ซูหลีกล่าวอีกว่า “ผู้ที่รู้ว่าข้าน้อยเกี่ยวข้องกับลัทธิธิดาเทพมีไม่มากนัก บังเอิญว่าแคว้นเปี้ยนของพวกท่าน มีอยู่ท่านหนึ่งพอดี”
บุรุษชุดดำหน้าซีด ซูหลียิ่งยิ้มกว้าง “กลอนบทนั้นขององค์ชายสี่ในพิธีคัดเลือกพระสวามี ช่างตรึงใจข้าน้อยยิ่งนัก…ทว่าถึงแม้เขาอาจตีความภาพวาดนั้นไม่ออก กลับสามารถเปลี่ยนกลอนเพื่อหยั่งเชิงข้าน้อยได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้า…” เขาตะโกนเสียงเกรี้ยว แต่ก็รีบหุบปากทันที ทำได้เพียงจ้องหน้านางและหอบหายใจรุนแรง
“ในห้องลับ เขาไม่ยอมเอ่ยวาจาสักคำ คงเพราะกลัวว่าข้าน้อยจะจำเสียงเขาได้กระมัง? จิตใจเขาที่เป็นห่วงซูหลี ซูหลีซาบซึ้งยิ่งนัก ความจริงถึงแม้เขาจะพลาดท่าถูกจับตัว ซูหลีก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนน้อมแน่นอน” ซูหลีแย้มยิ้มอย่างจริงใจ คล้ายไม่มีความคิดเจ้าเล่ห์แม้แต่น้อย
บุรุษชุดดำหน้าขรึม ยังคงไม่ยอมพูดอะไร
ตงฟางเจ๋อก้าวไปยืนด้านหน้าเขา จ้องหน้าเขากล่าวเสียงเข้ม “เรื่องจริงถูกเปิดเผยแล้ว เจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็มิอาจลบล้างความน่าสงสัยขององค์ชายสี่หยางเซียวไปได้ มิสู้เจ้ายอมให้ความร่วมมือกับข้า บอกที่ตั้งของลัทธิธิดาเทพมาเสียโดยดี ข้าอาจไม่ซักไซ้ไล่ความ และไม่เอาเรื่องหยางเซียว”
บุรุษชุดดำหอบหายใจ สีหน้าที่มองมายังตงฟางเจ๋อผ่อนคลายลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เขาขัดขืนครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันกล่าวคล้ายตัดสินใจได้แล้ว “ได้…ข้า จะบอกท่านหญิงเพียงคนเดียว”
ซูหลีสบตากับตงฟางเจ๋อแวบหนึ่ง เขาเองก็ขมวดคิ้วแน่น ลอบส่งสายตาให้นาง ก่อนจะถอยห่างออกไปหลายก้าว และเพ่งสมาธิ
ซูหลีรวบรวมสมาธิ ก้าวไปยืนตรงหน้าเขาอย่างมั่นคง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านว่ามา”
“ลัทธิของพวกข้าอยู่ที่…” เสียงของเขาเบามาก
ทันใดนั้น บุรุษชุดดำผู้นั้นพลันอ้าปาก วัตถุทรงกลมขนาดเล็กลูกหนึ่งพุ่งออกจากปาก จากนั้นเข็มเงินเล่มเล็กๆ ดั่งขนวัวนับสิบเล่มก็พุ่งออกมา เข็มเหล่านั้นสะท้อนแสงสีฟ้าเล็กน้อย เห็นชัดว่าเคลือบยาพิษเอาไว้! เข็มเงินเหล่านั้นพุ่งเข้ามาดังห่าฝน ตรงมายังซูหลีเป็นรูปใบพัด
กะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว!
ซูหลีสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบถอยหลังตามสัญชาตญาณ บุรุษชุดดำหัวเราะเสียงดัง ตวาดเสียงเกรี้ยว “คิดจะล้วงข้อมูลของลัทธิพวกข้า ฝันไปเถิด!”
ตงฟางเจ๋อโฉบร่างเข้ามาอย่างรวดเร็วดังสายฟ้า มายืนขวางตรงหน้าซูหลี มองเห็นเพียงเขาเหวี่ยงแขนทั้งสองข้างเป็นวงกลม แขนเสื้อกว้างดั่งเมฆสีหมึกสองก้อนหมุนวนจนเกิดลมพายุรุนแรง พัดกลืนเอาเข็มเงินเข้าไปในแขนเสื้อไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียว
ใบหน้าหล่อเหลาขึ้งเคียด ไอพิฆาตบังเกิดในดวงตา ราวกับได้แปลงกายเป็นอสุรกายจากขุมนรกไปแล้ว เขาโฉบเข้าไปยืนตรงหน้าบุรุษชุดดำ นิ้วมือทั้งห้าบีบขากรรไกรล่างของเขาแน่น “ในเมื่อไม่พูด เช่นนั้นเก็บเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์!”
‘กร๊อบ!’ ขากรรไกรล่างของบุรุษชุดดำถูกดึงจนหลุดทันที! ปากของเขาอ้าค้าง ทำได้เพียงส่งเสียงคราง ไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้อีก
แม้ซูหลีจะสงบนิ่งเพียงใด ยามนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก หากมิใช่ว่าตงฟางเจ๋อตอบสนองรวดเร็ว อาศัยเพียงวรยุทธ์ของนางในยามนี้ไม่มีทางหลบอาวุธลับของคนผู้นี้พ้นแน่
เซิ่งฉินตะโกนเสียงดังลั่น “ท่านอ๋อง! มือของท่าน!”
ซูหลีตกใจอีกครั้ง สายตาเหลือบมองไปยังแขนของตงฟางเจ๋อ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น บริเวณโดยรอบฝ่ามือกลายเป็นสีดำคล้ำและเริ่มบวมเป่ง เห็นชัดว่าเมื่อครู่ถูกเข็มพิษพุ่งถากผิว!
ความรู้สึกลนลานพลันถาโถมหัวใจซูหลี นางรีบก้าวเข้าไปกุมแขนเขา กล่าวอย่างตกใจ “ท่านอ๋อง!”
เสียงของนางไม่สงบนิ่งดังเช่นยามปกติอีกต่อไป ตงฟางเจ๋อกลับไม่ลนลานแตกตื่น ส่งยิ้มให้ซูหลีและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง พิษนี้ไม่ร้ายแรง” เอ่ยจบ ก็ชักกระบี่ล้ำค่าออกจากฝักกระบี่ของเซิ่งฉิน คมกระบี่อันแหลมคมตวัดกรีดลงบนผิวที่เปลี่ยนสีไปแล้วทันที เขาออกแรงบีบเค้นเลือดสีดำออกมา กลิ่นคาวเลือดฉุนๆ พลันลอยโชยไปทั่วห้องขังอันมืดสลัว
เขาสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับมือที่ถูกกรีดไม่ใช่มือของตนเอง เลือดสีดำหยดลงพื้นหยดแล้วหยดเล่า
แม้กลิ่นของเลือดจะบ่งบอกว่าพิษนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่บาดแผลกลับน่าสยดสยองถึงเพียงนี้ ราวกับเลือดในกายเขาไม่มีวันหยุดไหล เพียงไม่นานเลือดบนพื้นก็ไหลรวมกันเป็นกองเล็กๆ แล้ว
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะปวดใจ ช่วงก่อนเขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บภายใน เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน คราวนี้กลับถูกพิษเพราะนางอีกครั้ง การยื่นมือช่วยเหลือด้วยชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าของเขา ทำให้นางหวั่นไหวอย่างไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป นางพลันนึกถึงยาลูกกลอนสารพัดประโยชน์ที่เขาพกติดตัวเสมอ จึงรีบเข้าไปคลำหาขวดยาที่เอวของเขา และเทออกมาสองสามเม็ด จากนั้นยื่นไปตรงริมฝีปากเขา ทว่านิ้วมือกลับสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ตงฟางเจ๋อจ้องมองนางตาไม่กระพริบ ความอ่อนโยนพลันบังเกิดในดวงตา เขาอ้าปากกลืนยาลงไปอย่างว่าง่าย
ริมฝีปากอันนิ่มนวลและอบอุ่นสัมผัสถูกปลายนิ้วเย็นๆ ของนาง ซูหลีกลับรู้สึกเหมือนถูกไฟลวก พลันได้สติ ตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตนเองคล้ายไม่ค่อยเหมาะสม จึงรีบดึงมือกลับทันที
เห็นท่าทางนางกระสับกระส่ายวางตัวไม่ถูก ตงฟางเจ๋อยิ้มเบาๆ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
“ท่านอ๋อง ยามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซิ่งเซียววิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตู
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำความสะอาดบาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง นำผงยามาโรย และพันแผลอย่างประณีต บาดแผลลึกไม่เบา โชคดีที่ยานี้ได้ผลดีถนัดตา ผ่านไปไม่นานเลือดก็หยุดไหลแล้ว
“คนผู้นี้ปากหนักยิ่ง ดูท่าคงไม่ได้อะไรจากเขาแล้ว” ซูหลีทอดถอนใจเบาๆ
ไอสังหารพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ เขาแค่นเสียงเย็นชา “เขาคิดว่าไม่พูดอะไร แล้วเรื่องจะจบอย่างนั้นหรือ? ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังยังไม่มาติดกับเลย”
ซูหลีคล้ายคาดเดาได้รางๆ กล่าวเสียงครุ่นคิด “ท่านอ๋องคิดจะ…”
“ถูกต้องแล้ว ต่อจากนี้ เราจะใช้เขาล่องูออกจากถ้ำกัน!”
ในวันต่อมา ซูหลีรอจนรุ่งสางแล้วจึงเข้าวัง เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ห้องหนังสือส่วนพระองค์ เพิ่งจะก้าวพ้นประตูวัง ก็มองเห็นเงาร่างของหยางเซียวและหลางฉ่างอยู่ท่ามกลางขุนนางในราชสำนัก พวกเขากำลังเดินตรงมาทางนี้
หยางเซียวสวมอาภรณ์สีแดงเพลิงทั้งตัว เดินโยกหัวสะบัดศีรษะ ช่อผมที่ถูกถักเปียเส้นเล็กๆ สะบัดไหวไปตามแรงเดิน โดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางกลุ่มคน เขามองเห็นซูหลีจากที่ไกลๆ ก็แสดงท่าทางดีอกดีใจจนเกินเหตุ ยกมือโบกไปมาและตะโกนเรียกเสียงดัง “อาหลีน้อย!” จากนั้นก็เร่งสาวเท้าเดินนำหลางฉ่าง กระโดดมายืนข้างกายซูหลี จงใจเข้าใกล้นาง กะพริบตาปริบๆ และยิ้มประจบประแจง “ไม่เจอเจ้าตั้งหลายวัน ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก! อาหลีรู้ว่าวันนี้ข้าเข้าวังมากล่าวอำลา จึงตั้งใจมาหาข้าใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มผู้นี้เล่นละครตบตาได้เนียนยิ่งนัก ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่ไปเล่นงิ้วเสียให้รู้แล้วรู้รอด! ซูหลีถอยหลังหนึ่งก้าว หลีกเลี่ยงพฤติกรรมจงใจตีสนิทของเขา สีหน้าเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์ ตอบกลับเสียงราบเรียบ “วันนี้ที่ซูหลีเข้าวังเพราะมีเรื่องสำคัญ พบองค์ชายสี่เป็นเรื่องบังเอิญเพคะ”
หยางเซียวไม่ถือสาท่าทีห่างเหินของนางแม้แต่น้อย ยังคงจ้องมองนางด้วยใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม
หลางฉ่างเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ ฝีเท้าแช่มช้ามั่นคง ยังคงสง่างามอ่อนโยนดังเช่นยามปกติ ครั้นเห็นซูหลี ใบหน้าก็เกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มยินดี เดิมทีเขาตั้งใจจะไปพบนางสักหน นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่เสียก่อน
ซูหลีคลี่ยิ้มนิดๆ กล่าวว่า “ซูหลีถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”
หลางฉ่างพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่พบกันหลายวัน ท่านหญิงสบายดีหรือ? ไม่ทราบว่าสืบคดีมีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
ซูหลียิ้มอย่างซาบซึ้ง “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงห่วงใยเพคะ วันนี้ซูหลีเข้าวังมาก็เพราะเรื่องนี้ ความคืบหน้านั้นมี เพียงแต่ดำเนินการค่อนข้างลำบาก จำต้องเดินทางไปสืบหาเบาะแสที่บ้านเกิดขององค์ชายสี่เพคะ” พูดไป นางก็ทอดถอนใจเสียงเบา สายตาเหลือบมองหยางเซียวที่ยืนอยู่อีกด้านคล้ายไม่ได้ตั้งใจ
………………………………………………..
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 153 ขอพระราชโองการไปแคว้นเปี้ยน (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment