ตงฟางจั๋วอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาแน่น เสียงสั่นเทา สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดในใจ เขาพึมพำถาม “นาง เกลียดข้าไหม?”
เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป เห็นชัดว่าตงฟางจั๋วเชื่อคำพูดของซูหลีที่บอกว่าหลีซูมาเข้าฝันแล้ว!
ทุกคนตื่นตะลึง คงเพราะไม่เคยเห็นจิ้งอันอ๋องในมุมนี้ ยามนี้เขาไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งและทะนงตนเหมือนในวันวาน มีเพียงความเจ็บปวดทรมาน เช่นเดียวกับชายทุกคนที่เป็นทุกข์เพราะความรัก
ซูหลีไม่ได้ตอบคำถามของเขา นางหันไปมองฮ่องเต้ที่กำลังขมวดคิ้วแน่น แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท ซูหลีได้เล่าเรื่องที่ท่านหญิงถูกใส่ร้ายหมดแล้ว ไม่มีคำโป้ปดแม้เพียงครึ่งส่วน ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยเพคะ!”
สิ่งที่สมควรพูดไม่สมควรพูด สิ่งที่อยากพูดและไม่อยากพูด นางล้วนพูดออกไปหมดแล้ว พยานที่มีน้ำหนักทั้งสี่คนอย่างเซ่อเจิ้งอ๋อง อัครเสนาบดีซู เจิ้นหนิงอ๋อง และจิ้งอันอ๋อง ต่างช่วยยืนยันสิ่งที่นางสามารถพิสูจน์ได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่คิดว่าทุกคนในที่แห่งนี้คงเชื่อกันหมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับเรื่องวิญญาณกลับเข้าร่าง เรื่องวิญญาณเข้าฝันยังทำใจเชื่อได้ง่ายกว่ามาก!
ฮ่องเต้มองนางด้วยสีหน้าหนักใจ หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้นว่า “ถึงแม้เรื่องที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง แต่ท่านหญิงหมิงอวี้ไม่ได้เป็นญาติกับเจ้า เหตุใดจึงเลือกมาเข้าฝันเจ้า แต่ไม่ไปเข้าฝันเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนาง? เจ้าเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยาจวนอัครเสนาบดีที่ไม่ได้รับความโปรดปรานคนหนึ่งเท่านั้น จะมีกำลังใดเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนางได้?”
สายตาของทุกคนล้วนตวัดมองมาที่นางเป็นจุดเดียว
ยามนี้ตงฟางจั๋วเองก็ลืมตาด้วยเช่นกัน จ้องมองนางด้วยสายตาแฝงความหวังครั้งสุดท้าย บางครั้งเขาก็รู้สึกได้ว่านางก็คือหลีซู สตรีบุคลิกสง่างามที่เขารู้จักใต้ต้นหลี สตรีผู้ที่ฉีกหนังสือหย่า และหมุนกายเดินจากเขาไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางกับนาง ไม่ได้คล้ายกันเพียงที่ใบหน้าเท่านั้น!
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาค้นหาจดจ้องมาที่นาง คำถามสุดท้ายที่ฮ่องเต้ถามนางวนเวียนอยู่ในใจตงฟางเจ๋อมาตลอด นับตั้งแต่ที่เห็นความเจ็บปวดสิ้นหวังที่นางแสดงออกมาตอนที่พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องสิ้นใจแล้ว
ซูหลีตอบอย่างใจเย็น “ปัญหานี้ซูหลีก็เคยคิดใคร่ครวญเช่นกันเพคะ บางที…อาจเป็นเพราะพวกเรามีใบหน้าที่เหมือนกันมาก ฉะนั้นนางจึงเลือกที่จะมาเข้าฝันหม่อมฉัน! ตราบใดที่ท่านหญิงหมิงอวี้ไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมได้ ดวงวิญญาณของนางก็จะไม่มีวันสงบสุข!
ส่วนหม่อมฉัน ถูกวิญญาณพยาบาทของนางตามหลอกหลอนทุกคืน หากไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมให้นางได้ ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน! ซูหลี…ทั้งไม่อยากตาย และไม่อยากให้ท่านหญิงหมิงอวี้มีมลทินติดตัวไปตลอด ฉะนั้นจึงบังอาจกำเริบเสิบสาน วางยาในน้ำชา เพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าชีพจรดัดแปลงได้ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตา มีราชโองการให้สืบสวนคดีนี้เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านหญิงหมิงอวี้! เชื่อว่าดวงวิญญาณของท่านหญิงหมิงอวี้และพระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องที่อยู่ในปรโลก จะต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเป็นแน่เพคะ!”
ค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้ง ความสัตย์จริงในวาจาของนางแทบจะสามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ พาให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะประทับใจ
บนหออวิ๋นเยียนเงียบงันไร้เสียง บรรยากาศเศร้าโศกที่ไม่อาจบรรยายได้แผ่กำจายไปในสายลมฤดูสารทอันเยือกเย็น
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน จ้องมองนางด้วยสายตาแน่นิ่ง สีหน้าเปลี่ยนผันไปมา ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
ซูหลียังคงก้มศีรษะติดพื้น ไม่ยอมเงยขึ้น
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางสามารถสงบใจได้แล้ว คดีนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของราชวงศ์ ไม่ว่าที่ผ่านมาฮ่องเต้คิดจะปกปิดไว้อย่างไร แต่ยามนี้ต่อหน้าทูตต่างแคว้น เมื่อรื้อฟื้นและถูกตัดสินว่าเป็นคดีน่าสงสัย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตรวจสอบอีกต่อไป เพียงแต่ ฮ่องเต้คงจะกังวล หากทำการสืบสวนอย่างเอิกเกริกใหญ่โต เกิดสืบสวนจนถึงที่สุดแล้วพบว่าไม่ใช่การใส่ร้าย เช่นนั้นจะทำอย่างไร? เกรงว่าเมื่อถึงยามนั้น ชีวิตนางก็ยังไม่อาจชดใช้อะไรได้!
“เสด็จพ่อ!” ข้างกายพลันมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าลง หัวเข่ากระแทกพื้นเสียงดังจนแทบจะสะเทือนไปทั้งหออวิ๋นเยียน ซูหลีไม่ได้เงยหน้า แต่ก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร
“ลูกขอร้องเสด็จพ่อให้มีราชโองการสืบสวนคดีนี้ คืนความยุติธรรมให้แก่ภรรยาของลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” น้ำเสียงของตงฟางจั๋วเต็มไปด้วยความร้าวรานยากควบคุม แต่สำหรับซูหลี กลับเสียดแทงหัวใจนางยิ่งนัก
ภรรยา? ยามนี้เขายอมรับว่านางเป็นภรรยาเขาแล้ว? ซูหลีคลี่ยิ้มเย็นชา หันไปมองหมัดที่กำแน่นทั้งสองข้างของเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ อารมณ์พลุ่งพล่าน โกรธเกรี้ยวยากควบคุม ไม่รู้ว่ากำลังเคียดแค้นคนร้าย หรือกำลังแค้นที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเบาๆ ถามเสียงเข้ม “เจ้าเชื่อว่าท่านหญิงหมิงอวี้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
ตงฟางจั๋วกล่าวเสียงเศร้า “ไม่ว่านางจะบริสุทธิ์จริงหรือไม่ ในเมื่อรู้ว่านางไม่ได้ฆ่าตัวตาย เช่นนั้นลูกจะต้องจับคนร้ายที่ฆ่านางมาหั่นร่างให้เป็นชิ้นๆ ให้จงได้!” เขากัดฟันกรอด สายตาดุดันแดงก่ำจนน่ากลัว
หลีเฟิ่งเซียนคุกเข่าตาม “กระหม่อมขอร้องฝ่าบาท ช่วยคืนความเป็นธรรมให้บุตรสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง คุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม “แม้แต่ฮองเฮาก็คิดว่าเรื่องนี้ควรสืบสวนเช่นนั้นหรือ?”
ฮองเฮาตอบ “หม่อมฉันคิดว่า หากท่านหญิงหมิงอวี้ถูกใส่ร้ายจริง เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็น่ากลัวเกินไปแล้วเพคะ!”
ฮ่องเต้นิ่งงัน ไม่ได้เอ่ยคำใด
ฮองเฮากล่าวว่า “ถ้าหากทั้งหมดเป็นอย่างที่ท่านหญิงหมิงซีกล่าวจริง ท่านหญิงหมิงอวี้คงจะถูกคนวางยาเปลี่ยนชีพจรก่อน จากนั้นจึงค่อยถูกลอบสังหาร นี่แสดงว่าผู้ที่วางแผนไม่เพียงสามารถเข้าใกล้ท่านหญิงหมิงอวี้ได้ แต่ยังรู้จักพฤติกรรมและนิสัยของจั๋วเอ๋อร์และท่านหญิงหมิงอวี้เป็นอย่างดี จึงวางแผนเรื่องเหล่านี้มาทีละขั้นๆ ได้อย่างถี่ถ้วนแม่นยำ เห็นได้ชัดว่าเจ้าแผนการเพียงใด วางแผนชั่วถึงขั้นนี้ น่าจะไม่ได้ต้องการให้ท่านหญิงหมิงอวี้ตายเพียงอย่างเดียว หม่อมฉันกลัวว่าคนผู้นี้อาจจะยังมีจุดประสงค์อื่นอยู่อีกเพคะ!”
ไม่เสียชื่อที่เป็นฮองเฮา นางมักจับจุดได้เสมอว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงใส่ใจมากที่สุดคือเรื่องใด
ฮ่องเต้สายตาเรียบขรึม หลุบตามองตงฟางเจ๋อ ถามด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าเช่นไร? คดีนี้ สมควรสืบสวนหรือไม่?”
ตงฟางเจ๋อเงยหน้า กล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งอย่างไม่ลังเล “ลูกคิดว่าสมควรสืบสวนพ่ะย่ะค่ะ! อีกทั้งยังต้องทำการสืบสวนอย่างเปิดเผย หากความจริงไม่ปรากฏ ก็ห้ามเลิกรา!”
ฮองเฮาอึ้งงัน หันไปสบตากับหลีเฟิ่งเซียน ทั้งสองต่างก็หันไปมองตงฟางเจ๋อ ฮ่องเต้ถาม “เพราะเหตุใด?”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “เพราะต้องทำให้ชาวโลกได้รู้ว่า ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจะต้องได้รับผลกรรม! ความจริงหลังจากรู้ว่าท่านหญิงไม่ได้ฆ่าตัวตาย ลูกก็แอบสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ มาโดยตลอด!”
“เจ้าน่ะหรือ?” ตงฟางจั๋วเงยหน้า สีหน้าดุดันเย็นชา กล่าวอย่างไม่เชื่อ “มีคนทำร้ายข้า เจ้าไม่ร่วมผสมโรงกับคนผู้นั้นด้วยก็ดีเพียงใดแล้ว เจ้าน่ะหรือจะสืบสวนหาความจริง?!”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่ากลับมองไม่เห็นแววโกรธเกรี้ยว เพียงกล่าวเสียงราบเรียบ “หากพี่รองไม่เชื่อ จะถามท่านหญิงหมิงซีด้วยตนเองย่อมได้”
สายตาของคนทุกผู้หันกลับไปที่ซูหลีอีกครั้ง
ตงฟางจั๋วไม่เชื่อ ในความคิดเขา หากจะมีใครคิดวางแผนทำลายงานแต่งของเขากับหลีซู คนแรกที่เขาจะสงสัยก็คือตงฟางเจ๋อ! หันไปมองซูหลี ยามนี้ซูหลีเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของตงฟางจั๋วและฮองเฮา แล้วยังมีความสงสัยของเสด็จพ่ออีก นางกล่าวอย่างใจเย็น “ถูกต้องแล้วเพคะ ถึงแม้เจิ้นหนิงอ๋องจะเป็นคนนอก แต่กลับไตร่ตรองได้อย่างถี่ถ้วน เชื่อว่าท่านหญิงหมิงอวี้ถูกใส่ร้าย ทั้งยังยอมทุ่มแรงกายแรงใจสืบหาความจริง นี่ทำให้ซูหลีรู้สึกยกย่อง และรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก!”
…………………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 139 วิญญาณเข้าฝัน (4)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment