ครั้นซ่งชูอีเงยหน้า เห็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบนั่งอยู่บนพระแท่น รูปหน้าคมชัด ค่อนข้างอ่อนโยนและสง่างาม แต่ขมับสองข้างมีริ้วผมหงอกเล็กน้อย ท่าทางอ่อนล้า เห็นได้ชัดว่าหมกมุ่นในกามอารมณ์มากเกินไป
ซ่งชูอีคาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะได้เจอกับราชทูตรัฐเว่ย์ แต่นางไม่หวาดหวั่น ตราบใดที่เป้าหมายต่างกัน นางไม่เชื่อว่าราชทูตที่มาถึงรัฐซ่งก่อนหน้านี้จะโง่เขลาและโต้เถียงกับนางในท้องพระโรง “เป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ หวยจินมิกล้าคาดคะเน แต่หวยจินมาเพื่อกองทหารสามหมื่นนายพะยะค่ะ”
“อ๋อ?” ซ่งทีเฉิงจวินหลุบตาลง มองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างสองคนด้วยสายพระเนตรเย็นชา “เว่ย์โหวช่างน่าสนใจ คนที่ส่งมาก็อายุน้อยลงเรื่อยๆ คิดจะเยาะเย้ยกว่าเหริน[1]งั้นรึ?”
ได้ยินดังนี้ ซ่งชูอีหันมอง เมื่อเห็นใบหน้าของผู้นั้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
เขาเป็นชายผู้หนึ่งอายุประมาณสิบแปดสิบเก้า รูปร่างสูง สวมชุดสีขาวนวลจันทร์ คอเสื้อและแขนเสื้อสีฟ้าเข้ม ชุดจีนชั้นสูง เข้ากับใบหน้าหล่อเหลา สูงส่งและสง่างาม แต่เขากลับเป็น…หมิ่นฉือ
ชาติที่แล้ว เมื่อซ่งชูอีพบกับหมิ่นฉือ เขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว บุคลิกในเวลานั้นมิอาจเทียบกับเวลานี้ แต่คิ้วตายังคงเหมือนเดิม
หมิ่นฉือเห็นว่านางจ้องตัวเองเขม็ง อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วอันงดงาม แต่ก็ไม่ได้สนใจนางอีก ประสานมือคำนับตอบซ่งทีเฉิงจวิน “ซ่งจวินกล่าวเกินไปแล้ว ไม่ใช่เป็นการเยาะเย้ยซ่งจวิน หากแต่พวกเรารัฐเว่ย์ขาดแคลนคนจริงๆ”
บรรดาขุนนางและทหารที่อยู่เต็มท้องพระโรงระเบิดหัวร่อ มันดังกึกก้องภายในห้องโถงอันว่างเปล่าราวกับเสียงฟ้าร้อง ซ่งชูอีไม่ได้ไปคิดอีกว่าจะแทงหมิ่นฉือในภายหลังเพื่อระบายความแค้นดีหรือไม่ อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังครื้นเครง นางร้องโหยหวนทันใดพร้อมยกแขนเสื้อปกปิดใบหน้า
เสียงหัวเราะหยุดลงแทบจะทันที ชายหนุ่มในชุดจีนอายุราวสามสิบผู้หนึ่งมีรอยยิ้มดูถูกดูแคลนบนใบหน้า ถามด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ “เหตุใดเด็กน้อยจึงกรีดร้องในท้องพระโรง?”
การเรียกราชทูตว่า “เด็กน้อย” และการเอ่ยคำว่า “กรีดร้อง” นั้นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง
ถ้าหากเป็นบัณฑิตสูงส่งผู้รักในศักดิ์ศรี จักต้องเดือดดาลเป็นแน่แท้ แต่ซ่งชูอีไม่เคยใส่ใจเรื่องพรรค์นี้ ปิดหน้าสะอื้น “หวยจินเป็นชาวซ่ง บัดนี้เห็นรัฐซ่งกำลังจะสิ้น ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก จึงได้เสียมารยาท”
“ไร้สาระ!” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชุดจีนหายวับ จากเสือผู้ยิ้มแย้มกลับกลายเป็นขึงขัง เขาโค้งคารวะซ่งทีเฉิงจวินพร้อมกล่าว “ฝ่าบาท ผู้นี้วาจาสามหาวสาปแช่งรัฐซ่งของข้า สมควรนำตัวไปตัดหัว!”
“ท่านมหาเสนาบดีอย่างได้ร้อนใจ กว่าเหรินอยากฟังว่าเขาจะกล่าวเยี่ยงไร” ซ่งทีเฉิงจวินตรัส
ที่แท้เขาก็คือซ่งเหยี่ยน! ทันใดนั้นซ่งชูอีก็เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงดุดันเพียงนี้ เพราะหลังจากที่นางมาถึงรัฐซ่งไม่ได้แวะคารวะเขา แต่กลับไปขอพบเถาติ้ง เขาจะต้องคิดว่านางนำเงินทองของมีค่ามอบให้เถาติ้งมากมายเป็นแน่ จึงก่อเกิดความไม่พอใจ
ซ่งชูอีเข้าใจเหตุผลในทันที และนางก็ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจ รีบกล่าวทูลซ่งทีเฉิงจวิน “ทหารเว่ยพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กำลังเคลื่อนไหวของรัฐเว่ยลดลงเป็นอย่างมาก กองกำลังเทียบไม่ได้กับเมื่อครั้นผังเจวียนเป็นผู้สั่งทัพ แต่นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของรัฐซ่ง”
แม้นซ่งทีเฉิงจวินมักมากในสุรานารี แต่พระองค์ก็สามารถแย่งชิงบัลลังก์ได้สำเร็จ ไม่ใช่ชนรุ่นธรรมดาทั่วไปเป็นแน่
พระองค์พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะนั่งตัวตรง ตรัสถาม “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?”
“เป็นที่ทราบกันดี ฉินและเว่ยสองรัฐสู้รบกันปีละสามครา สามปีจะมีสงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง บัดนี้สถานการณ์ของรัฐเว่ยตกต่ำ และหลังจากซางยางแก้ไขกฎหมายรัฐฉินแล้ว ความแข็งแกร่งของรัฐเพิ่มขึ้นมาก รัชทายาทอิ๋งซื่อวางกลยุทธ์ทางทหารยาวนาน ชาวฉินเก่งกาจด้านการสู้รบ บัดนี้จวินองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ต้องฉวยโอกาสนี้ในการเปิดศึกนองเลือดกับรัฐเว่ยเป็นแน่ รัฐเว่ยจำต้องเตรียมกำลังพล แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นจะหาเสบียงและทหารม้าได้เยี่ยงไรกัน”
“แล้วทำเยี่ยงไรรึ?” ซ่งทีเฉิงจวินตรัสถาม
“ใช้สงครามเลี้ยงทหาร” ซ่งชูอียิ้มจางๆ พร้อมเอ่ยเชื่องช้า “รับผลประโยชน์สูงสุดด้วยสงครามที่เล็กที่สุด ฉี ฉู่ หาน เจ้า ซ่ง พระองค์คาดกว่ารัฐเว่ยจะเลือกสั่งกองทัพจากรัฐใด?”
ในบรรดาห้ารัฐที่ซ่งชูอีเอ่ยล้วนมีเขตชายแดนติดกับรัฐเว่ย นอกเหนือจากรัฐซ่งแล้ว สี่รัฐที่เหลือก็นับเป็นเจ้าสงครามแห่งเจ็ดรัฐ ในบรรดาทั้งหมดฉีและฉู่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด และหลังจากที่หานเจ้าเว่ยสามรัฐแยกตัวกันแล้ว ก็เป็นพันธมิตรต่อกันนับครั้งไม่ถ้วน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อ๋องเว่ยน่าจะยุ่งอยู่กับการผูกมิตรกับรัฐเหล่านี้กระมัง!
ซ่งชูอีเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของทุกคน ท่าทีก็สงบลง “ข้าน้อยยังเคยได้ยินเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง อยากเล่าให้ทุกท่านฟัง”
“ท่านเชิญกล่าว” ท่าทีของซ่งทีเฉิงจวินจริงจังกว่าเมื่อครู่มาก อีกทั้งยังให้ความเคารพต่อซ่งชูอีอย่างดี แม้นางพูดว่าเรื่องตลก แต่ในท้องพระโรงไม่มีผู้ใดแสดงอาการของการรอฟังเรื่องขบขันเลยแม้แต่น้อย
ซ่งชูอีเล่าเสียงกระซิบ “ขณะที่ข้าน้อยผ่านแม่น้ำซุยสุ่ยอยู่นั้น เห็นหอยกาบตัวหนึ่งขึ้นมาจากน้ำเพื่ออาบแดด นกกระยางตัวหนึ่งบินโฉบมาจิกเนื้อหอยพอดี หอยรีบหุบเปลือกของมัน หนีบปากยาวๆ ของนกกระยางตัวนั้นแน่น
นกกระยางกล่าว ‘วันนี้ฝนไม่ตก พรุ่งนี้ฝนไม่ตก เจ้าจะถูกแดดเผาจนตาย’ หอยตอบ ‘วันนี้ไม่ปล่อยเจ้า พรุ่งนี้ไม่ปล่อยเจ้า เจ้าก็จะอดตาย’ ทั้งคู่ต่างไม่ยอมกัน ในเวลานี้เองชาวประมงผ่านมาและจับทั้งสองตัวไปอย่างง่ายดาย”
หมิ่นฉือยืนอยู่ในท้องพระโรงเงียบๆ มองซ่งชูอีเหมือนกับคนอื่น นางสวมเสื้อคลุมแขนกว้างธรรมดาตัวหนึ่ง ผมสีดำถูกมัดอย่างหลวมๆ อยู่บนศีรษะ ปักด้วยปิ่นไม้ ทั้งร่างกายไร้เครื่องประดับ ด้วยสีสันที่ไม่มากจนเกินไปนั้นเข้ากับใบหน้าเรียบๆ ของนาง
“เรื่องราวของท่านน่าสนใจยิ่ง” แม้นซ่งทีเฉิงจวินตรัสเช่นนี้ แต่หัวใจกลับเต้นแรง รัฐเว่ย์ก็คือชาวประมงที่รอคอยการต่อสู้ของนกกระยางและหอยกาบสินะ!
ท้องพระโรงเงียบสงัด
เถาติ้งหลุบตาลง เมื่อคืนซ่งทีเฉิงจวินตรัสว่าเช้านี้อยากจะหาวิธีเล่นกันซ่งชูอีเสียหน่อย เขาจึงคิดวิธีของ “หวันหลัน” แม้นนางจะไม่ได้สวมชุดเต็มรูปแบบ แต่ผู้น้อยที่สามารถประคับประคองเครื่องแต่งกายผู้ใหญ่ด้วยความอดทนได้นั้นหาได้ยากยิ่ง
ซ่งชูอีถอนหายใจ “จู่โจมซ่งครานี้ อันที่จริงฝ่าบาทของข้าถูกเว่ยอ๋องบังคับข่มขู่ จำต้องทำตาม! รัฐเว่ย์ของข้ามีสายเลือดเดียวกันกับราชวงศ์โจว ครานี้เว่ยอ๋องเพียงต้องการหาข้ออ้างให้รัชทายาทโจวไร้ซึ่งคำพูดก็เท่านั้น! เฮ้อ! บัดนี้เกรงว่าเว่ยอ๋องจะใช้ข้ออ้างในการผ่านดินแดนของรัฐหนึ่งด้วยความยินยอมจากรัฐอื่น และยึดครองอาณาจักรแล้ว”
กองทัพใหญ่จากต่างแดนเดินทางเข้าอาณาจักร หากต้องการเจรจาต่อรอง ภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว จำเป็นต้องส่วนค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง เว่ยอ๋องจะต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อผนวกแผ่นดินรัฐเว่ย์ด้วยความชอบธรรมอย่างแน่นอน
แม้ว่าบัดนี้บ้านเมืองระส่ำระส่าย แต่นักการทหารกล่าวว่า หากทำการผลีผลาม รัฐขาดความปรองดอง ไม่ว่าสงครามใดก็จักพ่ายแพ้ ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจและกำลังการเคลื่อนไหวภายในกองทัพ จำต้องหาเหตุผลที่ทรงเกียรติและสง่าผ่าเผย
หมิ่นฉือรู้ว่าได้โอกาสพูดแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทของข้า ยินดีที่จะเสนอเครื่องเพชรพลอยหกคันเกวียน ม้าหนึ่งร้อยตัว สาวงามเจ็ดสิบนาง รวมทั้งเครื่องทองเหลือง ท่านซ่งจวินได้โปรดทรงพิจารณาเรื่องการประนีประนอมครานี้ด้วยพะย่ะค่ะ!”
“หึ ต้องการจะสรุปเรื่องนี้ด้วยสินค้าเพียงน้อยนิดเองรึ?” เถาติ้งพ่นลมหายใจเย็นชา
ซ่งชูอีประหลาดใจ สิ่งของเหล่านี้ก็นับว่าเหลือเฟือแล้วแม้สำหรับรัฐใหญ่! ยังไม่รู้จักพออีกหรือ? ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?
กระเป๋าส่วนตัวของมหาเสนาบดีซ่งเหยี่ยนน่าจะเต็มแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้สร้างปัญหามากนัก ขุนนางท่านหนึ่งเสนอขึ้น “หากรัฐซ่งของข้าปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายดายเช่นนี้ จะชวนให้รัฐมหาอำนาจในเขตชายแดนพากันคิดว่ารังแกรัฐซ่งได้ เช่นนั้นก็ให้เว่ย์โหวมาขอร้องด้วยตัวเองเถิด!”
สำหรับเจ้ารัฐผู้เรืองอำนาจ นี่นับว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยาม แต่มันกลับเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดสำหรับเว่ย์โหว ตราบที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ อย่าว่าแต่มาขอร้องด้วยตัวเองเลย หากต้องจูงม้าขับเกวียนให้ซ่งทีเฉิงจวิน เขาก็ยินยอม
“ใต้เท้า ยังมีอีกเงื่อนไข” จู่ๆ เถ้าติ้งพูดแทรก
………………………………………….
[1] กว่าเหริน เป็นคำสรรพนามที่ทีเฉิงจวินใช้แทนตัวเอง