อิ๋งซื่อหลุบตาพิจารณาครู่หนึ่งว่าควรจะตอบสนองอย่างไรดี ใครจะคิดว่ากลับได้ยินทางนั้นบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้ว่าได้ยินทางนั้นคุยกันหรือเปล่า”
นางหันมองเขา กล่าวด้วยความตื่นเต้น “กระหม่อมคิดว่า หากสามารถได้ยิน ต่อไปยามค่ำคืนเวลาที่กระหม่อมมีเรื่องด่วนก็สามารถปีนขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา…” นางกระแอมไอ เปล่งเสียงด้วยความจริงจัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องต้องการเข้าเฝ้า!”
อิ๋งซื่อค้อนมองนางอย่างไร้คำพูด รู้สึกว่าตนกังวลอย่างไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง ซ่งชูอีเป็นผู้ที่เข้าใจเพียงหัวใจและอารมณ์ในการ “วางแผน” หากนางไม่ได้วางแผนอะไรไว้ นางคงจะไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้โดยเจตนา
“คุยธุระเพียงแค่นี้ กั๋วเว่ยกลับไปเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ย
ซ่งชูอีประสานมือคำนับ “กระหม่อมทูลลา ฝ่าบาทพักผ่อนให้มาก”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ ซ่งชูอีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะค้อมตัวถอยออกไป
หลังจากออกมาจากวัง นางก็ขี่ม้ากลับจวนช้าๆ
แสงจันทร์ส่องสว่างสุกใสราวกับกลางวัน เมื่อออกมาจากพระรางวังเสียนหยางได้ระยะหนึ่ง ซ่งชูอีอดที่จะหันหลังกลับไปมองมิได้ หลังคาต้นไม้หนาทึบปกปิดตัวอาคาร มีเพียงแสงอบอุ่นเล็กน้อยเท่านั้นที่เผยให้เห็น
“มองอะไรน่ะ?”
เสียงของเจ้าอี่โหลวลอยมาฉับพลัน ทำเอาซ่งชูอีสะดุ้งโหยง “เหตุใดจึงมาเงียบๆ!”
เจ้าอี่โหลวมองไปตามสายตาของนาง “ไม่ใช่ว่าเงียบๆ แต่เป็นเพราะเจ้าใจลอย”
“แค่ก” ซ่งชูอีเหลือบมองเจ้าอี่โหลว ต้องการจะกล่าวบางอย่างแต่หยุดไว้
“นี่ไม่เหมือนเจ้าเลย มีอะไรก็ว่ามา” เจ้าอี่โหลวหันหัวม้ามาเดินเคียงข้างนาง
เรื่องนี้ไม่ควรหารือกับเจ้าอี่โหลว ทว่านอกจากเขาแล้ว นางไม่เต็มใจที่จะคุยกับใคร ด้วยเหตุนี้จึงรีรอสักพักแต่ก็ยังเอ่ยว่า “เจ้าว่า…ฝ่าบาทคิดเยี่ยงนั้นกับข้าบ้างหรือไม่?”
พูดจบนางก็ไอด้วยความอึดอัดสองที “ข้าก็รู้ว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ว่า…”
เจ้าอี่โหลวตัดบทนาง “เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้เล่า?”
ซ่งชูอีได้ยินเขาพูดราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว มองเขาด้วยความประหลาดใจ “หากตัดสินโดยมาตรฐานของกุนซือแล้ว ข้าคิดว่าตัวเองยังมีความสามารถบ้าง ทว่าเรื่องส่วนตัวเช่นนี้…เจ้าคอยดูข้าให้ดี!”
ซ่งชูอีเอื้อมมือตบๆ เขา “เจ้าเห็นข้าเป็นเช่นนี้ รูปลักษณ์ของข้า บุคลิกของข้า…มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ไม่รังเกียจ ข้าขอบคุณสวรรค์ที่ปิดตาเจ้าอยู่ทุกวัน”
“เจ้าที่เป็นเช่นนี้น่าเกลียดตรงไหน” เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าก็แล้วกัน เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในสำนักเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น” ซ่งชูอีเกาๆ กรามและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าหมกมุ่นในกามารมณ์ วันหนึ่งข้าถามเขาว่าหากใต้หล้านี้หมดสิ้นแล้วซึ่งสตรีเพศเขาคิดจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เขากล่าวว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าเรียกศิษย์พี่สามของเจ้าว่าพี่สะใภ้ก็พอแล้ว” ข้าบอกว่า ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่มีตัวตนแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวว่าไม่มีทาง ตราบใดที่เจ้าไม่กระโดดออกไปฆ่าตัวตายเสียเอง สวรรค์ก็คงไม่คิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิง”
ในตอนนั้น เว่ยเต้าจื่อตบๆ ไหล่ของนาง กล่าวสั่งสอนด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เจ้าเป็นผู้หญิงไม่มีทางก้าวหน้าหรอก พยายามเป็นผู้ชายยังจะดีเสียกว่า”
ทุกคนต่างกล่าวว่าเป็นหญิงงามนั้นน่าเศร้า เพราะจะถูกส่งเป็นของขวัญไปๆ มาๆ เนื่องด้วยความงาม แต่กลับไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีหน้าตาธรรมดาหรือแม้แต่น่าเกลียดเหล่านั้นมีชีวิตน่าสังเวชเลย
“ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้รุนแรงเกินไปแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
“ไม่เลย ข้าควรจะขอบคุณท่านพ่อ อาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่มากที่สุด” ซ่งชูอีไม่มีความมั่นใจในความเป็นหญิงของตัวเองมาก แต่พวกเขาทำให้นางแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงทั่วไป ความสามารถก็ยิ่งโดดเด่น สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องยึดติดกับผู้ชายในโลกที่มีแต่ความวุ่นวายนี้ นี่คือความโชคดีของนาง “จะว่าไปแล้ว สถานการณ์ที่ข้ากล่าวถึงเมื่อครู่มีความเป็นไปได้หรือไม่?”
อิ๋งซื่อเข้าใจซ่งชูอีอย่างยิ่ง นางเข้าใจเพียงหัวใจของการวางกลยุทธ์เท่านั้น ทว่าเขากับนางมีสถานะองค์จวินและขุนนาง มีขุนนางคนใดบ้างที่ไม่เคยเดาใจขององค์จวิน? แม้ว่าเขาจะเปิดเผยความคิดโดยบังเอิญเพียงไม่กี่ครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับกุนซือคนหนึ่งที่จะคาดเดาผลลัพธ์ เพียงแต่ซ่งชูอีไม่อยากจะเชื่อว่าผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้
“เขามีความรู้สึกนั้นเกือบสี่ปีแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” เจ้าอี่โหลวกล่าวตามความจริง
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ยิ้มโล่งอกทันที “ได้พบกับจวินเช่นนี้ เป็นโชคดีของข้า ได้พบกับจวินเช่นนี้ ข้าก็ดีใจยิ่ง”
นับเป็นความโชคดีจริงๆ ที่อิ๋งซื่อมีความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ ตลอดจนความสงบเยือกเย็นของเขา ซ่งชูอีแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงตาเปียกชื้นเล็กน้อย นางรู้สึกขอบคุณสำหรับความรักของสวรรค์ หากชาตินี้ไม่มีเจ้าอี่โหลว นางก็จะอยู่คนเดียวชั่วชีวิต หากชาติไม่ได้พบอิ๋งซื่อ เกรงว่านางก็คงไม่สามารถมีชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้
ความรักสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ซ่งชูอีซาบซึ้งใจยิ่ง
เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเข้าใจดีว่าไม่มีความรักแอบแฝงอยู่ในคำพูดนี้
“จริงสิ พรุ่งนี้ติดต่ออาจารย์เจ้าบอกว่าข้าสามารถช่วยสำนักม่อได้ หากสะดวกก็ให้มาพบข้า” ซ่งชูอีเอ่ย
คำว่า “ช่วย” ที่ซ่งชูอีกล่าวนั้นไม่มากเกินไป สำนักของฉู่เจาเสี่ยนสนับสนุนความเป็นอิสระของสำนักม่อ จะไม่หาที่พึ่งพิงเหมือนชวีกู้อย่างแน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มรูปแบบ ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากต่อต้านจนตัวตาย
โครงสร้างภายในของสำนักม่อมีความเข้มงวดและชัดเจน และศิษย์ที่ออกจากสำนักไปล้วนมีความสามารถในการเอาตัวรอด ตามปกติเมื่อต่างคนต่างใช้ชีวิตแล้ว พวกเขาก็จะส่งข่าวผ่านสาขาของสำนัก หากสาขาทั้งหมดสูญหายก็จะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฝ่ายของชวีกู้ก็จะฉวยโอกาสไล่ล่าอีกครั้ง แม้นจะไม่ถึงขั้นแตกหักแต่ก็จะสูญเสียความยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาถูกบีบมาจนถึงทางตันก็ต้องฆ่าเพื่อฝ่าออกไปหรือไม่ก็สู้ตาย ในเวลานี้ไม่มีวิธีที่ดีกว่าแล้ว
พรุ่งนี้ซ่งชูอีก็จะเริ่มเตรียมการ
เจ้าอี่โหลวได้รับคำตอบกลับภายในครึ่งเดือน บัดนี้ฉู่เจาเสี่ยนอยู่ที่ชายแดนหานเว่ย ต้องการที่จะพบกับซ่งชูอีอย่างลับๆ ใกล้กับด่านหานกู่
รอจนกระทั่งฉู่เจาเสี่ยนเข้ามาในเขตแดนหานแล้ว ซ่งชูอีก็ลาป่วยไม่ได้เข้าประชุมราชสำนัก พาผู้อารักขาลับที่ได้รับการอนุมัติแล้วมุ่งหน้าไปยังด่านหานกู่ในยามราตรี
เจ้าอี่โหลวยังคงอยู่ในเสียนหยางตามปกติ
ซ่งชูอีปิดประตูล้มป่วยอีกครา ชาวเสียนหยางต่างเคยชินเสียแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ชายรักชายระหว่างเจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอีก็กลายเป็นเรื่องจริงที่เถียงไม่ได้ ชาวฉินเคารพในคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความสามารถ ปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสามารถด้วยความใจกว้างเป็นพิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะละอายใจในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็จะไม่ใช้สิ่งนี้เป็นเหตุผลในการขับไล่ผู้มีความสามารถไปยังรัฐอื่น
แต่ก็มีขุนนางบางคนที่ “เตือนสติ” เจ้าอี่โหลวด้วยความไม่หวังดี “ท่านแม่ทัพเจ้าอ่อนเยาว์มีกำลัง ร่างกายแข็งแรง ตกกลางคืนก็เพลาๆ ลงบ้าง อย่างไรเสียกั๋วเว่ยเป็นขุนนางคนสำคัญของต้าฉินเรา”
สำหรับเรื่องนี้ เจ้าอี่โหลวมักจะเดินผ่านไปด้วยความเฉยเมย ไม่แม้แต่จะชายตายมอง
**
ฤดูร้อนในหล่งซี เช้าสวมผ้าแพร บ่ายสวมผ้าฝ้าย แต่บัดนี้ซ่งชูอีสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งตัว กว่าจะมาถึง
ด่านหานกู่ก็เหม็นเปรี้ยวแล้ว
นางและผู้อารักขาลับปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายสุรา ซื้อสุราฉินมาห้าถึงหกคันรถเพื่อออกจากด่านในตอนพลบค่ำ
บัดนี้สุราสนของรัฐฉินขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หลังจากที่บรรดาพ่อค้าจากรัฐต่างๆ มาแย่งซื้อในเสียนหยางแล้วก็จะส่งไปยังเมืองใหญ่ต่างๆ สุราที่เพิ่งบ่มใหม่นั้นง่ายต่อการเน่าเสีย ดังนั้นพ่อค้าสุราส่วนใหญ่จึงออกเดินทางเมื่ออุณหภูมิลดลงในตอนกลางคืน รีบเดินทางข้ามคืนเพื่อมาถึงโรงกลั่นสุราก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ใส่ไว้ในห้องน้ำแข็ง จากนั้นก็รอนำมาขายข้างทางในตอนพลบค่ำ
ดังนั้นขณะที่ออกจากนครก็จะมีขบวนพ่อค้าที่ขนส่งสุราจำนวนมาก จึงสามารถปะปนออกไปอย่างง่ายดาย
ท่ามกลางหญ้าตะปุ่มตะป่ำ กู่หานสั่งให้ทุกคนจอดรถทั้งหมดไว้ “กั๋วเว่ย จะทำอย่างกับสุราเหล่านี้ขอรับ?”
“จากนี้ไป พวกเจ้าก็เป็นองครักษ์ส่วนตัวของข้า ต้องเรียกข้าว่านายท่าน!” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” ทุกคนตอบรับเสียงต่ำ
“ส่วนสุราเหล่านี้ ข้ายากจนมากจะมีปัญญาซื้อสุราแท้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร!” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย