“ยังกำเริบได้อีกหรือ?” ฮองเฮาขมวดคิ้วมองนาง ในสายตาแฝงแววเคลือบแคลงเล็กน้อย
ซูหลีสายตาเรียบเฉย เพื่อถ่วงเวลา นางจึงเอ่ยถึงสรรพคุณยาของดอกไม้สมุนไพรเหล่านั้นอย่างละเอียด น้ำเสียงเรียบนิ่ง สีหน้าจริงจังเคร่งขรึม ฮองเฮาที่ฟังอยู่สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด กระทั่งฮ่องเต้เสด็จมาถึง จึงค่อยปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” หลังจากฮองเฮาถวายบังคมเสร็จ ซูหลีกับคนอื่นๆ ต่างถวายบังคมพร้อมกัน
ฮ่องเต้ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาในห้อง ฝีเท้ามั่นคง สูงสง่ามีราศี พระพักตร์ไร้ร่องรอยความเจ็บป่วย เขาประคองฮองเฮาเดินไปนั่งที่นั่งประธานด้วยกัน แล้วจึงค่อยหันไปกล่าวกับเหล่าคนที่อยู่เบื้องล่างว่า “ไม่ต้องมากพิธี” ก่อนจะทอดมองไปนอกห้อง ยิ้มบางกล่าวว่า “เจ๋อเอ๋อร์เข้ามาเถิด”
ตงฟางเจ๋อขอบพระทัยก่อนเข้ามา ทำความเคารพฮองเฮาพร้อมกับตงฟางจั๋วที่มาพร้อมฮ่องเต้ แล้วแยกย้ายกันไปนั่งขนาบข้างซูหลี
วันนี้ซูหลีเขียนคิ้ว และปัดแต่งใบหน้าด้วยแป้งชาดบางๆ ปอยผมดำขลับข้างหูซ้ายถูกม้วนขึ้นเล็กน้อย ปกปิดปานแดงบนพวงแก้มไว้ได้อย่างพอดิบพอดี สวมชุดกระโปรงยาวเนื้อผ้าซาติน ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อโปร่งสีชมพูอ่อน บนศีรษะมีปิ่นหยกสีเขียวมรกตสองอันปักเฉียงๆ ไว้ในเรือนผม การแต่งกายที่เรียบง่ายทว่าไม่ขาดความเป็นพิธีการ ทำให้โฉมสะคราญที่งดงามโดดเด่นเหนือผู้ใด ยิ่งถูกขับเน้นให้ดูสง่างามและสูงส่งดั่งเทพธิดาเมื่ออยู่ในตำหนักอันเรืองรองแห่งนี้
สตรีเช่นนี้ อาศัยเพียงบุคลิกภายนอก ก็สามารถกุมหัวใจผู้คนได้แล้ว ยิ่งถ้ามีสติปัญญาอันปราดเปรื่องด้วยแล้ว…
ฮ่องเต้สายตาไหวระริกเล็กน้อย กวาดสายตาพิจารณาใบหน้านาง คล้ายกำลังไตร่ตรองบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมายากคาดเดา ซูหลีไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขา เพียงหลุบแพขนตาลงต่ำ ฮ่องเต้มองไปยังบุรุษสองคนข้างกายนาง โอรสสองคนที่ต่างมีดีในตนเองและล้วนเก่งกาจในสายตาเขา นางจะเลือกผู้ใดกัน?
“ท่านหญิงหมิงซี เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง?” คำถามเดียวกับฮองเฮา แต่น้ำเสียงของฮ่องเต้ไร้แววหยั่งเชิง มีเพียงความคาดหวังรางๆ
“เพคะฝ่าบาท!” ซูหลีก้มหน้าตอบ ในใจอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ถึงแม้สิ่งที่นางเตรียมตัวมา จะไม่เหมือนกับที่ฮ่องเต้คิด แต่เพื่อรับมือกับวันนี้ นางตั้งตารอคอยมานานหลายเดือนแล้ว สิ่งที่ควรคิดก็ล้วนคิดหมดแล้ว สิ่งที่ควรเตรียมก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว เพียงต้องรอให้ช่วงเวลานั้นมาถึงเท่านั้น แม้รู้ว่าการกระทำอันอาจหาญเช่นนั้นจะเป็นการหลบหลู่เกียรติของราชวงศ์ ยั่วโทสะพระพักตร์มังกร กระทั่งอาจนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตน แต่เรื่องบางเรื่อง นางก็จำต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้!
เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุด หากพลาดไปก็ไม่มีทางหวนคืนมาอีกแล้ว! เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูหลีข่มกลั้นความตื่นเต้นที่จู่โจมจิตใจ ก่อนเงยหน้าคลี่ยิ้มกล่าวว่า “หมิงซีเตรียมพร้อมแล้วเพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย!”
ฮ่องเต้พยักหน้า “หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
น้ำเสียงแฝงแววทอดถอนใจ สิ่งที่สะท้อนออกมาด้วยกลับเป็นคำเตือน ดึงดูดให้ฮองเฮาและตงฟางจั๋วจ้องมองด้วยความสงสัย ส่วนตงฟางเจ๋อเหล่มองมาด้วยสายตาเรียบเฉย ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ซูหลีหลุบแพขนตาลงต่ำ ตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เพคะ”
ฮองเฮาพลันมองไปที่ศิลาเลือดนกเพลิงในมือนาง เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ในมือของท่านหญิงถือสิ่งใดอยู่?”
ซูหลีอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็กางฝ่ามือออก
“ศิลาเลือดนกเพลิง?!” ฮองเฮาร้องอย่างตกตะลึง ไม่รอให้ซูหลีเปิดปาก ฮองเฮาก็เดินมาตรงหน้านาง มองตงฟางจั๋วที่อยู่ข้างกายนาง แล้วดึงมือนาง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ข้าก็ยังสงสัยอยู่ จั๋วเอ๋อร์ร้อนใจมาขอศิลาก้อนนี้ไปจากข้าตั้งแต่ยังเช้าตรู่ ที่แท้ก็รีบเอาไปให้เจ้านี่เอง…ท่านหญิงหมิงซี จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยกล่าวกับเจ้าว่าอย่างไร? ศิลาก้อนนี้ ข้าตั้งใจจะมอบให้เป็นของขวัญแก่ชายาในจิ้งอันอ๋อง ในเมื่อจั๋วเอ๋อร์มอบมันให้เจ้า และเจ้าก็รับมันไว้แล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าก็ต้องรักษามันไว้ให้ดีเล่า!”
รอยยิ้มอบอุ่น สายตาอ่อนโยน ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮองเฮาตบมือซูหลีเบาๆ เห็นชัดว่าจงใจบ่งชี้ความหมายบางอย่าง
ตงฟางเจ๋อสายตาสั่นไหว หันมามองซูหลีทันที
ซูหลีลอบสะดุ้งในใจ รีบอ้าปากกล่าว “ฮองเฮาเพคะ…”
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าล้วนเข้าใจ!” ฮองเฮาตัดบทนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คล้ายคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ ทว่ากลับไม่เปิดโอกาสให้นางแก้ต่าง นางหันไปมองตงฟางจั๋ว กล่าวต่อว่าต่อขาน “เจ้าลูกคนนี่ก็เหลือเกิน! พิธีคัดเลือกยังไม่เริ่ม ถึงแม้พวกเจ้าจะตัดสินใจกันเป็นการส่วนตัวไปแล้ว แต่ทำเช่นนี้ก็ถือว่าใจร้อนเกินไป…ฝ่าบาท พระองค์ว่าใช่หรือไม่เพคะ?” ฮองเฮาหันไปมองฮ่องเต้ ดวงตาหงส์กระจ่างใส
ฮ่องเต้เหลือบมองซูหลี ไม่ได้เอ่ยอะไร
ซูหลีขมวดคิ้ว เมื่อครู่ฮองเฮาแผนการล้มเหลว นางเองก็เดาได้ว่าฮองเฮาไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ แน่ ดูท่า ฮองเฮาคงคิดจะนำศิลาเลือดนกเพลิงมาเป็นหลักฐาน บังคับให้นางเลือกตงฟางจั๋วในพิธีคัดเลือก! หากฮ่องเต้เชื่อจริงๆ ว่านางกับตงฟางจั๋วได้ตกลงปลงใจกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ครั้นถึงยามที่นางต้องเลือกนางกลับไม่เลือกตงฟางจั๋ว เช่นนั้นไม่กลายเป็นว่านางหลอกลวงฮองเฮา และล่อลวงท่านอ๋องหรอกหรือ? การเปลี่ยนใจไปมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มั่นคงในความรู้สึก เป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของสตรี และเป็นข้อห้ามประการแรกในการเลือกพระชายาของราชวงศ์!
แผนการนี้ของฮองเฮา ชั่วร้ายยิ่งนัก!
ซูหลีมีหรือจะยอมถูกนางเล่นงานง่ายๆ? สายตาพลันเย็นเยียบ กวาดตามองไปยังตงฟางจั๋วที่ยืนข้างกายตนเอง ทว่าตงฟางจั๋วยามนี้สีหน้าไม่ดีนัก เขาขมวดคิ้วมองฮองเฮา คล้ายไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ฮองเฮาทำ ซูหลีอึ้งงันไปเล็กน้อย นางรีบหมอบลงกับพื้น “ฮองเฮาทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ!”
คงเพราะนึกไม่ถึงว่าพูดถึงขั้นนี้แล้วนางยังกล้าคัดค้าน ฮองเฮากระดกคิ้ว แววโหดเหี้ยมพลันบังเกิดในดวงตา จ้องนางและเอ่ยถาม “เข้าใจผิด? หรือว่าข้ามองผิดไป สิ่งที่อยู่ในมือเจ้ามิใช่ศิลาเลือดนกเพลิงหรอกหรือ?”
ซูหลีรีบกล่าว “ฮองเฮามิได้มองผิดเพคะ ศิลาเลือดนกเพลิงอยู่ในมือหมิงซีจริงๆ แต่หมิงซีมิได้เต็มใจรับไว้ แท้จริงแล้ว…หมิงซียากปฏิเสธจิ้งอันอ๋อง หมายหาโอกาสคืนศิลานี้ให้ฮองเฮาเพคะ!” เอ่ยจบ สองมือประคองศิลา ชูขึ้นเหนือศีรษะ
ตงฟางจั๋วสีหน้าพลันเปลี่ยน เขารู้มาโดยตลอดว่านางไม่ชอบตนเอง แต่นึกไม่ถึงว่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ฮองเฮา และตงฟางเจ๋อ นางกลับกล้าปฏิเสธตนเองตรงๆ เช่นนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดพลันจู่โจมจิตใจทันที
เขาเดินเข้าไปฉวยศิลาเลือดก้อนนั้นจากมือนาง ไม่รู้เป็นเพราะโกรธเกรี้ยวหรือปวดใจเกินไป ร่างกายถึงกับสั่นสะท้านจนพูดคำใดไม่ออก
ตงฟางเจ๋อสายตาเป็นประกายเล็กน้อย คลี่ยิ้มเอ่ยปลอบ “พี่รองอย่าทรงกริ้ว! ท่านหญิงหมิงซีเพียงพูดความจริงเท่านั้น”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?!” ตงฟางจั๋วสะบัดแขนเสื้อหมุนกาย ตวาดเสียงเกรี้ยว
ตงฟางเจ๋อไม่ยี่หระ เพียงยิ้มบางกล่าวว่า “เจ๋อไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เพียงบังเอิญเห็นพี่รองยัดศิลาเลือดนกเพลิงก้อนนี้ใส่มือท่านหญิงพอดีเท่านั้น”
ถึงแม้เขาพูดความจริง แต่ตงฟางจั๋วก็ยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ เขากำหมัดแน่น เพลิงโทสะท่วมท้น อีกนิดเดียวก็จะปะทุแล้ว
ฮองเฮาสายตาแปรเปลี่ยน รีบกุมมือตงฟางจั๋วไว้ ส่งสายตาเตือนเขา ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ ห้ามทำเรื่องวู่วามเด็ดขาด
ตงฟางจั๋วชำเลืองมอง ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนที่นั่งกำลังมองเขาโดยไม่เอ่ยอะไร สายตาลึกล้ำอันยากคาดเดานั้นทำให้ตงฟางจั๋วพลันสะท้าน เพลิงโทสะที่ลุกท่วมกายพลันดับมอดจนสิ้นในพริบตา
ฮองเฮาปล่อยมือเขา เยื้องย่างไปตรงหน้าซูหลี สายตาดั่งกระบี่คมจดจ้องนางไม่วางตา ปากกลับคลี่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่ได้มีใจให้จิ้งอันอ๋อง?”
ซูหลีหลุบตา ยังไม่ทันตอบ ฮองเฮาก็เอ่ยต่อว่า “แต่ข้าจำได้ ในตอนแรกที่รายชื่อคัดเลือกพระชายาไม่มีชื่อของเจ้าอยู่ด้วย เป็นจิ้งอันอ๋องที่พาเจ้าเข้าวังมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น! เจ้ากล้าพูดหรือว่าก่อนหน้านั้นเจ้าไม่เคยแสดงท่าทีว่ามีใจให้เขาแม้แต่น้อยนิด?! หรือว่า เจ้าคิดหลอกใช้เขา?!”
………………………………………………………
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 121 ซูหลีเลือกพระสวามี (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment