สู่อ๋องมีความเชื่อมั่นในถูอู้ลี่มาก แม้ว่าเขาจะมิได้พูดจาภาษาดอกไม้ แต่ก็ไม่ทำให้ขายหน้าอย่างแน่นอน
อิ๋งซื่อเฝ้าดูการฝึกซ้อมของกองทัพสู่ พลางฟังถูอู้ลี่อธิบายและเอ่ยถามคำสองคำ ท่าทางนิ่งเฉยมากราวกับว่ากำลังคุยกับขุนนางของตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น จุดนี้ทำให้ถูอู้ลี่ชื่นชมเป็นอย่างมาก
ซ่งชูอีหันไปดูการแสดงการฝึกทหาร กองทัพสู่สี่พันนายถือได้ว่าเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ บวกกับการไม่มีรูปแบบการต่อสู้ที่เข้มงวดทำให้ความโกลาหลนั้นตาลายจนน่าทึ่ง หากว่ากันตามปกติแล้ว กองทัพเช่นนี้จะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าซ่งชูอีกับจางอี๋ยิ่งดูคิ้วก็ยิ่งขมวดกันแน่น
กองทัพสู่มีความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัวที่แข็งแกร่ง! อีกทั้งยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาแบ่งออกเป็นกองทัพเล็กๆ ในการต่อสู้ รัฐสู่มีถนนบนภูเขาที่ขรุขระและอันตรายมากมาย วิธีเช่นนี้สามารถขยายความแข็งแกร่งของกองทัพไปถึงจุดสูงสุด ในทางตรงกันข้ามกองทัพและทหารม้าที่พวกเขาฝึกเป็นประจำก็จะถูกจำกัดอยู่ในภูเขาเท่านั้น
เมื่อใกล้เวลาเที่ยง คนที่ไปล่าสัตว์บนเขาต่างทยอยกลับมาทีละคน หลังจากจวินทั้งสองเฝ้าดูผลการล่าสัตว์แล้วก็ต่างคนต่างกลับไปพักผ่อนในกระโจมเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็เพลิดเพลินไปกับเหยื่อที่ดีที่สุดของการล่านี้
“หวยจิน มานั่งเล่นที่กระโจมข้าไหม?” จางอี๋เอ่ย
ซ่งชูอีมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย
จางอี๋หัวเราะเอ่ย “ว่าเยี่ยงไร บัดนี้ต่างคนต่างมีนายเป็นของตัวเอง แม้แต่คุยกันก็ทำไม่ได้เช่นนั้นหรือ?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ยน้อยๆ “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
ทั้งสองนัดพบกันมิใช่คุยถึงความลับใด ทว่าเป็นเพียงการคุยสัพเพเหระเท่านั้น ทว่าก่อนที่แผนการจะบรรลุผล ซ่งชูอีก็ยังคงต้องอยู่ในรัฐสู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้สู่อ๋องเกิดความเคลือบแคลงใจได้ การกระทำครั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้ผู้อื่นดูเท่านั้น
ครั้นเข้าไปในประโจมของจางอี๋แล้ว ซ่งชูอีก็ถอนหายใจโล่งอกแผ่วเบา หาที่นั่งเพื่อนั่งลง ทั้งตัวคดเหมือนคนไร้กระดูก
จางอี๋เห็นความแปลกจนชินตา รินน้ำชาให้นาง
ซ่งชูอีรับน้ำชามา กล่าวพลางมองไปที่รอยขีดข่วนบนใบหน้าของเขา “หญิงงามของพี่จางลงมือได้รุนแรงจริงๆ รอยแผลลึกเช่นนี้ อย่าทิ้งรอยแผลเป็นก็แล้วกัน!”
ครั้นพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของจางอี๋ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง “ที่บ้านข้ามีหญิงปากร้าย จะกล้าเรียกเป็นหญิงงามได้เยี่ยงไร? นี่คือสิ่งที่จินเกอทำ!” เขาเช็ดที่มุมตาและพูดต่อ “เจ้าสัตว์ร้ายตัวน้อยยังมีความเป็นเดียรัจฉาน อยู่ดีๆ ก็กัดเฮยเหมาของข้าจนตาย ข้าเพียงพูดกับมันด้วยเหตุผลสองสามคำ ก็ข่วนข้าจนกลายเป็นเช่นนี้! ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
ซ่งชูอีไอเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนที่จะมีเวลาปลอบโยนก็พลันได้ยินเสียงร้องไห้แห่งความโศกเศร้าของจางอี๋ดังขึ้น “อนิจจา! สัตว์ร้ายตัวกลมรังแกข้าถึงเพียงนี้! ข้าจางอี๋จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!? ต่อไปจะเดินทางไปยังรัฐต่างๆ ได้เยี่ยงไร!?”
การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยในวัยนี้อาจทำให้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ นับประสาอะไรกับรอยข่วนบนใบหน้าเล่า! นี่ไม่อาจตำหนิความเศร้าโศกของจางอี๋ได้ มันมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย บวกกับยาที่ท่านหมอจ่ายให้เขากินครึ่งปีก็ขมจนเขาแทบจะอาเจียนเอากรดน้ำดีออกมาด้วยซ้ำ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่า
“พี่จาง” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง กล่าวช้าๆ “จินเกอเป็นเพียงลูกหมาป่าที่อายุยังไม่ครบหนึ่งปี ท่านไม่สามารถใช้คำพูดของนักบุญเพื่อหยุดทารกจากการร้องไห้ได้กระมัง มนุษย์ก็ยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับสัตว์ร้ายเล่า?”
“หวยจิน ชีวิตของจางอี๋ลำบากนัก” จางอี๋มิได้ตอบคำของนาง ตัดพ้ออยู่กับตัวเอง น้ำตาไหลออกมาจริงๆ ถอนหายใจยืดยาวพลางเอ่ยขึ้น “ที่บ้านมีหญิงปากร้าย ข้าเป็นชายวัยกลางคนไร้บุตร น่าสังเวชมาครึ่งชีวิต บัดนี้มีสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งก็กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่บนหัวของข้า จางอี๋ผู้เศร้าสร้อย! จางอี๋ผู้เศร้าสร้อยเอ๋ย!”
ที่จริงในบ้านของจางอี๋มิได้มีเพียงหญิงปากร้ายเท่านั้น พ่อแม่และพี่ชายของเขาของเขาเข้มงวดเสมอมา พี่สะใภ้ก็หาเรื่องวุ่นวายมาให้ตลอด อาจารย์กุ่ยกู๋จื่อก็เป็นเจ้านายที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ทว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโส จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่สามารถต่อว่าอะไรพวกเขาได้
ซ่งชูอียกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปกปิดรอยยิ้มที่ไร้ความปรานี กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เห็นอกเห็นใจ “วันเก่าๆ ข้าเห็นพี่จางบุคลิกสง่างาม คิดไม่ถึงว่าจะทุกข์ใจเพียงนี้”
“ถูกหวยจินหัวเราะเยาะให้แล้ว” จางอี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหน้า พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ครั้นอยู่ข้างนอกย่อมต้องให้เกียรติบรรพบุรุษของข้า ทว่าข้าไม่เคยคิดว่าหวยจินเป็นคนนอก เมื่อเสียใจก็จะเสียมารยาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
“หามิได้ หากสามารถแบ่งเบาความทุกข์ให้พี่จางได้ นับเป็นโชคดีของหวยจินแล้ว” แน่นอนว่าคำพูดนี้ของซ่งชูอีมาจากใจจริงๆ ขณะที่ทั้งสองคนเดินทางไปยังรัฐต่างๆ นั้นล้วนประสบกับความทุกข์ยากและการดูถูกมากมาย เฉียดตายหลายต่อหลายครั้งจึงมีความเห็นอกเห็นใจกันและกันอยู่บ้าง บวกกับเมื่อตอนที่ถูกฝูงหมาป่าโจมตีเมื่อคราวก่อนก็นับว่าผ่านการร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันย่อมมีความลึกซึ้งมากกว่าสุภาพชนที่พูดคุยกันทั่วไป
จางอี๋ยับยั้งตัวเองก่อนที่จะเอ่ยถาม “ไป๋เริ่นเชื่อฟังเพียงนี้ ไม่ทราบว่าหวยจินฝึกมันเยี่ยงไร? ชี้แนะข้าบ้างได้หรือไม่?”
จนมาถึงขั้นนี้แล้ว จางอี๋กลับไม่มีความคิดที่จะคืนจินเกอ ไม่ใช่ว่าเขาอาลัยอาวรณ์จินเกอทว่าเขามีความดื้อรั้นในนิสัยของเขา หากจะอธิบายอีกนัยหนึ่งก็คือมีความไม่ย่อท้อ หากเขาตัดสินว่าจะกระทำสิ่งที่เป็นไปได้แล้ว ต่อให้เส้นทางจะคดเคี้ยวเขาก็จะทำ
จางอี๋และซ่งชูอีมีนิสัยข้างในหลายอย่างที่เหมือนกันและนี่คือสิ่งที่สอดคล้องกันมากที่สุด
บทสนทนาระหว่างซ่งชูอีและจางอี๋ถูกนำไปเล่าให้สู่อ๋องและขุนนางสองสามคนฟังอย่างมีชีวิตชีวา
“คิดไม่ถึงว่าคนเช่นจางอี๋ก็วิเศษเพียงนี้ เช่นนั้นก็พาเขาเข้ามายังรัฐสู่ดีหรือไม่!” สู่อ๋องหัวเราะเอ่ย ความรังเกียจที่มีต่อจางอี๋กลายเป็นความสนอกสนใจในพริบตา
ขุนนางสองสามคนต่างเอ่ยปากเห็นด้วย พวกเขาเข้าใจดีว่าสำหรับสู่อ๋องแล้วนั้น บทบาทของสองคนนี้ไม่ต่างจากหญิงงามเท่าใดนัก ก็เพื่อแสวงหาความเพลิดเพลินเท่านั้น ก็เหมือนกับที่สู่อ๋องพูดเองว่าเขางานยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาไปแย่งชิงใต้หล้า
ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว รัฐสู่ก็เชิญฉินกงไปยังงานเลี้ยง
งานเลี้ยงคราวนี้ รัฐฉินอาจกล่าวได้ว่าได้รับการเยาะเย้ยไม่รู้จบ หากอิ๋งซื่อมิได้ห้ามเอาไว้ เกรงว่ากองทัพชุดเกราะดำเหล่านั้นก็อาจชักดาบปลิดชีพพวกเขาทันทีแล้ว
ขณะที่งานใกล้จะจบ อิ๋งซื่อก็เอ่ยคำขออย่างหนึ่ง ‘ได้โปรดสู่อ๋องอนุญาตให้รัฐฉินจับซ่งชูอีกลับไปรับโทษด้วย’
ละทิ้งหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นรัฐฉินเป็นอะไร? อยากมาก็มาอยากไปก็ไปหรือ?
สู่อ๋องยังมิเคยรบกวนซ่งชูอีเลยนับประสาอะไรกับการบีบบังคับอย่างจงใจ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางให้รัฐฉินได้สมปรารถนา ดังนั้นคำที่เอ่ยออกมาจึงโหดร้ายจนทำให้อิ๋งซื่อจากไปด้วยความโมโห
การแสดงละครทั้งหมดนี้ อิ๋งซื่อก็ทำไปเพื่อให้ซ่งชูอีอยู่ในรัฐสู่ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
ซ่งชูอีรู้สึกซาบซึ้ง ทว่าเดิมทีตัวนางก็มิใช้เป็นสุภาพบุรุษกระไร จึงหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างสมรู้ร่วมคิดมิได้ อย่างไรก็ดีไม่ว่าอิ๋งซื่อจะทำไปเพื่อให้นางกับจางอี๋ดู หรือว่าเพื่อให้แผนการสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หรือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว องค์จวินองค์หนึ่งที่สามารถละทิ้งอัตตาได้ในขณะที่ควรจะละทิ้งอัตตานั้นคู่ควรแก่การเคารพเป็นอย่างมาก
สถานการณ์ในซานตงกำลังตึงเครียด การเผชิญหน้าอย่างเงียบๆ ระหว่างฉินสู่นี้จึงไม่สามารถไปถึงหูขององค์จวินเหล่านั้นได้ทันเวลา ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ รัฐสู่ถือไพ่เหนือกว่า หรือแม้กระทั่งข่มรัฐฉินได้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ของกำนัลที่ฉินมอบให้ก็จะมาถึงในไม่ช้า ทำให้ทุกระดับชั้นในรัฐสู่ค่อยๆ ผ่อนคลายความระมัดระวังตัวลง
มีเพียงจูเหิงที่รู้สึกถึงภยันตรายในยามสงบและได้เขียนหนังสืออธิบายความของตัวเองหลายต่อหลายครั้งภายใต้อิทธิพลของซ่งชูอี น่าเสียดายที่เสียงของเขาเบาเกินไป อีกทั้งไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม พลังการโน้วน้าวไม่แข็งแกร่ง สู่อ๋องจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
สายลมของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสองบาดคมราวกับกรรไกร
จูเหิงโน้มน้าวไม่สำเร็จหลายครั้ง ความต้องการที่จะถอนตัวก็ยิ่งมีมากขึ้น หลังจากได้คุยกับซ่งชูอีครั้งหนึ่งแล้วก็ป่วยไปกว่าครึ่งเดือน ก่อนที่เขาจะหายจากอาการป่วยก็ได้ทูลลาสู่อ๋องและเตรียมที่จะไปหมินชานเพื่อใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
จูเหิงมีเครือข่ายในราชสำนักกว้างขวาง สู่อ๋องกลัวน้องชายคนนี้มานานแล้ว เมื่อก่อนจูเหิงมิได้คุยเรื่องการบ้านการเมืองมากนัก เขามักจะหลับตาข้างหนึ่ง ทว่าระยะหลังนี้กลับเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ทางการทูตซ้ำแล้วซ้ำเล่าและคัดค้านการค้าระหว่างฉินสู่ เขารู้สึกเคลือบแคลงใจ หมดความอดทนที่จะฟังเขาจ้ำจี้จ้ำไช จึงอนุญาตให้จูเหิงอลาออกจากราชการ วางแผนให้เขาไปสงบจิตใจที่หมินซาน รอจนเวลาเหมาะสมแล้วค่อยรับกลับมา
หลายปีมานี้ จูเหิงทุ่มเททำงานเป็นอย่างดี ได้ใจของราษฎรมาก ข่าวที่ว่าเขากำลังจะกลับไปที่หมินซานแพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่า ผู้คนหลายพันคนในเขตชานเมืองต่างหลั่งน้ำตาเพื่อกล่าวคำอำลา
สู่อ๋องกำลังอ่านเอกสารบนโต๊ะ รู้สึกปวดศีรษะแทบระเบิด เขาไม่คาดคิดว่าทันทีที่จูเหิงจากไปก็จะเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้
พลิกอ่านหลายม้วน สู่อ๋องก็โยนทุกอย่างไปด้านข้างด้วยความหงุดหงิด ในเวลานี้เองมีเสียงดนตรีดังขึ้นด้านนอกเลือนราง เป็นบทเพลงที่มิเคยได้ยินมาก่อน
สู่อ๋องมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด “ไป ไปดูว่าผู้ใดบรรเลงบทเพลงนี้”