ปรมาจารย์สำนักม่อชื่นชอบคุณสมบัติของเจ้าอี่โหลวเป็นอย่างมาก ฝึกฝนเขาด้วยใจจริง คิดว่าเขาจะได้เป็นมือดาบที่ไร้ผู้ใดเปรียบในภายภาคหน้าเป็นแน่ เจ้าอี่โหลวก็ตั้งใจมากเช่นกัน ทว่าหนึ่งปีให้หลังเขากลับยืนกรานที่จะไปเป็นทหารในรัฐฉิน
เจ้าอี่โหลวมีนิสัยดื้อรั้น ครั้นตัดสินใจเรื่องใดแล้ว วัวหนึ่งร้อยตัวก็ฉุดไว้ไม่อยู่ อาจารย์ก็ไม่ฝืนใจเขา เพียงถอนหายใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ออกมาหาประสบการณ์ก็เป็นการดี ทำให้ดีที่สุดเถิด”
สำหรับนักดาบแล้ว การฝึกฝนจิตใจเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มิฉะนั้นต่อให้วิชาการต่อสู้ดีเพียงใดก็เป็นเพียงผู้ที่รู้ศิลปะการต่อสู้เท่านั้น บัดนี้เจ้าอี่โหลวอยากมอบตัวให้กับสนามรบ ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมแพ้ในการเป็นปรมาจารย์ดาบผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว “สนามรบฆ่าแกงกัน หากเจ้าไม่สามารถรักษาจิตใจให้สงบได้ ต่อไปเกรงว่าจิตใจก็ยากที่จะเข้าถึงโลกของปรมาจารย์ดาบแล้ว”
ฝีมือดาบของซ่งชูอีไม่เท่าไรแต่ก็มิได้หมายความว่าไม่เข้าใจ ในโลกใบนี้มีสักกี่คนกันที่สามารถรักษาจิตใจให้ผุดผ่องได้หลังจากผ่านสงครามมาแล้ว?
“รู้ศิลปะการต่อสู้ไว้ป้องกันตัวก็พอแล้ว เหตุใดจะต้องเป็นปรมาจารย์ดาบด้วย?” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ซ่งชูอีได้ยินเขาตอบเช่นนี้ก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวว่า “เยี่ยม”
บัณฑิตส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกประโยชน์นิยมอันแข็งแกร่ง ซ่งชูอีคลุกคลีกับสำนักเต๋าตั้งแต่วัยเด็ก ความเป็นประโยชน์นิยมจึงมีไม่มากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย อย่างไรก็ดีคนที่ไร้ความปรารถนาในผลประโยชน์เช่นเจ้าอี่โหลวนั้นหาได้ยากมากจริงๆ
ซ่งชูอีรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง “เจ้าพักผ่อนก่อน ข้าตรงนี้ยังมีงานต้องทำ”
บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างปาสู่ตึงเครียด ข่าวสารจากทุกฝ่ายมารวมกัน ซ่งชูอีต้องเข้าใจสถานการณ์อย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นให้ข้อพิพาทระหว่างสามรัฐมาถึงจุดที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ พูดง่ายแต่ทำยาก เหตุผลมันก็ง่ายๆ เพียงนี้ แต่คนฉลาดในโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ซ่งชูอีจึงต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว
นางรีบร้อนที่จะอ่านเอกสาร จึงมิได้สังเกตเห็นความมืดมนในดวงตาของเจ้าอี่โหลว
เครื่องดินเผาหยาบๆ ในมือถ่ายเทความร้อนมาที่ฝ่ามือ เจ้าอี่โหลวมิได้ดื่ม วางแก้วลงบนโต๊ะแผ่วเบา แล้วพาไป๋เริ่นออกไปจากกระโจม
ไม่เจอกันนาน ท่าทางของซ่งชูอีเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีความสงบและมั่นใจเหมือนกับบัณฑิตในทุกท่วงท่า ทว่าความเย็นชาของซ่งชูอีทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
เขาระหกระเหินอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร้ที่พึ่ง นางกับเขาพึ่งพากันและกันเพื่อเอาชีวิตรอด นอนบนเสื่อฟางผืนเดียวกัน กินโจ๊กชามเดียวกัน ทั้งๆ ที่เป็นคนเจ้าเล่ห์เพียงนั้นเขากลับว่าไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมอบความไว้วางใจให้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกประหม่าเมื่อเจอกับบุคคลภายนอก รู้สึกว่าทุกคนล้วนหน้าไหว้หลังหลอก ทว่าตราบใดที่ที่แห่งนั้นมีซ่งชูอีอยู่เขาก็จะมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับมันโดยไม่มีเหตุผล
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไหลไปตามกระแสแต่ก็ต้องการสิ่งยึดมั่นเหมือนกันนี่นา!
หลังจากซ่งชูอีอ่านเอกสารส่วนใหญ่จบ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว ไฟในตะเกียงกำลังจะมอดดับ นางหมุนๆ มันด้วยลวดทองแดงทันใดนั้นแสงก็สว่างขึ้น
“เด็กๆ” ซ่งชูอีกล่าว
ทหารนายหนึ่งเลิกม่านขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา กำหมัดเอ่ย “ท่าน”
“นี่มันยามใดแล้ว?” ซ่งชูอีพูดพลางพลิกสมุดไผ่ไม่กี่หน้าสุดท้าย
“เรียนท่าน ตอนนี้ใกล้ยามจื่อ[1]แล้ว” นายหทารตอบ
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ก้มหน้าลงก็เห็นหนังสือเทียบย้ายของเจ้าอี่โหลว “ออกไปเถิด”
เจ้าอี่โหลวเพิ่งจะถูกย้ายมาในตำแหน่งตูเว่ยเมื่อสองเดือนก่อน ไม่มีผลงานและไม่มีความสามารถใดๆ พื้นหลังที่มีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือสถานะของลูกศิษย์สำนักม่อ คำประเมินที่มีต่อเขาในหนังสือเทียบโอนเขียนเรียบๆ ว่า “ค่อนข้างมีความสามารถทางทหาร”
ซ่งชูอีครุ่นคิด อิ๋งซื่อคิดจะทำอะไรกันแน่? แม่ทัพหลักที่ประจำการอยู่ที่นี่คือซย่าเฉวียน ตูเว่ยคนเดิมที่มีตำแหน่งรองจากซือหม่าชั่วก็ตามเขากลับไปยังเสียนหยาง ซึ่งก็หมายความว่านอกจากซย่าเฉวียนและนางแล้ว เจ้าอี่โหลวก็มีตำแหน่งที่สูงที่สุด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว อิ๋งซื่อไม่น่าจะส่งคนที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในสนามรบมาที่นี่ หากต้องการจะฝึกฝนเขาก็มีสนามรบตั้งมากมาย
นิ่งเงียบสักพัก ซ่งชูอีก็ม้วนสมุดไผ่เก็บ ออกจากกระโจม ถามถึงที่ตั้งกระโจมของเจ้าอี่โหลวแล้วเดินไปหา
ครั้นถึงหน้ากระโจม ซ่งชูอีเหลือบมองทหารที่เฝ้าหน้าประตูครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไป ทหารสองนายที่อยู่หน้าประตูสบตากันครู่หนึ่งก็เข้าใจกันโดยปริยายและมิได้เคลื่อนไหวใดๆ
ซ่งชูอีเลิกม่านโผล่พรวดกลับออกมา เอ่ยเสียงเย็นชา “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ห้ามข้า!”
แม้ว่าในราชโองการของอิ๋งซื่อมีเจตนาคลุมเครือที่จะให้ทำตามคำสั่งของซ่งชูอี ทว่าก็มิได้อธิบายอย่างชัดเจน ฉะนั้นเรื่องนี้จึงมิได้ถูกประกาศออกไป ในสายตาของผู้อื่น นางมีเพียงสถานะของบัณฑิตคนหนึ่ง แต่เจ้าอี่โหลวก็มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ควรถามสักคำแล้วเข้าไปรายงานเจ้าอี่โหลว
“ท่านคือนักยุทธ…” นายทหารคนหนึ่งพยายามอธิบาย
ซ่งชูอีตัดบทเขา เอ่ยตำหนิ “แม่งหยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ไปโบยตัวเองสิบที!”
ทั้งสองคนนิ่งไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีผู้ที่มีความรู้จะพูดจาหยาบคายเช่นนี้
“ยังไม่ไปอีก มิฉะนั้นข้ากล้ารับประกันเลยว่าหากเรื่องนี้ถึงหูท่านแม่ทัพซย่าพวกเจ้ามิได้โดนโบยเพียงไม่กี่ทีแน่!” ซ่งชูอีพูดจบก็มิได้สนใจพวกเขาอีก ปิดม่านและเข้าไปในกระโจมแล้ว
ทั้งสองคนจึงได้สติกลับมา รีบตอบโดยพร้อมเพียงกัน “ขอรับ!”
ตะเกียงในกระโจมยังคงส่องแสง กระดานหมากบนโต๊ะเต็มไปด้วยตัวหมาก เห็นได้ชัดว่าเจ้าอี่โหลวเดินหมากกับตัวเองยู่พักใหญ่ ซ่งชูอีเหลือบมองแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าการเดินหมากของเขามีความเสถียรมากกว่าเมื่อก่อนมาก การพิจารณาถึงภาพรวมก็มีความระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน
เดินเข้าไปในห้อง ไป๋เริ่นที่นอนอยู่บนเตียงขยับหูเล็กน้อย ทำเป็นไม่มองคนที่ให้มันกินแต่ผักในหลายวันนี้
เจ้าอี่โหลวกำลังนอนอย่างสงบยิ่ง เขานอนราบอยู่บนเตียง สองมือที่โผล่ออกมาด้านนอกผ้าห่มนั้นวางอยู่ข้างลำตัว แสงไฟริบหรี่สะท้อนให้เห็นลักษณะของโครงหน้าที่ล้ำลึกและแข็งแกร่งกว่าเดิม
ซ่งชูอีนั่งลงบนเตียง มองเขาเงียบๆ อยู่เช่นนี้เนิ่นนาน
“มองพอแล้วยัง?” เจ้าอี่โหลวไม่ได้ลืมตาก็รู้ว่านางกำลังทำอะไร
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ “รูปงามเพียงนี้ จะมองพอได้เยี่ยงไร?”
เพราะเคยนอนในถิ่นป่าเขา จึงต้องระวังตัวจากสัตว์ร้ายทุกเมื่อ เจ้าอี่โหลวจึงไม่เคยหลับลึก มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ยินที่ซ่งชูอีพูดอยู่หน้ากระโจมเมื่อครู่
เจ้าอี่โหลวลืมตามองซ่งชูอี นางยังคงเย้าแหย่เขาเหมือนเมื่อก่อน แม้จะไม่ใคร่ชอบเท่าไร ทว่าในใจกลับสงบลงไม่น้อย
ซ่งชูอีถอดเสื้อผ้าด้วยความคล่องแคล่ว เข้าไปในผ้าห่มของเจ้าอี่โหลว ส่งเสียงสั่น “หนาวจริงๆ”
“ห้ามเข้าใกล้ตัวข้า!” เจ้าอี่โหลวผลักนางออกไปด้วยความรังเกียจ
“มีคำกล่าวที่ว่าสวรรค์อิจฉาโฉมงาม เกิดมาหล่อเหลาเพียงนี้ต้องตั้งใจสั่งสมคุณธรรม เป็นคนมีจิตใจเมตตาจึงจะสามารถมีอายุยืนร้อยปี นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่” ซ่งชูอีนอนอยู่บนตัวเขาราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว มือคู่นั้นก็เริ่มอยู่ไม่สุข ไม่เพียงเท่านี้ นางยังวิพากย์วิจารณ์ระหว่างที่ลูบคลำ “หน้าอกนี้แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก พอๆ กับจี๋อวี่เลยทีเดียว”
เจ้าอี่โหลวได้ยินแล้วสีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย
“จุ๊ๆ เอวคอดเช่นนี้ มีเสน่ห์กว่าลำตัวหยาบๆ ของจี้ฮ่วนเยอะเลย” ซ่งชูอีพูดพลางยื่นมือออกมาจากเสื้อตัวกลาง
สีหน้าของเจ้าอี่โหลวดำราวกับก้นหม้อ พ่นลมหายใจเย็นชา “เจ้าไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียวจริงๆ”
“อาหารอันงดงามและโอชะอยู่ตรงหน้า ไม่กินเสียหน่อยจะคุ้มค่าได้เยี่ยงไร” มือของซ่งชูอีกำลังเลื่อนไปที่**ของเขา ทว่ากลับถูกเขาคว้าไว้
“นอน” เจ้าอี่โหลวเพียงแค่จับมือของนางไว้ที่เอวของเขา
“เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้จับมาปีกว่าแล้ว ไม่ให้จับ อย่างน้อยก็ให้ดูหน่อยเถิด” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงใจ
[1] ยามจื่อ คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น.