กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 150 รู้ใจโดยไม่ต้องบอก (1)

ตงฟางเจ๋อไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ราวกับรู้แต่แรกแล้วว่ามีคนซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เขาแค่นหัวเราะเย็นชา พุ่งตัวเข้าไปข้างกายซูหลีอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ มือหนาโอบรัดเอวบาง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออีกข้างกลางอากาศ กำลังภายในอันแข็งแกร่งขุมหนึ่งซัดไปยังสองคนนั้นดั่งคลื่นพายุซัดสาด
คนชุดดำทั้งสองตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเจิ้นหนิงอ๋องจะมีกำลังภายในเยี่ยมยอดเพียงนี้ พลังของฝ่ามือนั้นราวกับมีก้อนหินน้ำหนักมหาศาลพุ่งตรงเข้ามา กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก!
ทันทีที่ตงฟางเจ๋อลงมือ เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถือกระบี่เข้าโรมรันกับสองคนนั้นอยู่ด้านหนึ่ง
ตงฟางเจ๋อโอบซูหลีไว้ แต่ความเร็วกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย เขาดีดตัวถอยหลังออกไปไกลหลายจั้งด้วยความเร็วดั่งลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร พวงแก้มของนางถูกโอบกอดแนบชิดกับแผงอกกำยำของตงฟางเจ๋อพอดี มีเพียงอาภรณ์กั้นขวาง นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วของตงฟางเจ๋อ ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเขาดังชัดอยู่ท่ามกลางโสตประสาทอันอ่อนไหวของนาง ราวกับเสียงค้อนทุบหนักๆ
ตงฟางเจ๋อผู้ที่มีความคิดยากแท้หยั่งถึง และไม่เคยวิตกต่อสิ่งใด ที่แท้ก็มีช่วงเวลาตื่นตระหนกเช่นนี้เหมือนกัน…
ซูหลีหัวใจเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย นี่เขา…กำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจริงหรือ?
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากหาแหวนไม่เจอ พลันบันดาลโทสะ กระโดดขึ้นมาจากหลุมกับดัก
ซูหลีร้อนใจ รีบตะโกน “จับชายสวมหน้ากากผู้นั้นไว้ อย่าให้เขาหนีไปได้!”
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “ไม่มีใครหนีไปไหนได้ทั้งนั้น!” เขาสะบัดแขน ทหารกองใหญ่พลันพรั่งพรูเข้ามาจากสี่ทิศดั่งกระแสน้ำ มือของทหารเหล่านั้นน้าวสายธนูตั้งท่าพร้อมยิง ล้อมกรอบสนามต่อสู้ไว้อย่างมิดชิด
ซูหลีพลันนึกขึ้นได้ วันที่ถูกเฉินเหมินลอบโจมตีที่ทะเลสาบวั่งเยวี่ยครั้งนั้นก็เป็นเช่นวันนี้ นางมองเขาไม่ผิด ตงฟางเจ๋อไม่เคยคิดจะวางเดิมพันในเกมที่ตนเองไม่มีทางชนะตามคาด!
ตงฟางเจ๋อตะโกนออกคำสั่ง ทหารอีกหลายนายก็พลันวิ่งเข้ามาในสนามต่อสู้ ทำทุกทางเพื่อที่จะกำราบบุรุษชุดดำสามคนนั้นในเวลาอันสั้นที่สุด การต่อสู้ในสนามพลันดุเดือดจนฝุ่นตลบอบอวล สามคนนั้นเมื่อเห็นว่าวงล้อมแคบลงเรื่อยๆ ยากจะหนีรอดออกไปได้ ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ พลันโจมตีดุเดือดขึ้นหลายส่วน
เดิมทีวรยุทธ์ของชายชุดดำสองคนนั้นก็ด้อยกว่าบุรุษชุดดำสวมหน้ากากอยู่แล้ว ครั้นถูกทหารที่ตามมาสมทบทีหลังโจมตีซ้ำก็เริ่มมือไม้พัลวัน เพียงไม่นานก็ถูกสังหาร ซูหลีตั้งใจมองอย่างไม่ละสายตา นางตะโกนอย่างร้อนใจ “จับเป็นคนผู้นั้น!”
เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ ประกายดาบตวัดฉวัดเฉวียนไร้ช่องโหว่ ล้อมบุรุษชุดดำสวมหน้ากากเอาไว้จนไม่เหลือทางหนี
ทั้งสามคนโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด ในที่สุด บุรุษชุดดำสวมหน้ากากก็ถูกเซิ่งฉินใช้กระบี่แทงขา เมื่อได้รับบาดเจ็บที่ขา ร่างกายก็พลันทรุดลงคุกเข่าข้างเดียวกับพื้น เขารีบยกกระบี่ค้ำกับพื้นดิน กว่าจะตั้งตัวได้ กระบี่คมกริบสองเล่มก็จ่อตรงมาที่ลำคอเขาแล้ว ไอสังหารแผ่กำจาย พาให้รู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูก
เซิ่งฉินตาไวมือไว เพื่อป้องกันอีกฝ่ายฆ่าตัวตาย รีบสกัดจุดอีกฝ่าย และปัดหน้ากากเขาออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ซูหลีเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง!
เหตุใดจึงเป็นเขา?!
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากคิ้วเข้มดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากคมชัดได้รูป เหนือริมฝีปากไว้หนวดสั้น กลับเป็นชายชุดเทาที่เค้นถามนางในห้องลับเมื่อคืน! เขาจ้องหน้าซูหลีด้วยดวงตาที่ชิงชังและโกรธแค้น เห็นชัดว่ายากจะควบคุมความรู้สึกเกลียดชังในใจ เพราะคิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ แผนการรอบคอบถึงเพียงนี้ มีปัญหาที่ใดกันแน่?!
เขากัดฟันกล่าวเสียงแค้น “จะฆ่าก็ฆ่า ไม่ต้องพูดมาก!”
ซูหลียังคงสงสัย เหตุใดจึงเป็นเขา? ความคิดแล่นผ่าน นางพลันตระหนักได้ ชายผู้นั้นช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
สีหน้าตกใจของนาง ตงฟางเจ๋อไม่ได้ปล่อยให้หลุดรอดสายตาไป ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด
เซิ่งฉินตวาดเสียงเกรี้ยว “จับตัวท่านหญิง ลอบสังหารท่านอ๋อง มีโทษสถานหนัก บอกมา ผู้ใดอยู่เบื้องหลัง?”
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากหลับตาแน่น ทำเหมือนไม่ได้ยินที่เซิ่งฉินถาม คล้ายเตรียมตัวสละชีพได้ทุกเมื่อ
“เซิ่งฉิน เซิ่งเซียว จับตัวเขากลับไป ข้ามีวิธีทำให้เขาพูด!” ตงฟางเจ๋อออกคำสั่งเสียงเย็น
“พ่ะย่ะค่ะ!” เซิ่งฉินและเซิ่งเซียวรับคำทันที
เหล่าทหารชุดเกราะสีดำพลันถอยทัพอย่างเป็นระเบียบ ยามจากไป นอกจากเสียงฝีเท้าอันมั่นคง ก็ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดอีก
ตงฟางเจ๋อจ้องมองซูหลีด้วยสายตาลึกล้ำ ยิ้มและกล่าวอย่างมีความหมายแฝง “ดูท่า ซูซูคงรู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ใดวางแผนจับเจ้า แผนการเชิญท่านลงอ่าง[1]ปราดเปรื่องดังคาด”
เมื่อวานตอนที่ได้รับจดหมายจากซูหลี เขาพลันบังเกิดความสงสัย รู้จักกันมานานขนาดนี้ ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาดของนาง นางไม่ใช่คนที่จะถูกจับไปง่ายๆ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น…ข้างกายนางยังมียอดฝีมือผู้นั้นเป็นเหมือนเงาตามตัว ตงฟางเจ๋อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตาผ่านต้นไม้สูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าคล้ายไม่ได้ตั้งใจ กลับไม่พูดออกมาตรงๆ
“นั่นเป็นเพราะบารมีของท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องมีความคิดรอบรอบ รู้ว่าควรร่วมมือกับซูหลีอย่างไร” ซูหลีกล่าวด้วยรอยยิ้ม คำชมนี้ของนางออกมาจากใจจริง
ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้ว “ซูซูถูกพวกเขาจับตัวไปได้เช่นไร?”
ซูหลีใคร่ครวญ แล้วกล่าวว่า “เมื่อวานหลังจากแยกกับท่านอ๋อง หม่อมฉันเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทางกลับเข้าเมือง ยามนั้นรู้สึกผิดปกติ จึงยอมถูกพวกเขาจับตัวไป หมายจะดูว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร น่าเสียดาย คนผู้นั้นสวมหน้ากาก ไม่เห็นหน้าค่าตา และไม่ยอมปริปากตั้งแต่ต้นจนจบ”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็นกล่าวว่า “ไม่พูด? คงกลัวเจ้าจำเสียงเขาได้!”
“ถูกต้องแล้วเพคะ” ซูหลีพยักหน้า “ข้างกายเขามีผู้ช่วยคนหนึ่งคอยถามคำถามแทนเขา หยิบภาพวาดออกมา แล้วถามหม่อมฉันถึงแหวนหยกนี้เพคะ”
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้ว ถามอย่างฉงนฉงาย “แหวนนี้เป็นของท่านหญิงหมิงอวี้ พวกเขาต้องการไปเพื่อการใด?”
ซูหลีครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสงสัย “หม่อมฉันเองก็สงสัยเช่นกันเพคะ พวกเขาดูเหมือนให้ความสำคัญกับแหวนนี้มาก อีกทั้งในภาพวาดก็มีแหวนเป็นคู่ สัญลักษณ์บนผ้าไหมขาวที่ท่านอ๋องมอบให้หม่อมฉัน ก็ดูคล้ายกับอักษรที่ถูกสลักไว้บนแหวนวงนี้”
ตงฟางเจ๋อพลันอึ้งงัน เขาหยิบแหวนขึ้นมาดูอย่างละเอียด
ซูหลีตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่เขาโยนแหวนวงนี้ลงไปในหลุมกับดักแล้วมิใช่หรือ? ทว่าไม่นานนางก็กระจ่าง อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนใจ ชายผู้นี้ปั่นหัวคนพวกนั้นด้วยแผนลวงได้อย่างง่ายดาย!
ตงฟางเจ๋อครุ่นคิด ขมวดคิ้วอย่างข้องใจ “คล้ายหรือ? เพราะเหตุใดกัน? มือสังหารเป็นคนของเฉินเหมิน แหวนเป็นของท่านหญิงหมิงอวี้ หากมีต้นกำเนิดเดียวกัน เหตุใดมือสังหารต้องฆ่าหลีซู? หรือว่าหลีซูมีความแค้นกับสำนักเฉินเหมิน?” ปัญหานี้กวนใจเขายิ่งนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากไม่เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจสาเหตุของเรื่องแน่นอน
ซูหลีขมวดคิ้วงามเล็กน้อย หลีซูไม่เคยข้องเกี่ยวกับสำนักเฉินเหมิน คนที่จับตัวนางไปยิ่งไม่มีทางเป็นคนของสำนักเฉินเหมิน! เพียงแต่นางไม่อาจอธิบายเหตุผลเหล่านี้ให้เขาฟังได้ จึงกล่าวว่า “พวกเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับแหวนนี้มาก เอาแต่ถามว่ามันอยู่ที่ใด ซูหลีจึงคิดแผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง เขียนจดหมายส่งไปให้ท่านอ๋อง”
ตงฟางเจ๋อเลิกคิ้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือว่าข้าจะตีความจดหมายของเจ้าออก?”
ซูหลีแย้มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ด้วยไหวพริบอันปราดเปรื่องของท่านอ๋อง เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จะเกินกำลังของท่านอ๋องไปได้เช่นไรเพคะ”
เรื่องที่ขอคำชี้แนะในวันก่อน ยังไม่อาจไขข้อข้องใจ ยากข่มตาหลับ พรุ่งนี้ยามเซิน พบกันที่แม่น้ำหลานชาง จดหมายฉบับนี้ภายนอกอาจดูไม่มีปัญหา
ยามที่ตงฟางเจ๋อได้รับจดหมาย เขาเองก็ประหลาดใจมาก ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ซูหลีไม่เคยเป็นฝ่ายนัดหมายเขาก่อนสักครั้ง หากนางมีเรื่อง จะต้องมาหาเขาโดยตรงแน่นอน จะเสียเวลาเขียนจดหมายส่งมาอย่างนี้เพื่ออะไร? ต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เป็นแน่ ด้วยเหตุนั้นหลังจากที่อ่านดูอย่างละเอียด เขาก็ค้นพบรหัสลับที่ซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นดังคาด
……………………………………………….
[1]เชิญท่านลงอ่าง หมายถึงการใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น! หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง! พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี! แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้ ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้ แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา ‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น! เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset