น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน วาจากลับร้ายกาจ
ซูหลีลอบสะดุ้งในใจ รีบก้มหน้ากล่าว “หมิงซีมิกล้าเพคะ หมิงซีไม่เข้าใจว่าฮองเฮาทรงหมายถึงสิ่งใด!”
ฮองเฮาแค่นหัวเราะเย็นชาเบาๆ “เหอะ! พิธีคัดเลือกพระชายาในวันนั้น จั๋วเอ๋อร์กล้าขัดพระบัญชาเสี่ยงพาเจ้าเข้าวัง ในใจเจ้าน่าจะรู้ดีว่านั่นหมายความว่าเช่นไร! เจ้าถวายการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ งดงามเป็นที่กล่าวขาน เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีการเตรียมพร้อมแต่แรก มีความตั้งใจเดียวกับจั๋วเอ๋อร์ หมายปองตำแหน่งพระชายาในจิ้งอันอ๋อง…ทว่า…”
นัยน์ตานางคมปลาบ มุมปากหยักยิ้มเย้ยหยัน “ฝ่าบาททรงเอ็นดูเจ้าที่มีความสามารถโดดเด่น อนุญาตให้เจ้าเลือกท่านอ๋องทั้งสองเป็นพระสวามี เจ้ากลับโลเลเลือกไม่ได้…ซูหลี!” ฮองเฮาโน้มกายขานชื่อนาง สายตาเฉียบคมบีบคั้น เอ่ยถาม “หากเจ้าไม่มีใจให้เขา ก็หมายความหลอกใช้เขาเพื่อให้ได้เข้าวัง! ข้าอยากรู้นัก เจ้าเข้าวังมาเพื่อการใดกันแน่?”
เมื่อวาจานี้ออกจากปาก คนในห้องพลันสีหน้าเปลี่ยนทันใด ต่างหันมามองนางเป็นตาเดียว
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ จำต้องยอมรับว่าฮองเฮาร้ายกาจมากจริงๆ ทุกประโยคล้วนพูดจี้จุดได้อย่างแม่นยำ ราวกับมองนางออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว
ตงฟางจั๋วสายตาสับสน จ้องมองนางไม่วางตา สองมือใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น คล้ายกำลังรอคำตอบของนางอยู่
ซูหลีเงยหน้าช้าๆ พบว่าฮ่องเต้กำลังหรี่ตา สายตายากคาดเดาความคิด คมปลาบบีบคั้นหาใดเปรียบ จ้องมองจนซูหลีขนลุกไปทั้งตัว
วาจาของฮองเฮาได้ทำให้ฮ่องเต้เกิดความหวาดระแวงแล้ว นึกไม่ถึงยังไม่ทันเริ่มพิธีคัดเลือกพระสวามี กลับมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นมากมายแล้ว ยามนี้ไม่ว่าซูหลีจะยอมรับหรือไม่ ก็ล้วนยากอธิบาย!
ซูหลีสูดหายใจลึก ขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะอ้าปาก ตงฟางเจ๋อกลับคุกเข่าลงข้างกายนาง “เสด็จพ่อและเสด็จแม่โปรดลงโทษลูกด้วย!”
ซูหลีหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ สบตาเข้ากับสายตาเขาที่มองมาพอดี สายตานั้นกลับมีความรู้สึกอันลึกซึ้ง อบอุ่นกินใจแฝงอยู่ ซูหลีชะงักงันไปเล็กน้อย พวงแก้มร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่
ภาพนี้ย่อมไม่พ้นสายตาของคนอื่นๆ ในห้อง ฮองเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน ไม่รอให้นางเปิดปาก ฮ่องเต้กระดกคิ้วเข้ม เอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้ามีความผิดใด?”
ตงฟางเจ๋อก้มหน้าต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแววสำนักผิด ตอบอย่างนอบน้อม “เสด็จพ่อสายพระเนตรเฉียบแหลม ลูกมิกล้าพูดปด! ลูก…และคุณหนูซูต่างมีใจให้กันตั้งแต่ก่อนพิธีคัดเลือกพระชายาแล้ว แต่จนใจที่นางไม่อยู่ในรายชื่อคัดเลือก ลูกเองก็ไม่กล้าขัดพระบัญชาพานางเข้าวัง ฉะนั้น…”
“ฉะนั้นนางจึงหลอกใช้พี่ชายเจ้าพานางเข้ามาถวายการร่ายรำ เพื่อให้เจ้ามีโอกาสเลือกนางเป็นชายา?” ฮ่องเต้หรี่ตาถาม คล้ายไม่อยากเชื่อ หันไปมองซูหลี “ท่านหญิงหมิงซี ในเมื่อเจ้ามีใจให้เจิ้นหนิงอ๋อง วันนั้นข้าเมตตาให้เจ้าเลือก เหตุใดเจ้าไม่เลือกเขา?”
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย หางตาเหลือบเห็นตงฟางจั๋วที่ยืนอยู่อีกด้าน ใบหน้าเขาซีดดั่งแผ่นเหล็ก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเดือดดาลหรือเพราะอะไร เห็นเพียงร่างกายสูงใหญ่ของเขาสั่นเทิ้มเบาๆ สายตาราวกับถูกเรื่องบางอย่างโจมตีจิตใจอย่างรุนแรง คล้ายไม่อยากเชื่อ และคล้ายกลัวว่านางจะยอมรับว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง!
ซูหลีถอนหายใจยาวๆ วาจาประโยคนี้ของตงฟางเจ๋อไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ แต่เป็นการแย่งคน เหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผลนี้ เห็นชัดว่าฮ่องเต้ไม่ยอมเชื่อโดยง่าย ยามนี้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะยอมรับเรื่องใดล้วนต้องเป็นเหตุให้เกิดความคลางแคลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
นางหมอบกายต่ำ “หมิงซีมิกล้า! จิ้งอันอ๋องเป็นถึงองค์ชาย ฐานะสูงส่ง ซูหลีมิกล้าคิดหลอกใช้อย่างแน่นอนเพคะ! ก่อนหน้านี้จิ้งอันอ๋องพาซูหลีเข้าวัง แท้จริงเพราะไม่อยากให้ซูหลีลำบากเพราะข่าวลือ ถูกชาวโลกทอดทิ้ง ซูหลีซาบซึ้งต่อความจริงใจของท่านอ๋อง ไม่คาดฝันว่าจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงเช่นนั้น! ยิ่งไม่คิดว่าท่านอ๋องทั้งสองจะทรงมีใจให้ซูหลี…ซูหลีหวาดกลัวยิ่งนัก ท่านอ๋องทั้งสองสูงส่งดั่งเทวดาชั้นฟ้า หาใช่ผู้ที่ซูหลีจะเลือกได้ตามใจชอบไม่ ฉะนั้นจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยเพคะ!” นางหมอบต่ำก่อนจะกล่าว หน้าผากชิดพื้น น้ำเสียงจริงใจนอบน้อม ราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สามารถเป็นสักขีพยานให้กับความซื่อสัตย์ของนางได้
ฮ่องเต้สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ฮองเฮากลับขมวดคิ้ว หันมองโอรสตนเอง หมัดที่กำแน่นของตงฟางจั๋วคลายออกเล็กน้อยแล้ว ทว่าความเจ็บปวดที่ฉายชัดในดวงตากลับปิดไม่มิด ยามนั้นนางยอมติดตามตนเองเข้าวัง เขาหลงคิดว่า…เป็นเพราะนางมีใจให้ตนเอง นึกไม่ถึงว่านางกลับมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจริงๆ สายตาหลุบต่ำ บุรุษที่หลงนึกว่าตนเองสูงส่งมาโดยตลอด ยามนี้ดวงตาเศร้าหมอง เริ่มสงสัยว่าที่ผ่านมาตนเองเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากที่ใด?
ฮองเฮาเห็นสีหน้าของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หันไปกล่าวเสียงเข้มกับซูหลี “เพียงวาจาประโยคเดียวของเจ้า ก็จะบอกว่าไม่ได้หลอกใช้เขาหรือ ข้าไม่เชื่อ! ฝ่าบาท…” ฮองเฮาหมุนกาย คุกเข่าลงข้างเท้าฮ่องเต้ หมายจะเอ่ยปากขอร้องให้ตัดสินอย่างเป็นธรรมเพื่อโอรสตนเอง ยามนี้จู่ๆ ตงฟางจั๋วกลับเปิดปาก “เสด็จแม่! ลูกเชื่อนางพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาหันกลับไปมองเขาด้วยความตกใจ ตงฟางจั๋วสีหน้าเด็ดเดี่ยว ในสายตาแฝงแววอ้อนวอน คล้ายต้องการขอร้องให้มารดาช่วยปกป้องเกียรติที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาไว้
ซูหลีหันมองเขา อึ้งงันไปเล็กน้อย นางหลุบตาต่ำมองเท้าตนเอง พลันนั้นมือข้างหนึ่งถูกคนกุมไว้ นางหันไปมอง ตงฟางเจ๋อสายตาสงบนิ่ง สีหน้าปกติ คล้ายกำลังเตือนนางเงียบๆ
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนที่นั่งไม่รู้คิดอะไรอยู่ สายตาเปลี่ยนผันไม่หยุด กวาดมองทั้งสี่คนสลับไปมา สุดท้ายก็จับจ้องที่ใบหน้าซูหลี กล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำยากคาดเดา “ในเมื่อจิ้งอันอ๋องเชื่อเจ้า เรื่องนี้ข้าก็จะไม่สืบสาวเอาความอีก แล้วครั้งนี้เจ้าเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”
ซูหลีตอบอย่างใจเย็น “ฝ่าบาท…หมิงซีเตรียมคำถามไว้สามข้อแล้ว จะต้องเลือกสวามีที่พึงใจซูหลีที่สุดอย่างยุติธรรมได้แน่นอนเพคะ”
ฮ่องเต้สายตาไหวระริก จากสถานการณ์ในตอนนี้ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างเจ๋อกับจั๋วเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็หนีไม่พ้นต้องเลือกโอรสทั้งสองของเขา แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน…เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้นางแต่งงานกับคนอื่นง่ายๆ!
นัยน์ตานิ่งขรึมสั่นระริก ฮ่องเต้ยืนขึ้นกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาเถิด ยามนี้ก็สายมากแล้ว อย่าให้ทูตทั้งสองแคว้นต้องรอนานเลย!” เอ่ยจบก็ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋ ฮองเฮารีบลุกขึ้นเดินตามไป
ซูหลีลอบพ่นหายใจเบาๆ กางฝ่ามือออก ไม่รู้ว่าเหงื่อเย็นเปียกชุ่มฝ่ามือนางตั้งแต่ตอนไหน ทว่านางกลับรู้ดีว่าเรื่องอันตรายที่แท้จริงยังไม่เริ่มต้นขึ้น
ตงฟางเจ๋อก้มประคองนางลุกขึ้น จ้องนางอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ไปกันเถิด”
ด้านหลังขบวนเสด็จ ทั้งสามเดินเงียบมาตลอดทาง ต่างคนต่างมีเรื่องราวในใจ จึงเงียบงันไร้เสียงพูดคุย
ทิวทัศน์งดงามรอบด้านไม่มีผู้ใดชายตามองแม้แต่น้อย
หออวิ๋นเยียนแท้จริงแล้วเป็นศาลาหินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นด้วยหินขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ตั้งอยู่ในสวนไป๋กั่วซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของเขาเซียวซาน เมื่อถึงฤดูกาลนี้ เบื้องล่างหออวิ๋นเยียนพืชพรรณออกผลอุดมสมบูรณ์ สีสันตัดกันเด่นชัด เบื้องบนมีกลุ่มเมฆาเคลื่อนตัวผ่าน ราวกับแค่เอื้อมมือก็สามารถสัมผัสถึง
ทุกคนก้าวขึ้นไปบนบันไดศิลาพันขั้น มุ่งหน้าสู่ข้างบนตลอดเส้นทาง ราวกับเดินเข้าไปในกลุ่มเมฆ ความรู้สึกที่เหมือนกับแค่เอื้อมมือก็คว้าดวงดาวได้เช่นนี้ ทำให้ผู้คนพลันบังเกิดความรู้สึกเหมือนกับตนเองสูงส่งดั่งเทวดาบนฟ้า
ซูหลีไม่มีแก่ใจชมทิวทัศน์ แต่เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม ความรู้สึกพลันพลุ่งพล่าน
“ฝ่าบาท ฮองเฮา!” องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งและองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนที่รออยู่นานแล้วลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกัน
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเคียงไหล่ขึ้นไปประทับบนที่นั่งสูงสุด ยิ้มอย่างสนิทสนม “ท่านทูตทั้งสองไม่ต้องมากพิธี!”
ซูหลีและคนอื่นต่างก็ทักทายและทำความเคารพกัน หยางเซียวจงใจขยิบตาให้ซูหลี ตงฟางจั๋วเห็นเข้าก็จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา
………………………………………………………
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 122 ซูหลีเลือกพระสวามี (2)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment