กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 127 คำขู่ของฮ่องเต้ (4)

ซูหลีตื่นตกใจ เมื่อเงยหน้าก็ค้นพบว่าสายตาของฮ่องเต้คมปลาบบีบคั้นจนผู้คนไม่กล้าสบตา นางก้มหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างนอบน้อม “ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาท!”
“เงยหน้ามองตาข้า!” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว พลันตวาดเสียงเข้ม เห็นชัดว่าไม่พอใจในคำตอบของนาง รอบกายมีรังสีโกรธเกรี้ยวแผ่ปกคลุม พาให้ผู้คนอกสั่นขวัญหาย แม้แต่ฮองเฮาก็ยังตัวสั่นไปชั่วขณะ เหล่านางกำนัลและขันทีที่อยู่บนหออวิ๋นเยียนล้วนทิ้งตัวคุกเข่าด้วยความตกใจ
ช่างเหมาะสมกับประโยคที่ว่า พระบรมเดชานุภาพนั้นยากแท้หยั่งถึง! เมื่อครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใส ยามนี้กลับมีเมฆหมอกปกคลุม พายุฝนตั้งเค้า
ซูหลีไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบเงยหน้าทันที สบตาฮ่องเต้โดยตรง สีหน้านิ่งสงบ ไร้ซึ่งท่าทีลนลานอย่างที่ฮ่องเต้คาดการณ์ไว้!
ฮ่องเต้ลอบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กวักมือเรียก “เด็กๆ นำพู่กันและหมึกมาให้ข้า”
ทุกคนตะลึงงัน เหตุใดฮ่องเต้จึงต้องการพู่กันและหมึกในเวลาเช่นนี้?
ยามปกติเมื่อใดที่ฮ่องเต้จับพู่กัน สิ่งที่ทรงทำบ่อยที่สุดมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคืออ่านและตอบฎีกา สองคือเขียนราชโองการ ยามนี้เห็นชัดว่าไม่มีฎีกาให้อ่าน เช่นนั้น…
ทุกคนพากันกลั้นหายใจ อดไม่ได้ที่จะเหล่มองข้างบนแวบหนึ่ง เห็นเพียงสายตาที่ฮ่องเต้มองซูหลีลึกล้ำดั่งสายน้ำ ยากแท้หยั่งถึง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกแทนท่านหญิงหมิงซีที่เพิ่งได้รับพระมหากรุณาอย่างกะทันหัน
ซูหลีลอบกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อแน่น ข่มกลั้นความตระหนกไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ไม่กล้าเปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย
นางก้มหน้าเงียบๆ รอบด้านเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงใด
บรรยากาศน่าตื่นตระหนกและตึงเครียด แม้แต่ฮองเฮาก็ยังไม่กล้าเปิดปาก
พู่กันและหมึกถูกนำมาถวาย ขันทีชุดฟ้าสองคนยืนรอพระบัญชาจากฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง แต่ฮ่องเต้กลับไม่เหลียวแลสักนิด เอ่ยต่ออีกว่า “ยกขาตั้งวาดภาพตัวนั้นมาให้ข้า!”
ซูหลีอึ้งงันเล็กน้อย ฮ่องเต้ต้องการภาพนั้นไปเพื่อการใด?
ฮองเฮาอดไม่ได้ ถามขึ้นในที่สุด “ฝ่าบาท พระองค์จะแต่งกลอนหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้กวาดมองฮองเฮาด้วยสายตาเรียบเฉย สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทำเอาฮองเฮาสะดุ้งตัวโยน รีบปิดปากเงียบทันที
ขาตั้งวาดภาพถูกยกมาวางตรงหน้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้จ้องมองภาพทิวทัศน์อย่างละเอียด จากนั้นก็จ้องกลอนที่อยู่ด้านหลังภาพอยู่นานถึงครึ่งเค่อ ก่อนจะโบกมือสั่งให้ขันทีนำพู่กันไปวางด้านหน้าซูหลี
เขากล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “กลอนบทนี้ข้าเห็นว่าไม่เลว เจ้าคัดลอกมาหนึ่งฉบับ ข้าจะให้คนนำไปรวบรวมไว้ในบทความอิสตรี ดูว่าภายหน้ายังมีผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าสตรีของแคว้นเราไร้ความรู้อีก”
ซูหลีตกใจ พลันเข้าใจจุดประสงค์ของฮ่องเต้ทันที
บทความอิสตรีนั้นเป็นหนังสือที่แคว้นเฉิงใช้รวมบทกลอนที่โดดเด่นซึ่งแต่งโดยสตรี โดยทั่วไปแล้วกลอนที่สามารถนำไปรวมไว้ในนั้นได้ มีแต่กลอนชั้นดีที่เป็นที่กล่าวขานกันปากต่อปากทั้งนั้น! กลอนบทนี้ของซูหลีอาจไม่เลว แต่หากนำไปรวมไว้ในบทความอิสตรี เกรงว่ายังขาดคุณสมบัติอีกมาก ทว่า… ที่ฮ่องเต้ทำอย่างนี้ กลัวว่าเก็บรวบรวมผลงานเป็นเพียงเรื่องลวง ทดสอบนางเป็นเรื่องจริง!
ถึงแม้ฮ่องเต้ยังมองไม่ออกว่าในภาพและกลอนมีอะไรซ่อนอยู่ แต่เขาไม่เชื่อแน่นอนว่ากลอนที่นางและหยางเซียวแต่งขึ้นมานั้นคล้ายกันโดยบังเอิญ ฉะนั้นเขาต้องการพิสูจน์ว่ากลอนบทนี้นางเป็นผู้แต่งเองหรือไม่
ซูหลีตอบรับเสียงเบา “เพคะ” แล้วจับพู่กันขึ้นมา ภายใต้การจับตาดูของฮ่องเต้ นางเขียนกลอนบทนั้นอย่างไม่ลังเล ระหว่างเขียนไม่มีสะดุดสักนิด และไม่คิดเงยหน้ามองภาพนั้นแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่นางตวัดเขียนหนึ่งตัวอักษร สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสงสัยและครุ่นคิด กระทั่งซูหลีวางพู่กัน และน้อมส่งกลอนบทนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยมือตนเอง
คัดลายมืออย่างชำนาญ อักษรประณีตงดงาม เทียบกับกลอนและอักษรที่อยู่ด้านหลังภาพนั้น เหมือนกันทุกประการ! หลังกวาดตาอ่าน ความสงสัยในใจของฮ่องเต้ยิ่งเพิ่มพูน เขาส่งกลอนบทนั้นให้ขันทีที่อยู่ด้านหลัง ก่อนเงยหน้ามองนางอีกครั้ง เห็นนางสีหน้านอบน้อม ท่าทีสงบนิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะไต่ถามอย่างครุ่นคิด “ก่อนหน้านี้ เจ้ากับองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนเคยพบกันกี่ครั้ง? เคยพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อในวันนี้หรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท ไม่เคยเพคะ! ก่อนหน้านี้ หมิงซีเคยพบองค์ชายสี่ที่ถนนในตลาดเพียงครั้งเดียว วันนั้นเขาเมามายวิ่งพรวดพราดออกมาจากหอนางโลม จำคนผิดคิดว่าหมิงซีเป็นภรรยาของเขา จะให้หมิงซีติดตามเขากลับบ้าน…”
“ภรรยา?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น “เขาเคยแต่งงานหรือ?”
“หมิงซีไม่ทราบเพคะ! ยามนั้นหมิงซีก็ไม่รู้จักเขา ต่อมาเจิ้นหนิงอ๋องซึ่งผ่านทางมาได้บอกหมิงซีให้ประจักษ์ จึงรู้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนเพคะ!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่ทั้งสองจะสมรู้ร่วมคิดกันอย่างแน่นอน!
ซูหลีเชื่อว่าก่อนพิธีคัดเลือกพระสวามี ฮ่องเต้น่าจะตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซูหลีแทบไม่เคยออกจากจวนตั้งแต่เล็ก องค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยนก็เพิ่งเคยมาเยือนนครหลวงแคว้นเฉิงเป็นครั้งแรก ทั้งสองไม่มีทางรู้จักกันมาก่อนแน่นอน! การพบกันเพียงครั้งเดียวในตอนนั้น ฮ่องเต้รับรู้แต่แรกแล้ว ขอเพียงสืบสาวให้ลึกอีกหน่อย ย่อมรู้ว่าเรื่องที่นางกล่าวในวันนี้เป็นความจริง
ฮองเฮาขมวดคิ้วถาม “เจ้าเห็นว่ากลอนบทนั้นขององค์ชายสี่เป็นเช่นไร? รู้สึกหรือไม่…ว่าเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป?” นางเอ่ยอย่างจงใจบ่งชี้ วาจาแฝงความหมาย
ซูหลีขมวดคิ้ว ตอบว่า “ทูลฮองเฮาตามตรง ซูหลีเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันเพคะ!”
“ถ้าเช่นนั้น หมายความว่าข้าคิดมากไป?” ฮองเฮาคลี่ยิ้ม ทว่าดวงตากลับไม่ยิ้มตาม กล่าวอีกว่า “ถึงแม้เป็นความบังเอิญจริง ด้วยความปราดเปรื่องของเจ้า ความจริงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยกลอนบทนี้ออกมา!”
นางสามารถแต่งกลอนบทใหม่ขึ้นมา กลอนที่ใกล้เคียงกับกลอนของตงฟางจั๋ว!
ซูหลีย่อมเข้าใจ แต่นางไม่ยอมทำเช่นนั้น แม้รู้ว่าถึงเลือกตงฟางจั๋วให้เป็นผู้ชนะในหัวข้อนี้ ก็ไม่มีทางส่งผลกระทบในตอนจบอยู่ดี แต่นางก็ไม่อยากทำเช่นนั้น! ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ตงฟางจั๋วเคยทำกับนางไว้ แค่แผนการร้ายของฮองเฮาในพักหลังนี้ ก็มากพอที่จะทำให้นางรังเกียจแล้ว ทว่านางในตอนนี้ ยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อต้านฮองเฮาได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ถือสา เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง!
ซูหลีเงยหน้าสบตาฮองเฮาตรงๆ “ฮองเฮาจะให้หมิงซีคดโกงหรือเพคะ?”
ฮองเฮาอึ้งงันเล็กน้อย เสี้ยววินาทีที่สบตาซูหลี พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว ทว่าเมื่อมองดูดีๆ อีกครั้ง กลับพบว่าสายตานางปกติ นอกจากความนอบน้อมก็ไร้สิ่งอื่นใด ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ย่อมไม่อาจยอมรับว่านางซึ่งเป็นถึงมารดาของแผ่นดินกำลังสั่งสอนให้คนคดโกง หากกล่าววาจาออกไปความสง่าผ่าเผยของนางจะพลันจางหาย รังแต่จะสร้างความขบขันให้ผู้คน แต่หากปฏิเสธ ก็เท่ากับยอมรับการกระทำของตนเอง!
ฮองเฮาครุ่นคิดครู่หนึ่ง กลับไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี หันไปมองฮ่องเต้ ฮ่องเต้กำลังมองนาง พลันเอ่ยถาม “เจ้าอยากแต่งให้แคว้นอื่นหรือ?”
ไม่รู้ว่าตาฝาดไปเองหรืออย่างไร ขณะเอ่ยถาม นางมองเห็นไอสังหารอันเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาฮ่องเต้เพียงเสี้ยววินาที คล้ายกับว่า…ฮ่องเต้ทรงสนใจคำถามนี้มาก ในใจพลันเคร่งเครียด รีบตอบทันที “หมิงซีไม่อยากเพคะ”
ตอบได้อย่างเด็ดเดี่ยว ซ้ำยังไร้ท่าทีลังเล
แววเย็นยะเยือกในดวงตาฮ่องเต้จึงค่อยๆ จางหายไป สีหน้าอ่อนลงหลายส่วน ลุกขึ้นก้าวเดินพลางกล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้ากับเจิ้นหนิงอ๋องหายตัวไปด้วยกันทั้งคืนในหุบเขาจู๋หลี หลายวันก่อนเขายังพาเจ้าไปเยี่ยมหลุมศพเสด็จแม่เขาอีก สำหรับเขา นี่เป็นครั้งแรก! หลายวันมานี้จิ้งอันอ๋องก็ครุ่นคิดเรื่องของเจ้าอย่างหนัก โดยไม่สนใจฐานะของตนเอง โอรสทั้งสองของข้า ดูเหมือนจะใส่ใจเรื่องของเจ้ายิ่งนัก!”
ฮ่องเต้หันมองนาง สายตาเฉียบคม ซูหลีก้มหน้าเบาๆ รู้ว่าวาจาหลังจากนี้ต่างหาก จึงจะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างแท้จริง
“เจ้าต้องรู้ไว้ว่าในใจข้า เขาทั้งสองล้วนยอดเยี่ยม ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ว่าเจ้าจะเลือกใคร ข้าล้วนอวยพร แต่หากใจของเจ้าไม่ได้อยู่ที่แคว้นของเรา ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเมตตาเช่นนี้! เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?” เสียงเย็นเยียบ เอ่ยวาจาแฝงคำเตือนอย่างเฉียบขาด
………………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset