กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 129 พาเจ้ากลับแคว้นไปเป็นองค์หญิง (2)

หลางฉ่างยิ้มบางค้อมศีรษะ นางกำนัลเดินเข้าไปหมายรับถุงผ้า เขากลับลุกขึ้น เดินไปมอบให้ซูหลีด้วยตนเอง ขณะที่ถุงผ้าต่วนถูกส่งถึงมือซูหลี เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ส่งยิ้มให้ซูหลี รอยยิ้มสะท้อนประกายอบอุ่น ประกายเช่นนั้น นางเคยเห็นแค่ในดวงตาของเสด็จแม่เท่านั้น ทั้งทะนุถนอม และเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย…
ซูหลีรีบหลบสายตา หลุบตาต่ำทันที กลับมองเห็นนิ้วมือเรียวยาวของเขาไม่รู้ถูกอาวุธแหลมคมใดบาดจนเป็นแผล รอยแผลเป็นเส้นยาว ยังคงมีเลือดซึมไม่หยุด เห็นชัดว่าเพิ่งได้แผลมาใหม่ ซูหลีอึ้งงัน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งในความทรงจำของนางเป็นคนที่รอบคอบเสมอมา ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บแน่นอน เช่นนั้น ทั้งที่อยู่ในพระราชวัง รอบข้างมีการคุ้มกันแน่นหนา บาดแผลนี้ของเขา…ได้มาแต่ใดกันแน่?
คล้ายอ่านความสงสัยในใจนางออก หลางฉ่างคลี่ยิ้ม พยักพเยิดให้นางเปิดถุงผ้าต่วนออกดู แล้วนางก็จะรู้เอง
ซูหลีจึงเปิดถุงผ้าต่วนออก สิ่งแรกที่ถูกหยิบออกมาเป็นกริชเล่มเล็กแต่งามประณีตเล่มหนึ่ง มีผ้าห่อขอบแหลมคมกว่าครึ่งเอาไว้ เผยให้เห็นแค่ส่วนปลายเล็กน้อย ปลายใบมีดสะท้อนประกายวิบวับ คมกริบจนเหมือนสามารถตัดของแหลมคมทุกอย่างในโลกนี้ให้ขาดได้ ดูน่าพรั่นพรึง นิ้วมือของหลางฉ่างถูกกริชเล่มนี้กรีดหรือ? ซูหลีหยิบของอีกหนึ่งสิ่งออกมาจากถุงผ้าต่วน
เป็นผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองอร่ามที่ใช้ได้เฉพาะในหมู่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น!
บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมีมังกรและนกเพลิงอยู่คนละด้าน ตรงกลางมีรอยเลือดสองหยด คล้ายผ่านการเจือจางด้วยน้ำมาแล้ว จึงซึมรวมกันเป็นวงเดียว ซูหลีอึ้งงัน ใช้ผ้าห่อคมกริช สื่อความหมายว่าเขาหวังให้ทุกแคว้นหยุดหันมีดห้ำหั่นกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เล่า…หมายความว่าอย่างไรกัน?
มังกรและนกเพลิงแยกจาก เลือดข้นกว่าน้ำ…นี่คือความหมายที่นางคิดขึ้นได้ในแวบแรก แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อสร้างความสุขแก่ไพร่ฟ้าที่นางตั้งขึ้นแม้แต่น้อย!
นางเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ สายตาของหลางฉ่างยังคงอบอุ่นและสนิทสนมเช่นนั้น รอบกายเต็มไปด้วยสายตาแห่งความสงสัยที่มองมาทางเขา เขาไม่ลนลานรีบร้อน เอ่ยอย่างแช่มช้า “นับตั้งแต่ปีหลงซีที่เก้า ราชวงศ์ก่อนล่มสลาย แผ่นดินแตกแยก บนพื้นที่ราบจึงถือกำเนิดแคว้นติ้ง และแคว้นเฉิง แต่เดิมบรรพบุรุษของสองแคว้นสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเสมือนพี่น้อง แต่เนื่องจากต่างคนต่างมีเหตุผล ต่างคนต่างสร้างแคว้นของตน และเพราะผลประโยชน์ของบ้านเมืองจึงเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้สายสัมพันธ์ของพวกเขาไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก…
ด้วยเหตุนี้ เสด็จปู่จึงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง กระทั่งก่อนสวรรคตยังทรงพะวงหาไม่มีที่สิ้นสุด ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ หวังให้ทายาทรุ่นหลังของทั้งสองแคว้นได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว เปลี่ยนสงครามเป็นของขวัญล้ำค่า สร้างความสุขให้แก่ไพร่ฟ้า!” เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ทอดถอนใจ
ฮ่องเต้สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ฮ่องเต้องค์ก่อนก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าเช่นกัน จนใจที่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
หลางฉ่างยิ้มพลางกล่าวว่า “ก่อนมาเยือนแคว้นเฉิงครั้งนี้ หลางฉ่างเองก็นึกเสียดายมากเช่นกัน แต่ต่อมาคิดดูแล้ว เหตุผลที่เสด็จปู่อยากให้ทายาทรุ่นหลังของทั้งสองแคว้นแต่งงานกันก็เพียงเพื่ออยากให้สองแคว้นปรองดองฉันญาติมิตร สตรีที่แต่งงานด้วย แม้เป็นองค์หญิงหรือท่านหญิงแท้จริงล้วนไม่สำคัญ!” ความหมายแฝงในวาจาชัดเจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ทุกคนสีหน้าพลันเปลี่ยน ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นถาม “ท่านคิดใช้บรรพบุรุษบีบบังคับคน ให้ตนเองบรรลุความปรารถนาอย่างนั้นหรือ?”
หลางฉ่างกล่าว “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว! พาท่านหญิงกลับแคว้น เป็นความปรารถนาของข้าจริงๆ เพียงแต่เพราะพักนี้พระวรกายของเสด็จพ่อไม่สู้ดีเหมือนดังแต่ก่อน จึงหวนนึกถึงคำสั่งเสียของเสด็จปู่อยู่บ่อยครั้ง เพียงหวังว่ายามยังมีชีวิตอยู่จะได้พบญาติผู้หนึ่ง ภายหน้า…จะได้มีหน้าไปพบบรรพบุรุษ จากไปอย่างไม่มีห่วงอีก!
หลางฉ่างในฐานะโอรส ย่อมต้องยึดความกตัญญูเป็นหลัก และท่านหญิงเองก็มีปัญญาอันฉลาดหลักแหลม บุคลิกสูงสง่า ในสายตาหลางฉ่างแม้นางไม่ใช่องค์หญิงแต่ก็มีคุณสมบัติเหนือองค์หญิง คิดว่า…หากเสด็จพ่อของข้าได้พบ ต้องลบล้างความห่วงหาอาทรในหลายปีที่ผ่านมาได้แน่! และแคว้นติ้งของพวกเรา ก็จะปฏิบัติต่อท่านหญิงเฉกเช่นองค์หญิงทุกประการอย่างแน่นอน!”
ฮ่องเต้ดวงตาสั่นระริก ยิ้มกล่าวว่า “ความรู้สึกขององค์รัชทายาท ข้าเข้าใจดี ข้าก็อยากสนับสนุนความกตัญญูขององค์รัชทายาทเหมือนกัน! แต่ว่า…พิธีคัดเลือกพระสวามีในครั้งนี้ ข้ารับปากว่าจะให้ท่านหญิงหมิงซีเลือกพระสวามีด้วยตนเอง จะไม่ยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความปรารถนาของนาง!”
“นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว หลางฉ่างเคารพท่านหญิงเสมอมา ไม่คิดบีบบังคับใจนางอย่างแน่นอน เพียงแต่…” เขาชะงักงัน หันไปมองซูหลี แล้วกล่าวว่า “หลางฉ่างอยากบอกท่านหญิง ขอเพียงท่านหญิงติดตามข้ากลับแคว้น ฉ่างจะปฏิบัติตนต่อท่านเฉกเช่นองค์หญิง ภายหน้าแบ่งปันความมั่งมีศรีสุข และความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีทางทำให้ท่านหญิงลำบากใจแม้แต่น้อย! เชื่อว่า…เสด็จพ่อเองก็คิดเช่นนี้!”
ครั้งนี้ เขาไม่ได้เอ่ยคำว่าเสด็จพ่อของข้า! เพียงจ้องหน้าซูหลีนิ่ง น้ำเสียงจริงใจ ไร้ท่าทีเสแสร้ง
ซูหลีชะงักงัน ฟังเขาอธิบายเช่นนี้ ภายนอกดูคล้ายสมเหตุสมผล นางก้มหน้ามองผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองอร่ามในมือ ทิศเหนือและใต้มีมังกรหนึ่งตัวนกเพลิงหนึ่งตัว เป็นตัวแทนการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองแคว้น เลือดที่หลอมรวมสื่อความหมายว่าหลังแต่งงานแม้ไม่ใช่ญาติก็กลายเป็นญาติ แต่เพราะเหตุใด…นางมักรู้สึกว่าในวาจาของเขายังมีความหมายแฝงซ่อนอยู่ นางรู้สึกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาไม่ใช่เรื่องนี้
มองดูสีหน้าของฮ่องเต้ สายสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น รวมถึงความเสียใจก่อนตาย น่าจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ฮ่องเต้แห่งแคว้นติ้งห่วงเรื่องนี้ถึงเพียงนี้จริงหรือ? เกรงว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน! นางเห็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนั้น และคำว่าญาติ รวมถึงคำว่า ‘องค์หญิง’ ที่เขาเน้นย้ำอย่างจงใจ ยังมีคำว่าว่า ‘เสด็จพ่อ’ ในตอนท้ายอีก ล้วนแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง ราวกับว่าที่เขาอยากพานางกลับแคว้น ไม่ใช่เพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่เพื่อพานางกลับไปเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นติ้ง…
ซูหลีหัวใจสะท้าน มีบางอย่างแวบผ่านสมอง คล้ายใกล้กระจ่าง แต่สุดท้ายก็ยังหลงวนเวียนอยู่ในม่านหมอกเลือนราง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่าทางเป็นมิตร เขาตั้งใจทำให้นางสังเกตเห็นเลือดของตนเองบนผ้าเช็ดหน้า เห็นชัดว่าต้องการส่งสารถึงนาง ‘ในใจของข้า เจ้าสำคัญกว่าถุงผ้าต่วนใบนั้นยิ่งนัก!’
ถึงแม้ซูหลีไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ถือว่านางได้คำตอบที่แท้จริงของหัวข้อนี้แล้ว
ลุกขึ้นยืน ซูหลียกแก้วขึ้นดื่มคารวะเขา “องค์รัชทายาทกตัญญูรู้คุณ ทำให้ซูหลีซาบซึ้งใจยิ่งนัก! สุราถ้วยนี้ซูหลีขอคารวะองค์รัชทายาท ขอให้เสด็จพ่อขององค์รัชทายาทพระวรกายแข็งแรง สมปรารถนาในเร็ววัน!”
นางยิ้ม สาเหตุที่ไม่ขานเรียกว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นติ้งแต่กลับขานเรียกว่าเสด็จพ่อขององค์รัชทายาท เพราะยามที่หลางฉ่างกล่าวว่า ‘พระวรกายของเสด็จพ่อไม่สู้ดีเหมือนดังแต่ก่อน’ สายตาของเขาเหมือนลูกที่เป็นห่วงและรักพ่อแม่ของตนเองอย่างสุดซึ้ง ความรักครอบครัวอันลึกซึ้งเช่นนั้น ซูหลีราวรับรู้ได้ อดไม่ได้ที่จะสะท้อนใจ ในวินาทีนั้น นางกลับหวังว่าพระวรกายของฮ่องเต้แห่งแคว้นติ้งจะดีขึ้นในเร็ววันจริงๆ ความหวังเช่นนั้นเกิดขึ้นอย่างยากอธิบาย ทว่ากลับเหมือนสมควรมีอยู่แต่แรกแล้ว
หลางฉ่างมองหน้านางแล้วยิ้ม ต่างจากรอยยิ้มสง่างามอบอุ่นก่อนหน้า รอยยิ้มของเขาในยามนี้คล้ายได้รับการปลอบประโลม ยื่นมือรับสุราหอมจากมือนางกำนัล ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ก่อนยกดื่มจนหมดแก้ว กลิ่นอายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พลันแผ่ปกคลุมรอบกายพวกเขาทั้งสอง
ทุกคนพลันตกตะลึง สีหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงสุดขีด ผลตัดสินในครั้งนี้ล้วนเหนือความคาดหมายของทุกคน เดิมทีพวกเขาต่างก็คิดว่าครั้งนี้ตงฟงเจ๋อชนะแน่แล้ว ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าหลางฉ่างกลับสามารถอาศัยวาจาเอาชนะใจซูหลีได้! นอกจากเหนือความคาดหมายแล้ว ยังมีคนถอนหายใจโล่งอกอีกด้วย
ตงฟางจั๋วหันมองตงฟางเจ๋อ เดิมหมายจะเอ่ยวาจาฉีกหน้า กลับพบว่าคนที่เดิมควรหงุดหงิดที่สุด ยามนี้เพียงหลุบตาต่ำ สีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ คล้ายไม่ได้แปลกใจกับการเลือกของซูหลีสักนิด อดไม่ได้ที่จะกล่าวหยัน “เจ้ากลับอดทนได้ดี!”
………………………………………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset