้” ดวงตาหงส์ของฮองเฮาหรี่เล็ก รอยยิ้มเย็นชา
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เสด็จแม่วางพระทัย ลูกจะทุ่มเทกำลังสังหารพวกนั้นให้สิ้น ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียวแน่นอน”
ซูหลีตกตะลึง เขาเคยบอกว่าจะไม่สืบสาวเอาความอีกไม่ใช่หรือ? เหตุใดยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา…
“อืม เจ้ามีแผนการแล้วหรือ?” ฮองเฮาพยักหน้าและสอบถาม
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “เฉินเหมินสาขาใหญ่และสาขาย่อยต่างๆ ล้วนถูกลูกปราบปรามจนสิ้นแล้ว ถึงจะหลุดรอดไปได้คนสองคน ก็ไม่เป็นภัยอันตราย ลูกตรวจสอบทุกคืนวัน เชื่อว่าไม่นานก็จะสามารถจับพวกเขาได้ เสด็จแม่ทรงวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีสะท้านใจ ประโยคนี้ฟังไม่เหมือนข้ออ้าง แต่วาจาที่เขาเคยเอ่ยกับนาง นางยังจำได้ขึ้นใจ คิดว่ารายชื่อผู้จ้างวานที่อ่านไม่ออกนั่น เขาคงไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอน
ฮองเฮาสายตาเคร่งขรึม ทว่ากลับหัวเราะกล่าวว่า “ดี เจิ้นหนิงอ๋องทำเรื่องใดฮ่องเต้ทรงวางพระทัยเสมอมา ข้าก็ย่อมวางใจด้วย ใช่แล้ว ข้ายังมีวาจาอีกหลายประโยคอยากเอ่ยกับท่านหญิงหมิงซีตามลำพัง เจิ้นหนิงอ๋อง เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ตงฟางเจ๋อนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงเห็นหม่อมฉันเป็นเหมือนลูกแท้ๆ เสมอมา ยังมีวาจาใดกลัวลูกได้ยินอีกหรือ? ยามปกติในพระราชวัง เสด็จแม่ทรงยุ่งกับเรื่องในวังหลัง ลูกอยากพูดคุยกับเสด็จแม่ให้มากขึ้นก็ไม่มีโอกาส วันนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากนักที่เสด็จแม่ไม่ต้องจัดการเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น ทว่ากลับทรงรีบไล่ลูกออกไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด? หากเปลี่ยนเป็นพี่รองอยู่ที่นี่ เสด็จแม่คงไม่ทำเช่นนี้กระมัง?”
เขากล่าวคล้ายคับข้องใจ สีหน้าเจ็บปวด เหมือนลูกกำลังต่อว่าพ่อแม่ที่ลำเอียง! ซูหลีเห็นเช่นนั้นก็ตะลึงงัน รู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตงฟางเจ๋อหลุบตาต่ำ สายตากวาดมองโต๊ะชาด้านหน้าฮองเฮาอย่างแนบเนียน บนโต๊ะตัวนั้นมีชาที่ใกล้เย็นชืดแต่ก็ยังไม่ถูกจิบสักคำวางอยู่ถ้วยหนึ่ง สายตาเขาเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปแม้แต่น้อย
ฮองเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน กล่าวต่อว่าด้วยรอยยิ้ม “ดูเจ้าลูกคนนี้พูดเข้าสิ! ข้าไล่เจ้าไปเมื่อใดกัน ข้าเพียงต้องการกล่าวเรื่องของสตรีกับท่านหญิงเท่านั้น เจ้าเป็นบุรุษ จะฟังเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน! ออกไปเถิด”
หากไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง จะต้องรู้สึกว่าแม่ลูกคู่นี้สนิทสนมกัน ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็เหมือนลูกแท้ๆ ชวนซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ซูหลีฟังบทสนทนาของทั้งสองแล้วกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ยากที่จะจินตนาการได้ ในฐานะมารดาแห่งแผ่นดิน เบื้องหลังรอยยิ้มสนิทสนมและอ่อนโยนเช่นนั้น กลับมีแต่แผนการชั่วร้ายที่เอาถึงชีวิตซ่อนอยู่! มิน่าเล่าโอรสทั้งเจ็ดคนของฮ่องเต้ สุดท้ายกลับเหลือรอดมาได้เพียงสองคนเท่านั้น!
“ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นลูกไม่รบกวนเสด็จแม่กับท่านหญิงแล้ว!” ตงฟางเจ๋อเอ่ยจบก็หมายจะค้อมกายกล่าวลา แต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวขึ้นอีกว่า “…อ้อ ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนมา ลูกเห็นพี่รองไปที่ห้องบรรทมของเสด็จพ่อ คิดว่าอีกเดี๋ยวคงมาที่นี่พร้อมกัน เช่นนั้นลูกขอยืนรอเสด็จพ่อกับพี่รองอยู่ด้านนอกแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ!”
เขายังคงคลี่ยิ้มอย่างใจเย็นและนอบน้อม เพียงแต่วินาทีที่หมุนกาย รอยยิ้มนั้นก็ได้กลายเป็นเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง เขาส่งสายตาให้ซูหลี ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากห้องไป และยืนรออยู่ในลานหน้าตำหนัก
ซูหลีมองเห็นสัญญาณเตือนภัยจากสายตาของเขา อดนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่เกิดในสระน้ำพุร้อนไม่ได้ ครั้งนั้นฮองเฮาหลอกใช้ซูฮูหยินวางแผนเล่นงานตงฟางเจ๋อไม่สำเร็จ ยากรับประกันว่าฮองเฮาจะไม่ใช้แผนการเดิมเพื่อเล่นงานนางอีกครั้ง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีก็ย่อมระแวดระวังมากกว่าเดิม เงยหน้ามองฮองเฮา ยามนี้ฮองเฮากำลังจ้องเงาหลังของตงฟางเจ๋อ แววเย็นชาพาดผ่านดวงตา คล้ายถูกคนขัดขวางเรื่องดี ในใจโกรธเกรี้ยวสุดแสน กำหมัดแน่นจนมือสั่น
ในห้อง กลิ่นจางๆ ของธูปหอมกับกลิ่นชาหอมสดชื่นลอยเคล้ากันในอากาศ ศิลาเลือดนกเพลิงในมือซูหลีเดิมทีเย็นเยียบถึงกระดูก ยามนี้กลับร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง คล้ายต้องการแผดเผาสติสัมปชัญญะของนางผ่านผิวกาย สติของนางค่อยๆ เลือนราง
พลันนั้น ซูหลีราวกับย้อนกลับไปอยู่ในสระน้ำพุร้อนอีกครั้ง นางและตงฟางเจ๋อแทบเปลือยกาย กอดรัดพัวพันไม่ยอมห่าง ความรู้สึกงดงามเช่นนั้นโจมตีร่างกายนางดั่งคลื่นทะเลซัดสาด…
ซูหลีหัวใจพลันสะท้าน นางเดาถูกดังคาด! รีบหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ใช้ปลายนิ้วบี้จนแหลก กำลังจะนำมาทาลงบนผิวที่นางใช้เล็บกรีดจนเป็นแผล ทว่ากลับชะงักไปก่อน จุดประสงค์ที่ฮองเฮาทำเช่นนี้ เห็นชัดว่าต้องการให้นางกับตงฟางจั๋วหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกก่อนพิธีคัดเลือกพระสวามี เมื่อทำเช่นนั้นนางก็จำต้องแต่งงานกับตงฟางจั๋วอย่างเสียมิได้ ทว่า… ฮองเฮาคงนึกไม่ถึงว่าตงฟางจั๋วจะถูกตงฟางเจ๋อไล่ให้ไปหาฮ่องเต้ ยามนี้ตงฟางจั๋วไม่อยู่ ตงฟางเจ๋อยืนรออยู่ด้านนอก ผ่านไปไม่นาน ฮ่องเต้ก็น่าจะเสด็จมาถึงที่นี่แล้ว!
ซูหลีเก็บยาวิเศษที่ปลายนิ้วเงียบๆ นางกลับอยากดูว่าฮองเฮาจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร?
“เด็กๆ ชาเย็นแล้ว นำชาอุ่นๆ มาเปลี่ยนให้ท่านหญิงที” ฮองเฮาคลายหมัดที่กำไว้แน่น มองซูหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะกำชับสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ครั้นสาวรับใช้นำชาใหม่ที่มีควันอุ่นๆ ยื่นมาตรงหน้าซูหลี ซูหลีอดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มเย็นชาในใจ สมแล้วที่เป็นฮองเฮา นางคำนวณทางหนีทีไล่ไว้พร้อม หากดื่มชาที่ผสมยาแก้พิษแก้วนี้ลงไปเมื่อใด เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตำหนักเฟิ่งอี๋ในวันนี้ก็จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้เห็นอีก แม้ซูหลีจะเข้าใจ กลับไม่ดื่มไม่ได้ เพราะอีกเดี๋ยว นางยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ!
แหงนหน้าดื่มชาจนหมดถ้วย อาการไม่สบายตัวทั้งหมดพลันหายไปจนสิ้น ภาพลวงตาเมื่อครู่ราวกับความฝันเพ้อเจ้อตื่นหนึ่งเท่านั้น
“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ!” เก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจ ซูหลีก้มหน้าขอบพระทัย ท่าทางราวกับไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น
ฮองเฮายิ้มอ่อนโยน คล้ายไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น กล่าวยิ้มๆ “วันนี้ถือเป็นวันมงคลของเจ้า เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง?”
ซูหลีหลุบตาตอบเสียงเรียบ “เพคะ”
ฮองเฮากระดกคิ้ว หมายจะถามหยั่งเชิงว่านางจะเลือกผู้ใด ซูหลีกลับเงยหน้าถามเสียก่อน “ไม่ทราบว่าพักนี้พระวรกายของฮองเฮาทรงเป็นเช่นไรบ้าง? ยังทรงฝันร้ายอยู่หรือไม่เพคะ?”
จู่ๆ ซูหลีก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮองเฮาชะงักงัน ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “ฝันร้ายนั้นไม่มีแล้ว แต่พักนี้กลับนอนไม่ค่อยหลับ ใช่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นเว่ยและชาเก๋ากี้ทองที่เจ้าให้ข้าดื่มหรือไม่?”
ซูหลีพยักหน้า “อวิ๋นเว่ยเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ไม่เหมาะดื่มเป็นเวลานาน ในเมื่อฮองเฮาทรงหายจากอาการประชวรแล้ว มิสู้ลองหยุดดื่มก่อนสักช่วง ภายหน้า…หากมีอาการซ้ำ ค่อยคิดหาทางแก้ไขอื่น”
………………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset