“กั๋วเว่ย?” ขันทีเถารออยู่สักพักแต่ไม่ได้คำตอบ จึงเอ่ยเตือนเสียงเบา
“อยู่ใต้ต้นบ๊วยเขียว” ซ่งชูอีกุมศีรษะ “ข้ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย พวกท่านค่อยๆ ขุดไปเถิด”
ช่วงกลางฤดูร้อน ต้นบ๊วยไม่มีดอก จะแยกออกได้อย่างไรว่าต้นไหนคือบ๊วยเขียว? ซ่งชูอีตั้งใจจะทำให้คนอื่นลำบากใจ ทว่านางประเมินขันทีเถาต่ำไป ในลานมีป่าบ๊วยกว้างใหญ่เพียงนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาคนไปพรวนดินทั่วทั้งบริเวณ
สุราสิบกว่าไหไม่เหลือแม้แต่ไหเดียว
ซ่งชูอีได้รับบทเรียนแล้ว ครั้งหน้าจะไม่เก็บไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกันอีก
ทันทีที่เจ้าอี่โหลวกลับมาก็เห็นซ่งชูอีนั่งอยู่ข้างหน้าต่างด้วยท่าทางเศร้าสร้อย จึงเดินเข้าไปถาม “กังวลใจเรื่องใดรึ?”
ซ่งชูอีตอบสนองด้วยความรวดเร็วยิ่ง แน่นอนว่าจะไม่พูดว่าเพราะเสียใจกับสุรารสเลิศ “เจ้าไม่กลับมาทั้งคืน จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไร?”
รอยยิ้มผลิบานอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าอี่โหลว ทว่ามันกลับหายไปแทบจะทันที “เมื่อวานข้าไปคารวะอาจารย์ลุง ได้ยินข่าวจากสาขาหลักพอดีว่าอาจารย์ล้มป่วย ข้า…ข้าอยากไปเยี่ยมนาง”
“พระคุณอาจารย์ดุจบุพการี สมควร” ซ่งชูอีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทว่าครั้นนึกถึงลางสังหรณ์เลือนรางเมื่อเช้าแล้วก็อดที่จะพูดไม่ได้ “เจ้าอย่าเพิ่งรีบไป ไว้ข้าเชิญศิษย์พี่ใหญ่ดูดวงให้เจ้าก่อน”
สถานการณ์ของฉู่เจาเสี่ยนอันตรายมาก เจ้าอี่โหลวตั้งใจที่จะกลับมาบอกสักคำจากนั้นก็จะรีบบึ่งไปยังสาขาหลัก ทว่าในเมื่อซ่งชูอีเอ่ยปากแล้ว เขาจึงได้แต่รับปาก
ซ่งชูอีสั่งให้คนรับใช้ไปหาเว่ยเต้าจื่อ แล้วถามเจ้าอี่โหลวอีกครั้ง “ในเมื่อเสียนจื่อล้มป่วย ทำไมไม่พาศิษย์พี่ใหญ่ไปด้วยเล่า ทักษะการแพทย์ของเขาเก่ง แม้จะเทียบกับเปี่ยนเชวี่ยไม่ได้ ทว่าก็ดีกว่าคนอื่น”
“เช่นนี้ก็ดีเลย!” เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยความดีใจ
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาประเดี๋ยวกังวลประเดี๋ยวดีใจ ก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็มีคนอื่นให้เป็นห่วงแล้ว!
“เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ จะไปนอนสักหน่อย หากได้ข่าวศิษย์พี่ใหญ่แล้วก็ปลุกข้าด้วย หากเจ้าเป็นห่วงมากจริงๆ จะไปก่อนก็ได้ พาคนไปมากหน่อย” ซ่งชูอีลุกขึ้น เดินไปยังห้องนอนทีละก้าวๆ
หากการเดินทางครั้งนี้มีอันตราย เกรงว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเห็นท่าทางของเจ้าอี่โหลวเช่นนี้แล้ว ไม่ไปก็ไม่ได้ หากนางรั้งไว้ไม่ให้เขาไปได้สำเร็จ แล้วอนาคตฉู่เจาเสี่ยนเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ มันก็จะทิ้งก้อนเนื้อในใจของกันและกันอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะที่ซ่งชูอีกำลังครุ่นคิด ตัวก็เบาโหวงทันใด เจ้าอี่โหลวอุ้มนางขึ้นมาจากด้านหลัง
เมื่อมาถึงห้องนอน เจ้าอี่โหลวก็วางนางลงบนเตียง เขานั่งลงที่ขอบเตียง เอ่ยถามด้วยความจริงจัง “หวยจิน เจ้าไม่อยากให้ข้าไปรึ?”
“หากข้าบอกว่าไม่อยาก เจ้าก็จะไม่ไปรึ?” ซ่งชูอีหลับตาลง ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเขาจะแสดงอาการเช่นไร
เจ้าอี่โหลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อืม”
ครั้นได้คำตอบเช่นนี้ ซ่งชูอีมีความสุขทว่ามิได้จริงจัง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบๆ โดยไม่เผยความรู้สึกใดออกมา “ข้าไม่สนเรื่องพวกนี้หรอก จะไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้า วันนี้ข้าให้หนิงยาพาไป๋เริ่นกลับมา หากจะไป ก็พามันไปด้วยกันเถิด”
ซ่งชูอีมักจะแสดงนิสัยใจคอที่แท้จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าอี่โหลว ไม่เคยแอบซ่อนสิ่งใด ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกได้อย่างเฉียบคมว่ามันแตกต่างจากทุกครั้ง
เขากุมมือของนาง ลังเลเป็นอย่างยิ่ง
เวลาที่เขารู้จักกับอาจารย์นั้นไม่ถึงสองปี ทว่านับดูแล้ว อยู่ด้วยกันเช้าจรดเย็น เทียบกันแล้วเยอะกว่าเวลาที่อยู่กับซ่งชูอีมาก เขากับซ่งชูอีที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาย่อมมีความรู้สึกที่ต่างออกไป ความรักนี้ไม่อาจมีสิ่งใดมาแทนที่ได้ อย่างไรก็ดีอาจารย์นั้นคือผู้ที่หวังดีต่อคนอื่น เขาสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ความเอาใจใส่จากผู้อาวุโสทำให้เขาเกิดความรู้สึกชื่นชมโดยธรรมชาติ
“อยากไปก็ไป! จะลำบากใจไปเพื่ออะไร?” ซ่งชูอีตบๆ หลังมือของเขา “ข้าแค่กังวลว่าการเดินทางของเจ้าครั้งนี้จะไม่ราบรื่น”
เจ้าอี่โหลวได้ยินความจริงใจของนาง ก็นึกได้ว่าซ่งชูอีมิใช่คนที่จุกจิกกับทุกอย่าง จึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่เป็นอะไร ข้าแค่ไปสาขาหลักของสำนักม่อ มิได้ไปรบเสียหน่อย”
ซ่งชูอีส่งเสียงจิ๊ ยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย “เจ้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย! แม้ว่าอาจารย์ของเจ้าจะมีโรคเก่า ทว่าสำนักม่อเกิดความวุ่นวายภายใน แต่นางดันมาล้มป่วยตอนนี้ไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ! ข้าว่ายังอันตรายกว่าไปออกรบเสียอีก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกว่าอาจารย์ของข้ามีโรคเก่า?” เจ้าอี่โหลวประหลาดใจ
“ข้ากล้าที่จะส่งเจ้าออกไปโดยไม่รู้อะไรเลยหรือ!? บอกว่าเจ้าโง่เจ้าก็โง่จริงๆ” ซ่งชูอีมองค้อน
ก็คงมีเพียงซ่งชูอีที่ยอมคิดแทนเขาอย่างรอบคอบเช่นนี้กระมัง! เจ้าอี่โหลวมีความสุข จึงไม่สนใจการดุด่าของนาง “สำนักม่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ใช่ว่าข้าจะไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันเท่านั้น การจากไปคราวนี้คงพลิกแพลงไปตามสถานการณ์กระมัง”
ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง บาดแผลที่ถูกดึงเจ็บเล็กน้อย นางกัดฟันเอ่ย “อาจารย์ลุงบอกว่าเมื่อไรจะเจอข้า?”
“อา อาจารย์ลุงกล่าวว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาแวะคารวะเจ้า” เมื่อครู่เจ้าอี่โหลวเป็นกังวล จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
“ไม่ต้องรีบ ตามการคาดเดาของข้า ความวุ่นวายของสำนักม่อครั้งนี้ อาจารย์ลุงของเจ้ามาหาข้าด้วยตัวเอง เกรงว่าเพื่อสนับสนุนให้อาจารย์ของเจ้าได้ขึ้นตำแหน่ง ในเมื่อเขาก็ไม่รีบ ก็แสดงว่าอาจารย์ของเจ้ายังไม่หมดหวัง” ประโยคส่วนแรกของซ่งชูอีเป็นผลจากการวิเคราะห์ที่แท้จริงของนาง ทว่าประโยคหลังส่วนใหญ่เป็นการปลอบโยนเจ้าอี่โหลว ต่อให้จีเจ่อจะรีบจนไฟลนก้นก็จะต้องมอบหมายเรื่องนี้ให้ผู้อื่นทำอย่างแน่นอน วัยชราของเขาไม่อาจทนต่อการวิ่งเต้นไปทั่วแล้ว
เจ้าอี่โหลวดูเหมือนจะเข้าใจจุดประสงค์ของนาง อดที่จะกุมมือของนางไม่ได้ “ไม่ต้องปลอบใจข้า ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าก็วางใจมากแล้ว”
ครั้นนึกถึงตอนที่เจอซ่งชูอีครั้งแรก การปรากฏกายของนางในชุดผู้หญิงบัดนี้ได้เลือนรางไปจากความทรงจำของเขาแล้ว แต่ท่าทางของนางที่นอนอยู่บนเนินโดยคาบฟางอยู่ในปากพร้อมร้องเรียกเขา ท่าทางของนางที่ฆ่าไก่ฟ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางที่วิจารณ์รูปแบบกองทัพเบื้องล่าง…แต่ละเรื่องล้วนตราตรึงอยู่ในใจ
เจ้าอี่โหลวไม่ได้นอนทั้งคืน เปลี่ยนเสื้อลำลองแล้วเอนกายลงข้างนาง “นอนสักพักหนึ่งเถิด”
“อืม” เดิมทีซ่งชูอีตั้งใจว่าที่จะลุกขึ้นมาสำรวจเรื่องอย่างว่าอย่างถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ทว่าครั้นเห็นเขานอนพิงหมอนหยกด้วยท่าทีเกียจคร้าน ภาพตรงหน้าอ่อนโยนเป็นอย่างมาก จึงนอนลงและถอนหายใจ “ความงามช่างมีผลต่อทุกสิ่งจริงๆ!”
เจ้าอี่โหลวไม่รู้สึกรำคาญ พูดอย่างคลุมเครือ “มีผลก็มีไปเถิด ฟ้าก็มิได้ถล่มเสียหน่อย”
“เจ้าเสี่ยวฉง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าอารมณ์ร้อนของตัวเองดีขึ้นแล้ว?” ซ่งชูอียื่นนิ้วจิ้มๆ เขา
เจ้าอี่โหลวเอื้อมมือคว้านิ้วของนาง “เจ้าไม่หาเรื่อง แน่นอนว่าดีขึ้นอยู่แล้ว”
เขาระวังตัวและเยือกเย็นต่อผู้คน ไม่ใคร่เก็บซ่อนอารมณ์มากนัก ที่จริงแล้วก็มิใช่คนที่โมโหง่าย
บรู๊ววว!
ภายในห้องเพิ่งจะเงียบสงบลงก็มีเสียงมหาป่าหอนดังขึ้น จากนั้นเงาสีขาวขนาดใหญ่ก็พุ่งตรงมาที่เตียงราวกับสายลม มันย่ำๆ เป็นวงกลมสักพักก่อนจะก้มหัวดันๆ อยู่ใต้เท้าของทั้งสองคน
“ไป๋เริ่น!” ซ่งชูอีคำราม “มารดาเจ้าคิดจะเหยียบข้าให้ตายหรือไง!”
ไป๋เริ่นนั่งลง ดวงตาสีดำคู่หนึ่งมองซ่งชูอีด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นก็ซุกตัวอยู่ข้างเจ้าอี่โหลวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ไม่เห็นเจ้าหลายวัน อ้วนขึ้นอีกแล้ว” เจ้าอี่โหลวหัวเราะพลางลูบๆ หัวของมัน ท่าทีอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลามีสีสันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าได้ก่อเรื่องให้ท่านมหาเสนาบดีหรือเปล่า?”
ไป๋เริ่นหรี่ตาซุกไซ้มือของเขาด้วยท่าทางเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก หนึ่งคนหนึ่งหมาป่า ทิ้งให้ซ่งชูอีที่กำลังขุ่นเคืองตามลำพัง ตอบโต้กันอย่างมีความสุข
ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง มองเจ้าอี่โหลวโกรธๆ “เจ้าก็ตามใจมันเถิด ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะฉี่ใส่หัวเจ้า!”
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” เจ้าอี่โหลวเห็นว่านางยกฟูกลงมา รีบปล่อยไป๋เริ่นแล้วลงไปประคองนาง “เจ้ายังบาดเจ็บ อย่าเคลื่อนไหวส่งเดช ข้าช่วยเจ้า”
“ข้าจะฉี่!” ซ่งชูอีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย